คิดเล่นๆคลายเครียด สมมุติว่าโรงพยายบาลเกิดเจ๊งขึ้นมาจะทำยังไง
เมื่อรายรับกับรายจ่ายไม่สมดุลย์กันมันก้ต้องและเป็นธรรมดา
รับงบมาน้อยจ่ายจริงบานเอะ กว่าจะเบิกได้ก็นานแสนนาน
โรงพยาบาลต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางทีจากผู้ช่วยเหลืออาจจะต้องกลายเป็นเพชฆาตรเสียเอง
ถ้าความมั่นคงทางสูขภาพล้มละลาย หลายคนคงต้องนอนตายข้างถนน....
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นพ.อำนวย กาจีนะ รองปลัด สธ. แล้วว่าทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือเวียนแจ้งไปยังสถานพยาบาลในสังกัดหน่วยงานราชการ รวมถึง สธ. ว่ากรมบัญชีกลางเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนการเบิกจ่ายค่ายาในระบบสวัสดิการราชก าร เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการรักษาผู้ป่วยในระบบนี้ ส่วนใหญ่สั่งจ่ายยาต้นแบบให้กับผู้ป่วยเป็นหลัก ส่วนยาสามัญนั้นมีการสั่งจ่ายน้อยมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้ยาสามัญและลดค่าใช้จ่ายด้านยาของระบบสวัส ดิการข้าราชการ กรมบัญชีกลางจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายใหม่ โดยในกรณีการสั่งจ่ายยาต้นแบบให้โรงพยาบาลบวกกำไรค่ายาได้ไม่เกิน 3% แต่ในกรณีที่เป็นการจ่ายยาสามัญนั้นจะให้บวกกำไรได้มากขึ้น อาจบวกเพิ่มสูงถึง 100-300% ของต้นทุนค่ายา ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการจูงใจสถานพยาบาลสั่งจ่ายยาสามัญเท่านั้น แต่ยังสามารถชดเชยโรงพยาบาลในส่วนกำไรที่สูญหายไปจากการเปลี่ยนสั่งจ่ายยาต้ นแบบเป็นยาสามัญ
“ในฐานะที่เป็นรัฐบาล มองว่าหลักเกณฑ์นี้จะเป็นการดึงเม็ดเงินที่เคยสูญเสียไปกับการสั่งจ่ายยาต้น แบบกลับเข้าโรงพยาบาลอย่างเป็นระบบ เช่น ยาบางตัวหากเป็นยาต้นแบบ ราคาจะอยู่ที่เม็ดละ 70 บาท แต่ในกรณียาสามัญอยู่ที่เม็ดละ 5 บาท โดยกำหนดให้โรงพยาบาลเบิกได้ในราคาเม็ดละ 35 บาท” รมว.สธ.กล่าว และว่า แม้ระเบียบดังกล่าวจะทำให้ประหยัดงบประมาณลงไปได้ แต่งบที่รัฐบาลเคยให้ก็คงไม่ปรับลด แต่จะนำไปเพิ่มเติมในส่วนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น การเบิกจ่ายค่าห้องพิเศษได้มากขึ้น หรือเบิกจ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสอีกช่องทางหนึ่งของโรงพยาบาลที่จะสามารถสร้างรายได้จากสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้อีก เรียกว่าเป็นแนวทางที่สามารถยอมรับกันได้ทุกฝ่าย
http://www.thaipost....ws/071013/80321
เมื่อโรงพยาบาลชุมชนกำลังถูกทำให้ต้องล้มละลาย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2556 05:09 น.
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่เริ่มเดินหน้าเต็มตัวในปี 2545 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อระบบสุขภาพและการรักษาโรคแก่คนไทยเกือบทุกคน ในท่ามกลางความเจริญทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทุกคนควรต้องมีหลักประกันสุขภาพเพราะค่าใช้จ่ายทางการแพทย์นั้นแพงมาก แม้แต่เศรษฐีก็ยังอาจล้มละลายได้ และเมื่อคนไทยกว่า 99% มีหลักประกันสุขภาพ ภาวะเสี่ยงต่อการล้มละลายก็มาอยู่ในมือของโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กในชนบทระบบโรงพยาบาลรัฐของประเทศไทยโดยเป้าหมายไม่ได้มีไว้เพื่อการทำกำไร แต่โรงพยาบาลก็ต้องบริหารให้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย ให้มียาใช้ครบถ้วนตลอดปี มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ มีเงินจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ มีเงินจ่ายค่าซ่อมอุปกรณ์ค่าน้ำมันค่าอาหารผู้ป่วยและสารพัดรายจ่ายให้เพียงพอ
