Jump to content


Photo
- - - - -

คดีสนธิหมิ่น 112 : คัดเฉพาะส่วนพิเคราะห์ของทั้ง 2 ศาลมาลง เพื่อเป็นความรู้ครับ


  • Please log in to reply
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 12:48

http://www.manager.c...D=9560000124815

 

เปิดคำพิพากษาศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ ทำไม “สนธิ” เจตนาปกป้องสถาบันฯ แต่โดนมาตรา 112?

 

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

       (คัดมาเฉพาะส่วนพิเคราะห์) 
       26 กันยายน 2555

       
        พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยนำคำพูดปราศรัยของนางหรือนางสาวดารณีมาพูดสรุปให้ประชาชนฟังบนเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่มีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีและผ่านอินเตอร์เน็ตตามเอกสารถอดบันทึกภาพและเสียงหมาย จ.1 ถึง จ.3 และช่วงเวลานั้นมีเว็บไซต์ต่างๆ มีเนื้อหาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์จริง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การพูดสรุปของจำเลยไม่พอฟังว่าเป็นการขยายความคำพูดของนางหรือนางสาวดารณี เพราะพยานโจทก์เองก็ยืนยันว่าทราบความหมายดีว่าหมายถึงทั้งสองพระองค์แม้จะไม่มีการระบุพระนาม ส่วนเรื่องที่ผู้ที่ไม่เคยได้ฟังคำปราศรัยของนางหรือนางสาวดารณีมาก่อนจะมาทราบเรื่องนี้เอาจากจำเลยนั้น ได้ความจากพยานโจทก์ตรงกันว่าขณะพูดเรื่องดังกล่าวโดยระบุชื่อเจ้าพนักงานตำรวจระดับสูงหลายนายนั้นในมือจำเลยถือแผ่นบันทึกภาพและเสียงเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปแจ้งความแสดงเจตนาว่าต้องการเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับนางหรือนางสาวดารณีจริง
       
        ในขณะที่นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล นักวิชาการที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านภาษาในระดับปริญญาเอก โดยเฉพาะภาษาไทยฯ เมื่อได้อ่านเอกสารหมาย จ.1 ก็เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยต้องการบอกเล่าถึงความไม่ดีของนางหรือนางสาวดารณีเท่านั้น ดังนั้น แม้คำพูดของจำเลยจะหมิ่นเหม่และในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งอาจใช้วิธีอื่นดำเนินการในเรื่องเดียวกันนี้ได้ก็ตาม แต่วิญญูชนก็ไม่อาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยมีเจตนาใส่ร้ายโจมตีสถาบันดังกล่าว
       
       ประกอบกับจำเลยมีหลักฐานตามข่าวเอกสารหมาย ล.5 ประกอบกับคำยืนยันของ พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ ที่ยังเกี่ยวข้องกับงานด้านข่าวกรองหลังเกษียณราชการว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยพูดปราศรัยบนเวทียังไม่มีการดำเนินคดีในการกระทำในครั้งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2551 กับนางหรือนางสาวดารณีทั้งที่เคยกระทำในลักษณะเดียวกันนี้มาหลายครั้งแล้ว โดยหาควรจำประวัติการกระทำผิดครั้งก่อนๆ ไม่ว่าจะยุติถึงที่สุดแล้วหรือไม่มารับฟังให้เป็นผลร้ายกับตัวจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนากระทำความผิดตามฟ้อง
       พิพากษายกฟ้อง./
       นางสาวสุจิตรา โพทะยะ
        นางสาวภูรีวรรณ์ ประเสริฐศักดิ์

       
       (สำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับเต็ม จำนวน 8 หน้า) 

 

 

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

       (คัดมาเฉพาะส่วนพิเคราะห์) 
       1 ตุลาคม 2556

       
        ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ทั้งตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์
       
       โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวที่ในฟ้อง จำเลยนำคำปราศรัยของนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ดังที่กล่าวในฟ้องซึ่งเป็นข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาพูดบนเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ให้ประชาชนฟัง เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” การที่จำเลยนำคำปราศรัยของนางสาวดารณีที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 18 และวันที่ 19 กรกฎาคม 2551 อันเป็นถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาพูดในที่เกิดเหตุย่อมมีผลเท่ากับจำเลยกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น ด้วยตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์และพระราชินีตามกฎหมายดังกล่าว
       
       ที่จำเลยอ้างว่า การที่จำเลยออกมาพูดทำให้บุคคลทั่วไปประณามการกระทำของนางสาวดารณี และเรียกร้องให้เจ้าพนักงานตำรวจและกองทัพดำเนินคดีแก่นางสาวดารณี การกระทำของจำเลยเป็นการทำหน้าที่ของคนไทยในการปกป้องชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 70 ทั้งจำเลยกระทำไปด้วยความจกรักภักดีซึ่งผู้ที่ได้ยินได้ฟังเข้าใจได้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาจาบจ้วงหรือดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของทั้งสองพระองค์นั้น ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอย่างใดที่จำเลยจะต้องยกเอาคำพูดที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่นางสาวดารณีพูดไว้มาพูดซ้ำอีก บุคคลส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่านางสาวดารณีกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จะพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่าอย่างไร ก็ได้ทราบจากที่จำเลยพูดในคราวนี้ ทั้งประชาชนยังอาจตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวที่จำเลยนำมาพูดเป็นความจริงหรือไม่ แล้วอาจทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่จะเกิดความเสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศของทั้งสองพระองค์ได้ จำเลยไม่ได้ระมัดระวังในอันที่จะกล่าวหรือกระทำการใดๆ เป็นการกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยมิบังควรไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ขอฝ่ายใด เมื่อได้มีการกระทำเข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายมาตราดังกล่าวแล้ว จำเลยก็หาพ้นความผิดไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
       
       พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำคุก 3 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 5 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 และต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.5068/2550 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.3356/2552 คดอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2765/2553 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.524/2555 ของศาลชั้นต้น
       นายเฉลิมชัย จารุไพบูลย์
       นายประจวบ พัชนีรัตนกรณ์
       นายณรงค์ ธนะปกรณ์

       
       (สำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับเต็ม จำนวน 6 หน้า) 


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 





ผู้ใช้ 2 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 2 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน