Practical Report เทียบคุณสมบัติ “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ยิ่งลักษณ์ vs อภิสิทธิ์
พลันที่การจับสลากหมายเลขผู้สมัคร ส.ส. ของแต่ละพรรคสิ้นสุดลง เสียงปี่กลองของการหาเสียงเลือกตั้งก็ดังขึ้นทันที
ถึงแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีพรรคการเมืองหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้บรรยากาศคึกคักต่างไปจากการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ที่มีจำนวนพรรคร่วมชิงชัยไม่มากนัก
แต่สุดท้ายแล้ว สังคมไทยก็ทราบดีว่า “แคนดิเดต” ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ก็มีเพียงตัวแทนจาก “สองพรรคใหญ่” คือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
ตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีใครอื่นนอกจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนุ่มหล่อดีกรีอ๊อกซฟอร์ด ผู้ที่ผ่านประสบการณ์บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้วสองปีครึ่ง
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สาวสวยน้องสาวคนสุดท้องของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
อีกไม่ถึงสองเดือน คนไทยก็จะรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 28 จะเป็น “อภิสิทธิ์สมัยสอง” อย่างที่ตัวเองเองวาดฝันไว้ว่าจะเป็นนายกครั้งสุดท้าย หรือจะเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก” ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
SIU ขอชวนผู้อ่านมาพินิจพิเคราะห์ เปรียบเทียบคุณสมบัติของ “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ทั้งสองคนในมิติต่างๆ
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ ยิ่งลักษณ์ vs อภิสิทธิ์
หมายเหตุ: ผู้อ่านที่ต้องการแชร์ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติผ่านทาง Facebook สามารถกดแชร์ได้จาก Facebook Page ของ SIU
อายุ
ว่าที่นายกทั้งคู่ถือเป็นคนรุ่นเดียวกันคือ อายุสี่สิบกลางๆ โดยยิ่งลักษณ์ปัจจุบันมีอายุ 44 ปี ส่วนอภิสิทธิ์อายุ 46 ปี ถ้าหากว่ายิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง ก็จะกลายเป็นนายกที่อายุน้อยพอๆ กับอภิสิทธิ์เมื่อ 2 ปีก่อน
ไม่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป ก็น่าสนใจว่าระดับอายุของนายกรัฐมนตรีไทยลดลงมาจากเดิมมาก กลายเป็นการชิงชัยระหว่างคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองใหม่ๆ ต่อโลกมากขึ้น
การศึกษา
ยิ่งลักษณ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามด้วยปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคนทัคคีสเตทในสหรัฐ
อภิสิทธิ์จบทั้งตรีและโทจากอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยจบปริญญาตรีหลักสูตรปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (philosophy, politics and economics, PPE) ซึ่งเป็นหลักสูตรยอดนิยมของผู้นำระดับโลก และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์
ด้านการศึกษาต้องถือว่ายิ่งลักษณ์มีดีกรี แต่อภิสิทธิ์มีแต้มต่อเหนือกว่ามาก
ครอบครัว
