พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์
กำนัน, พล.อ.ประยุทธฯ VS ทักษิณฯ แล้วอภิสิทธิ์ฯล่ะ อยู่ข้างไหน!
จากกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินสายพบฝ่ายต่างๆ นั้นมีผู้คนออกมาวิจารณ์กันมากมาย โดยเฉพาะนายสุรพงศ์ฯ รองนายกฯ คนที่ ๑ พล่ามออกมาว่า “ทำให้ผู้สนับสนุนกำนันต้องคิดกันใหม่ว่าจะร่วมกับใคร ซึ่งใน กทม.มีผู้สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ฯ มากกว่านายสุเทพฯ” ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดเกมส์ร้ายกาจ พยายามผลักดันให้ กำนันสุเทพฯ แตกหักกับนายอภิสิทธิ์ฯให้ได้ (กรณีนี้ นายสุรพงศ์ฯ ยังไม่รู้ว่าประชาชนเขาออกมา ไม่ได้เป็นแฟนใคร ออกมาเพราะต้องการต่อต้านการโกงบ้านเมืองของเครือข่ายทักษิณหมือนๆ กัน)
คุณอภิสิทธิ์ฯ ไปเปิดตัวเรื่องนี้ เมื่อ ๒๕ เม.ย. ๕๗ บังเอิญไปสอดรับกับการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของคุณทักษิณฯ ที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เราต้องระวัง เช่น
“เมื่อ๑๐ เม.ย.๕๗” นายนพดล ปัทมะ เสนอแนวคิดกุญแจ ๕ ดอกหาทางออกประเทศ
“เมื่อ๑๔ เม.ย.๕๗” พ.ต.ท.ทักษิณฯ พูดว่าเลิกคิดอาฆาตจองเวร ต้องการเจรจากับทุกฝ่าย และพร้อมเสียสละ
“เมื่อ ๒๑ เม.ย.๕๗” พ.ต.ท.ทักษิณฯ บอกว่ายอมให้ตระกูลชินวัตรเลิกเล่นการเมือง
ทั้ง ๓ กรณีดังกล่าวมานี้ แสดงว่าคุณทักษิณฯ เห็นว่าการพึ่งพาทหาร น่าจะไม่ได้ผลแน่นอน เลยตัดสินใจเปิดช่องทางให้มีกระบวนการเจรจา เพื่อเปิดทางถอยไว้ก่อน ถ้าเกมส์แรงไม่ได้ผล ก็จะได้ถอยมาใช้วิธีนี้ได้ทันท่วงทีไม่เสียหน้ามากนัก ดังนั้นการที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ออกมาเคลื่อนไหว จึงสอดรับกับ พฤติกรรมของคุณทักษิณฯ พอดี จะไปโกรธคนที่ออกมาติติงไม่ได้ครับ
ข่าวลือทำนองนี้ ทำให้กำนันสุเทพฯ กับคุณอภิสิทธิ์ฯ ต้องทะเลาะกัน ตามข่าวสารที่สื่อสารกันออกมา จริงหรือไม่ ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้ทั้งคู่จะมีการขัดแย้งกันมาหลายครั้ง แต่ในที่สุด คน ๒ คนนี้ก็กลับเดินคู่กันสู้กับ “เครือข่ายทักษิณ” ต่อไปทุกครั้ง คนที่เคยกลืนน้ำตา กลืนเลือดมาด้วยกันหลายสิบคืน ในฐานะสหายร่วมรบ ในขณะที่กรุงเทพฯ ถูกครอบคลุมด้วยหมอกเมฆสีแดงและ ยมทูตโม่งดำนั้น คนทั้งคู่นี้จะทิ้งกันลงได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ข่าวสารเรื่องนี้ทำให้ทั้งแฟนคุณอภิสิทธิ์ฯ และแฟนกำนันสุเทพฯ บางคนเริ่มออกมาโจมตีกัน ผสมด้วยการแหย่ การซ้ำเติมของคนในรัฐบาล แม้แต่การออกมาทำคลิป ประกบคลิปของคุณอภิสิทธิ์ฯ จากการทำของ แกนนำเสื้อแดง ในลักษณะถากถางคุณอภิสิทธิ์ฯ ผ่านโทรทัศน์ช่อง ๑๑ (กรมกร๊วก) ซึ่งดูแล้วยิ่งทำให้แฟนคลับของทั้ง ๒ คนเริ่มมองหน้ากันไม่ติดมากขึ้น