โรงพยาบาลของรัฐมีรายได้หลักๆ สองทาง คือ หนึ่งจากเงินจากระบบประกันสุขภาพต่างๆ ที่อาจจะจัดสรรมาล่วงหน้าหรือจัดมาทีหลังหลังตามรายการที่โรงพยาบาลได้ให้บริการไปแล้ว งบประมาณก้อนนี้ค่อนข้างจะคงที่ เพราหลักเกณฑ์การจัดสรรในแต่ละปีนั้นไม่ต่างกันมากนัก ก้อนที่สองคือเงินที่เก็บโดยตรงจากผู้ป่วย ซึ่งขึ้นกับนโยบายของโรงพยาบาลนั้นๆ ว่า จะกำหนดเงื่อนไขโยนภาระให้ผู้ป่วยแบกรับมากน้อยแค่ไหน เงินทั้งสองก้อนนี้จะรวมเป็นเงินในกระเป๋าเดียวกันเรียกว่า “เงินบำรุง” ซึ่งหมายความว่า สามารถใช้จ่ายได้จิปาถะตามระเบียบราชการค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เพิ่มจากเทคโนโลยีและค่ายาค่าวัสดุที่แพงขึ้นเท่านั้น
แต่รายจ่ายส่วนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากวัฒนธรรมการบริหารแบบกระทรวงสาธารณสุขด้วย กล่าวคือ การกำหนดนโยบายใหม่ๆหรือแนวปฏิบัติใหม่ๆ ออกมาก็มักจะระบุว่าให้เบิกจ่ายจากเงินบำรุง เช่น นโยบายขึ้นเงินเดือนลูกจ้าง นโยบายการจ่ายค่าตอบแทนแบบ P4P นโยบายการรณรงค์พ่นหมอกควันป้องกันไข้เลือดออกเป็นต้น ล้วนแต่สั่งให้ใช้จากเงินบำรุงโดยไม่ได้มีการส่งงบประมาณมาสมทบ หรือหากส่งมาก็เพียงบางส่วน โรงพยาบาลก็ต้องใช้เงินบำรุงรับภาระไปด้วยภาวะบีบคั้นทางงบประมาณที่จำกัด แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงและหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ไม่จ่ายได้ยาก ดังนั้นรายจ่ายที่พอจะลดได้ประหยัดได้ก่อน จึงเป็นรายจ่ายด้านการส่งเสริมสุขภาพ ลดรายจ่ายที่เกี่ยวกับขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ งดส่งอบรมพัฒนาความรู้ ลดบริการที่ลดแล้วไม่ถูกตำหนิเช่นลดการเยี่ยมบ้าน ลดการตรวจเลือด ลดเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการลง ลดการซื้อเครื่องมือแพทย์ ลดการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพบริการไม่มากก็น้อย และส่งผลต่อการพัฒนาทำให้เกิดการชะงักงัน โรงพยาบาลสีตก ผ้าม่านเก่า มุ้งลวดขาด เจ้าหน้าที่ไม่พอ คิวตรวจยาว พื้นที่คับแคบ และที่สำคัญคือการเสียภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลของรัฐเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน
ในปัจจุบันมีโรงพยาบาลชุมชนกว่า 200 แห่ง จาก 750 แห่งที่มีภาวะขาดทุนเรื้อรังมาหลายปีจนการพัฒนาหยุดชะงัก ซึ่งหากเป็นเอกชนก็ล้มละลายไปแล้ว และอีกกว่า 400 แห่งที่กำลังมีรายจ่ายสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้ และจะเข้าสู่ภาวะขาดทุน เพราะใช้เงินบำรุงที่เก่าเก็บมายาวนานจนจะหมดสิ้นแล้ว
เงิน 55 ล้านบาทที่ซื้อไอแพดแจก ส.ส./ส.ว.นั้น สามารถใช้เป็นค่ายาสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลจะนะได้นานถึง 5 ปี เงินอีก 15 ล้านที่ซื้อนาฬิกา 200 เรือนแขวนทั่วรัฐสภานั้น ใช้เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างของโรงพยาบาลชุมชนขนาดเล็กได้เกือบปี ประเทศไทยไม่ใช่ไม่มีงบประมาณ แต่รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่สนใจแก้ไขปัญหาหนี้สินและการขาดทุนสะสมของโรงพยาบาลชุมชน คนที่รับกรรมที่แท้จริงก็คือประชาชนโดยเฉพาะคนชนบทและคนจนเมือง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมเมดิคัลฮับ ให้โรงพยาบาลเอกชนรับผู้ป่วยต่างชาติมาดูแลทำกำไร แต่กลับปล่อยให้โรงพยาบาลของรัฐด้อยพัฒนาเพราะงบประมาณมีไม่พอ แบบนี้น่าจะเอาออกไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ให้คนที่เขามีความสามารถมีความตั้งใจจริงมาทำหน้าที่แทนจะดีกว่าไหม โรงพยาบาลชุมชนกำลังถูกทำให้ล้มละลายทั้งประเทศด้วยมือของรัฐบาลเอง
โดย...นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9560000100009
รอไปก่อนหมอ.....
พอกุ้เงิน 3.5 แสนล้าน มาสร้างเขื่อน
กู้ 2.2 ล้าน ล้าน + ดอกเบี้ย 3 ล้าน ล้าน ใช้หนี้หมด ใน 50 ปี อะไรๆคงดีขึ้น
รอหน่อยไม่นาน 50 ปีเอง แต่ใน 50 ปี รับบาลอื่นห้ามกู้นะครับถ้ารัฐบาลอื่นกู้ด้วย
ก็คงต้องรออีกสัก 200 ปี ทนเอาหน่อย คนไทยทนได้คนไทยเก่ง 200 ปีคงไม่ใช่ปัญหา
ปัญหามันอยู่ตรงที่ตอนนี้ 3.5 แสนล้านกับ 2 ล้าน ล้าน
ยังกู้ไม่ได้จะทำให้ระยะยการรออาจจะนานออกไปอีกสัก 2-3 ปี
Edited by ParaDon, 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556 - 12:44.