ทั้งสองคนมีครอบครัวแล้ว โดยอภิสิทธิ์มีบุตร 2 คน หญิงชายอย่างละคน ส่วนยิ่งลักษณ์มีบุตรชาย 1 คน
จุดที่ยิ่งลักษณ์อาจโดนโจมตีคือไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับสามี แต่เอาเข้าจริง บุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ที่เปิดประเด็นนี้เป็นคนแรก กลับโดนกระแสสังคมตีกลับจนต้องยอมถอยไปเอง และโดนนายอภิสิทธิ์สั่งเบรกห้ามโจมตีในเรื่องนี้อีก
อดีตนายกรัฐมนตรีไทยก็มีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสคือ นายชวน หลีกภัย ที่มีบุตรกับนางภักดิพร สุจริตกุล
ฐานะ
แน่นอนว่ายิ่งลักษณ์ในฐานะ “คนตระกูลชินวัตร” ย่อมมีทรัพย์สินระดับมหาเศรษฐีของเมืองไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนนายอภิสิทธิ์ถึงแม้จะมีพื้นเพมาจากตระกูลชั้นสูงของสังคมไทย มีฐานะร่ำรวยเป็นทุนเดิม มีบ้านอยู่ในทำเลทองของกรุงเทพ แต่ตัวนายอภิสิทธิ์เองก็ไม่ได้ประกอบกิจการค้าขายที่สามารถใช้เงินต่อเงิน ได้อย่างพ่อค้าคหบดีทั่วไป
ด้านฐานะเราต้องยกให้ยิ่งลักษณ์นำไปไกล อย่างไรก็ตามฐานะดีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญต่อชัยชนะ เพราะอาจเกิดกระแสตีกลับและหมั่นไส้มหาเศรษฐีได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนตระกูลชินวัตร”
บุคลิก หน้าตา
จุดขายของนายอภิสิทธิ์เหนือคู่แข่งทางการเมืองทุกคนคือ “หน้าตา” อันหล่อเหลา บุคลิกเรียบร้อยสง่างาม สมัยที่อภิสิทธิ์ยังหนุ่มและเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ว่ากันว่างานร้องเพลงปีใหม่ก็ทำเอานักข่าวสาวๆ สายการเมืองถึงกับระทวย ส่วนปัจจุบันเมื่อเป็นนายกแล้ว ก็ยังมี “แม่ยกอภิสิทธิ์” จำนวนไม่น้อยที่ยังรักมั่นไม่เสื่อมคลาย ถึงแม้จะโดนพันธมิตรฯ โจมตีว่าเห็นแก่ความหล่อเพียงอย่างเดียวก็ตาม
แต่การก้าวเข้ามาชิงชัยของ “ยิ่งลักษณ์” ก็ทำให้บัลลังก์ด้านบุคลิกหน้าตาของนายอภิสิทธิ์เริ่มสั่นคลอน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิงที่อยู่ในระดับ “หน้าตาดี” คนหนึ่ง (และอาจเป็นหนึ่งใน ส.ส. หญิงที่หน้าตาดีที่สุดในสภาชุดหน้า) และบวกกับความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน คาแรกเตอร์ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็ทำให้ได้ใจ “พ่อยก” สายเพื่อไทยไปได้ไม่ยาก
คุณสมบัติในด้านนี้จึงต้องให้ทั้งสองเสมอกัน ถึงแม้จะไม่แย่งตลาดกันเองเพราะเป็นคนละเพศก็ตาม
ประสบการณ์ทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าตั้งแต่วัยหนุ่มที่จะเข้าสู่การ เมืองไทย และเมื่อเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายก็มาฝึกงานที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นผู้ติดตามนายชวน หลีกภัย หลังจากสำเร็จการศึกษาก็เข้าวงการการเมืองแทบจะทันที ผ่านมาแล้วทั้งตำแหน่งโฆษกพรรค นักอภิปรายมือหนึ่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายก และจุดสูงสุดคือ “นายกรัฐมนตรี” แถมเป็นนายกในสภาวะที่การเมืองไทยขัดแย้งที่สุดในรอบหลายสิบปี ด้านประสบการณ์ทางการเมืองต้องยกให้อภิสิทธิ์เต็มร้อย