ช่วงเวลานี้ สถานการณ์ฝ่ายประชาชนกำลังอยู่ในระยะเข้าด้ายเข้าเข็ม ต่อการเผชิญหน้ากับ “ศัตรู” ชุดเดิม ทั้งแดงและโม่งดำ ถึงขนาดที่ ผบ.ทบ.ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ สรุปว่า “รู้สึกไม่สบายใจกรณีหัวหน้าส่วนราชการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนขัดแย้งกัน เอง ซึ่งตนได้ช่วยหาทางออกให้แล้ว แต่ยังไม่ทำกัน พร้อมกับย้อนถาม จนท.ตร. กรณีออกมาให้ข่าวว่าไม้หนึ่ง ก.กุนทีอยู่ใน แบล็คลิสต์ของกองทัพ โดยอยากทราบว่ามีข่าวมาได้อย่างไร รวมทั้งกล่าวถึงหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า หากยังเขียนต่อว่ากล่าวหากองทัพในทางที่เสียหายแบบนี้อยู่ เตรียมตัวตกงานได้เลย และอยากขอให้ ศอ.รส. ตรวจสอบการจัดตั้ง กองกำลังของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ว่าผิดกฎหมายหรือไม่รวมถึงอีกหลายกลุ่มที่มีการจัดตั้งกองกำลัง
ในขณะเดียวกัน ศอ.รส.ก็ออกมาขานรับการถอนกำลังทหารออกไป๔,๐๐๐คน โดยจะจัดให้ จนท.ตร.มาอยู่แทน เรื่องนี้ฟังแล้วก็น่าอายครับ จะล้อมปราบ กปปส.หรือไง ๕๕๕๕๕๕ แต่ พล.อ.ประยุทธฯ ออกมาตอบว่าถ้าทหารจะถอน ต้องถามว่าตำรวจ จะดูแลความปลอดภัยของประชาชนได้หรือเปล่า ๕๕๕๕ ทันกันครับ
เรื่องนี้ ผบ.ทบ.ได้ออกมาย้ำให้เห็นว่า “สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันนี้ ได้ก้าวมาสู่จุดที่เป็นอันตรายแล้ว” สถานการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะเชื่อว่าคน ๒ คนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน คน ๒ คนที่ไม่ใช่คนโง่ดักดาน เดินมาด้วยกัน พอเจอเสือเดินสวนมา จะมาแยกทางกันเดินหรือไร หรือจะรอให้เสือมากินไปที่ละคน แทนที่จะร่วมกันสู้ ผมคนหนึ่งละไม่เชื่อเรื่องโง่ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นระหว่างคนรักชาติ รักแผ่นดิน ๒ คนครับ เมื่อวานนี้ คุณสุเทพฯ ยังพูดบนเวทีเลยว่า “เงินบริจาค ๑แสนบาท เป็นเช็คบริจาคผ่านมาทางคุณ อภิสิทธิ์ฯ”
กลับมาฟังจากคลิปที่คุณอภิสิทธิ์ฯ พูดให้ละเอียดขึ้นหน่อย จะพบว่าคุณ อภิสิทธิ์ฯ เก็บซ่อนอะไรไว้ในคำพูดบ้าง และคำตอบของคุณอภิสิทธิ์ฯ หลังจาก๑๐ วันไปแล้วคืออะไร
(๑) คุณอภิสิทธิ์ฯ เสนอตัวเป็นคนกลางที่จะเจรจากับทุกฝ่าย แต่เป็นการเจรจากับทุกฝ่ายแบบระบุตัว เพื่อจะนำข้อความสำคัญจากการสนทนามากำหนดแนวทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