ด้านยิ่งลักษณ์กลับไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง (เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าสมัยเด็กๆ อยากเป็นทูต) แต่ชะตาชีวิตกลับพลิกผันให้มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถึงแม้จะมีประสบการณ์ทางการเมืองแบบอ้อมๆ ทั้งกับบิดา เลิศ ชินวัตร ในการหาเสียง และจาก พ.ต.ท. ทักษิณ พี่ชาย แต่ถ้านับประสบการณ์โดยตรงก็ต้องถือว่ายิ่งลักษณ์มีประสบการณ์เป็นศูนย์
ทักษะด้านการพูด
นักการเมืองไทยที่จะอาจหาญไปอภิปรายกับ “อดีตประธานชมรมโต้วาทีอ๊อกซ์ฟอร์ด” คงมีไม่เยอะนัก แม้แต่นายฮุน เซน นายกกัมพูชาเอง เมื่อเจอกับนายอภิสิทธิ์ในเวทีนานาชาติก็ยังต้องคิดหนัก
ส่วนยิ่งลักษณ์เราคงให้คะแนนลีลาการพูดของเธอได้ยาก เพราะยังไม่เคยมีใครได้ยินเธอปราศัยหรืออภิปรายเลย เราอาจต้องรอ “การดีเบต” ระหว่างแคนดิเดตนายกให้เกิดขึ้นก่อน จึงจะรู้ว่ายิ่งลักษณ์มีดีแค่ไหน อย่างไรก็ตามยิ่งลักษณ์อาจเลือก “หลบจุดแข็งของคู่ต่อสู้” และหันไปใช้ยุทธศาสตร์ด้านอื่นเรียกคะแนนแทน
ทักษะด้านการบริหารประเทศ
ถึงแม้นายอภิสิทธิ์จะมีคารมเป็นต่อ แต่เขาก็โดนโจมตีมาตลอดด้านทักษะการบริหาร และในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาก็โดนวิจารณ์อย่างหนักว่า “ดีแต่พูด” ถึงแม้จะไม่ใช่นายกที่บริหารประเทศล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่เราก็คงเรียกนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นนายกที่เก่งด้านบริหารไม่ได้เช่นกัน
ส่วนยิ่งลักษณ์มีประสบการณ์ในการบริหารภาคเอกชนอย่างเต็มที่ แต่ก็มีข้อกังขาว่าบริษัททั้งหมดเป็นบริษัทในกลุ่มชิน ซึ่งลูกน้องที่คิดจะแข็งข้อกับผู้บริหารนามสกุล “ชินวัตร” ก็อาจมีไม่เยอะเช่นกัน ในการบริหารภาคเอกชนเราคงยกให้ยิ่งลักษณ์เหนือกว่าอภิสิทธิ์มาก แต่ “การบริหารประเทศ” ซึ่งต่างไปจากการบริหารบริษัทก็ยังเป็นคำถามที่ยิ่งลักษณ์ต้องแสดงออกให้ เห็นว่าทำได้หรือไม่
ภาวะความเป็นผู้นำ
คงไม่มีใครปฏิเสธความเด็ดเดี่ยวของนายอภิสิทธิ์ในการปราบปรามผู้ชุมนุม เสื้อแดง แต่ในภาวะวิกฤตอื่นๆ ของประเทศ อย่างน้ำท่วมใหญ่ติดกันหลายครั้ง หรือความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน นายอภิสิทธิ์กลับไม่แสดงให้เห็นภาวะผู้นำมากนัก จุดอ่อนที่สุดที่นายอภิสิทธิ์โดนโจมตีคือการตั้งผู้บัญชาการตำรวจเมื่อปี 2552-2553 ที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ อาจเป็นจุดด่างพร้อยของนายอภิสิทธิ์ในเรื่องนี้
ส่วนยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่เคยมีผลงานด้านนี้ชัดเจน คงไม่เป็นธรรมนักที่จะให้คะแนนเธอในวันนี้ แต่การรณรงค์หาเสียงยาวนานเกือบ 2 เดือนอาจชี้ให้เห็น “ภาวะผู้นำ” ของเธอมากขึ้น
ความรู้ด้านเศรษฐกิจ
ถึงแม้ว่าอภิสิทธิ์จะจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์โดยตรง แต่เขาเองกลับไม่มีผลงานโดดเด่นด้านเศรษฐกิจเท่าไร และมักยกบทบาทให้ขุนคลังคู่ใจอย่างนายกรณ์ จาติกวณิชแทน ทำให้ภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจของนายอภิสิทธิ์อยู่ในระดับปานกลาง ไม่แย่แต่ก็ไม่เด่นเท่าสมัยนายกชาติชาย หรือทักษิณที่เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง
ยิ่งลักษณ์ไม่ได้จบมาด้านเศรษฐกิจโดยตรง แต่บทบาทของเธอในฐานะซีอีโอของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ก็ย่อมบีบให้เธอต้องมีความรู้ด้านเศรษฐกิจอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นั่นอาจไม่ใช่เศรษฐกิจระดับนโยบายมหภาค อย่างที่เธอจะต้องเข้ามาบริหารจัดการในฐานะนายกรัฐมนตรี ดังนั้นในข้อนี้เราก็คงต้องเว้นการประเมินยิ่งลักษณ์ไปก่อนเช่นกัน
ความสัมพันธ์กับเสื้อแดง
ยิ่งลักษณ์ในฐานะ “น้องสาวทักษิณ” ย่อมได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างมาก ถึงแม้จะมีเสื้อแดงบางส่วนไม่เห็นด้วยกับ “การสืบทอดอำนาจภายในครอบครัว” ของทักษิณ แต่ก็ไม่ใช่สัดส่วนที่เยอะนักจนมีผลอะไร ในภาพรวมเราคงถือได้ว่ายิ่งลักษณ์ได้คะแนนนิยมจากเสื้อแดงเกือบร้อยเปอร์ เซนต์
ส่วนอภิสิทธิ์ในฐานะคู่ขัดแย้งกับเสื้อแดง และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปราบปรามเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก คงไม่มีทางได้เสียงสนับสนุนจากเสื้อแดงเช่นกัน
ความสัมพันธ์กับเสื้อเหลือง
อภิสิทธิ์เคยเป็นขวัญใจแม่ยกเสื้อเหลืองมาโดยตลอด แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรฯ ขัดแย้งกันในเรื่องปราสาทพระวิหาร พันธมิตรก็หันมาโจมตีอภิสิทธิ์ในระดับที่เรียกได้ว่า “แรงกว่าเสื้อแดง” ด้วยซ้ำ
แต่ภาพลักษณ์ของอภิสิทธิ์ในสายตาเสื้อเหลือง น่าจะยังดีกว่ายิ่งลักษณ์ในฐานะ “น้องสาวทักษิณ” อยู่เล็กน้อย เราจึงให้แต้มต่อของอภิสิทธิ์เหนือกว่ายิ่งลักษณ์อยู่เล็กน้อยในประเด็นนี้
คะแนนนิยมจากคนชั้นกลาง
อภิสิทธิ์เคยได้คะแนนนิยมจากคนชั้นกลาง (โดยเฉพาะในกรุงเทพ) อย่างมากในการเลือกตั้งปี 2550 อันเป็นผลมาจากหน้าตา บุคลิก สถานะ คุณสมบัติ ภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์ แต่การบริหารงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำให้คนชั้นกลางจำนวนมากที่เคย เลือกอภิสิทธิ์ ไม่พอใจในทักษะการบริหาร ความล่าช้าของการสั่งการ และแนวทางของอภิสิทธิ์ที่เน้น “พูดมากกว่าทำ” การเลือกตั้งครั้งนี้คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์ในหมู่คนชั้นกลางคงลดลงไปบาง ส่วน
กรณีของยิ่งลักษณ์ที่ไม่เคยเข้าสู่วงการการเมืองเลยก็ตัดสินได้ยากว่าจะ ได้รับเสียงตอบรับจากคนชั้นกลางมากน้อยแค่ไหน เธอมีดีที่หน้าตา บุคลิก ประสบการณ์ภาคเอกชน แต่ก็มี “ตำหนิสำคัญ” ที่คนชั้นกลางอาจไม่ชอบอย่างยี่ห้อ “ทักษิณ” และ “พรรคเพื่อไทย” ที่ติดตัวมา
http://www.siamintel...sit-comparison/
ข้อมูลนี้ผ่านมาแล้วกว่า 2 ปี....
ข้อเท็จจริงในตารางเปรียบเทียบนั้นส่วนใหญ่เป็นความจริง
แต่ไม่ได้ลงลึก หรือเปิดเผยเบื้องหลังเหตุการณ์ เช่น...
1.ถึงแม้นายอภิสิทธิ์จะมีคารมเป็นต่อ แต่เขาก็โดนโจมตีมาตลอดด้านทักษะการบริหาร และในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาในฐานะนายกรัฐมนตรี เขาก็โดนวิจารณ์อย่างหนักว่า “ดีแต่พูด” ถึงแม้จะไม่ใช่นายกที่บริหารประเทศล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่เราก็คงเรียกนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นนายกที่เก่งด้านบริหารไม่ได้เช่นกัน....
อภิสิทธิ์ควรจะตรงกับสุภาษิตไทย "เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด" การยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และระบอบประชาธิปไตยฯ ภายใต้ข้าราชการประจำระดับสูงเป็นคนของทักษิณ เช่น นายพลตำรวจอดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นผู้บัญชาการรับผิดชอบความปลอดภัย ความสงบสุขของการประชุมอาเซียนระดับผู้น้ำประเทศ +6 นั้น ปล่อยให้ไพร่เสื้อแดง นปช.เข้าทำลายการประชุมได้อย่างใด ไม่มีสำนึกของผุ้รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่อย่างปราบปรามม๊อบเสธฺอ๊าย....เรียกว่าอภิสิทธิ์-สุเทพ มองคนผิด.....!
ช่วงเวลาของที่เป็นรัฐบาลผสมที่ไม่มีเสียงถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนและวุฒิสภานั้น ทำอะไรก็ขัดขา ขัดแข็ง ต้องคอยติดตามปัญหาทุจริตของนักการเมืองร่วมรัฐบาล และข้าราชการ"เกียร์ว่าง" และ "กินบนเรือนขี้บนหลังคา"จำนวนมาก....!
2.แต่ในภาวะวิกฤตอื่นๆ ของประเทศ อย่างน้ำท่วมใหญ่ติดกันหลายครั้ง หรือความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน นายอภิสิทธิ์กลับไม่แสดงให้เห็นภาวะผู้นำมากนัก จุดอ่อนที่สุดที่นายอภิสิทธิ์โดนโจมตีคือการตั้งผู้บัญชาการตำรวจเมื่อปี 2552-2553 ที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ อาจเป็นจุดด่างพร้อยของนายอภิสิทธิ์ในเรื่องนี้
คณะกรรมการพิจารณาเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วย รัฐมนตรีมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายตำรวจระดับสูงสุด 5 ตำแหน่ง ฯลฯ (เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการฯ ต้องการมีตัวเลือกอย่างน้อย 2 คน).....โหวตครั้งใดคะแนนเสียงก็ไม่ชนะอีกฝ่ายหนึ่งทุกที จึงต้องใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง"รักษาการฯ"จนเกือบสุดท้าย....
3.ถึงแม้ว่าอภิสิทธิ์จะจบการศึกษาด้าน เศรษฐศาสตร์โดยตรง แต่เขาเองกลับไม่มีผลงานโดดเด่นด้านเศรษฐกิจเท่าไร และมักยกบทบาทให้ขุนคลังคู่ใจอย่างนายกรณ์ จาติกวณิชแทน ทำให้ภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจของนายอภิสิทธิ์อยู่ในระดับปานกลาง ไม่แย่แต่ก็ไม่เด่นเท่าสมัยนายกชาติชาย หรือทักษิณที่เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง
รัฐบาลคุณชวน หลีกภัยสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งได้นั้น คุณชวน หลีกภัยเป็นนักกฏหมาย แต่ยอมรับการทำงานทีมเวิร์ค มีคุณธารินทร์ ดร.ศุภชับ เป็นต้น...
รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ผลกระทบจากวิกฤต"แฮมเบอเกอร์"และวิกฤต"ซับไพร์ม"นั้น ด้วยทีมเวิร์ค มีคุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์ คุณเกียรติ เป็นต้น ท่ามกลางการก่อการจลาจล ก่อการร้ายของไพร่เสื้อแดง ขี้ข้านักโทษหนีคุก.....
โดยภาพรวมรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับการยอมรับจากชาติมหาอำนาจ นักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ นักลงทุนข้ามชาติมากกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยกเว้นรัฐบาลฮุน เซนและมอนเตเนโกร....!
หากคุณอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง น่าจะ"ไม่เหมือนเดิม" ไม่ปล่อยให้"ความเป็น"สุภาพบุรุษ" ทำลายตัวเอง ทำลายพรรคประชาธิปัตย์ และทำลายประเทศไทย....!
Edited by ปุถุชน, 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 09:37.