(ผม เห็นว่า การเจรจาแบบนี้ เท่ากับคุณอภิสิทธิ์ฯ “ฉลาด” มีเป้าหมายสุดท้าย อยู่ในใจแล้วว่า “พูดอย่างไรก็ไม่ได้ข้อยุติแน่นอน” เพราะคนที่ไปพูดด้วย ทุกคนล้วนแต่ไม่มีอำนาจอะไรที่จะกำหนดเหตุการณ์ ในอนาคตได้”)
(๒) คุณอภิสิทธิ์ฯ ยืนยันว่า คดีทุกเรื่องต้องดำเนินไปตามกฎหมายและ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่มีการเจรจาเรื่องนิรโทษฯ เด็ดขาด และไม่มีการต่อรองเรื่องผลประโยชน์
(เงื่อนไข แบบนี้ เสนอไปฝ่ายรัฐบาลจะรับไหม? แน่นอนว่าฝ่ายรัฐบาล คงรับไม่ได้ค่อนข้างแน่นอน นอกจากคุณทักษิณฯ จะเกิดตาเห็นธรรมขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดังนั้นการเจรจาครั้งนี้ล้มเหลวล่วงหน้าอย่างแน่นอนอีกเช่นกัน มาถึงตรงนี้ เริ่มเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ น่าจะมุ่งหมายที่ต้องการแสดงบทบาทของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเท่า นั้น)
(๓) คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่เชื่อว่าคำตัดสินของศาล หรือการปฎิวัติรัฐประหารจะเป็นทางออกของประเทศ
(กรณีนี้ คุณอภิสิทธิ์ฯ รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนั้น อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแบบหนึ่งแบบใดแน่นอน เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่าง กปปส.กับรัฐบาลแล้ว แต่มันก้าวล้ำเข้าไปสู่มิติของความมั่นคงแห่งชาติแล้ว ขบวนการจัดการต่อปัญหาจึงต้องแก้ไขด้วยวิธีพิเศษ จะมาใช้ “กฎหมายแก้ไขอยู่มันไม่ทันอยู่แล้ว” แต่ในฐานะนักการเมือง การออกมาพูดเรื่องนี้ น่าจะเป็นแค่การตีกิน แสดงจุดยืนทางประชาธิปไตยไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง)
(๔) คุณอภิสิทธิ์ฯ พูดว่า “ไม่มีใครที่จะได้อะไรที่ตัวเองต้องการทุกอย่าง”
(ข้อ นี้ ผมคิดว่า คุณอภิสิทธิ์ฯ น่าจะพลาดในการจัดระบบคำพูด เพราะเท่ากับเป็นการชี้ให้มีการพูดคุยเจรจาต่อรองกัน ระหว่าง กปปส.กับรัฐบาล ข้อนี้ติดลบครับ เพราะวันนี้ ประชาชนลงทุนไปมากแล้ว หลายสิบชีวิตของวีรชนไม่ได้ต้องการอะไรเพื่อตัวเอง แต่ต้องการได้อะไรมาเพื่อชาติบ้านเมืองครับ)
(๕) คุณอภิสิทธิ์ฯ กำหนดกรอบการเจรจาด้วยหลักการที่ว่า ต้องมีการ ปฎิรูป และ ต้องมีการเลือกตั้ง (ไม่บอกว่า อะไรก่อน อะไรหลัง) เพียงแต่เน้นว่า การปฏิรูปกับการเลือกตั้งต้องทำควบคู่กันไปโดยต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญ และ ต้องเป็นประชาธิปไตย
(คุณ อภิสิทธ์ฯ พูดแบบนี้ จึงสรุปได้ว่า ทั้งหมดที่ออกมาพูดก็เพื่อจะบอกว่า “มีวิธีที่มีการปฏิรูปทางการเมืองขึ้นก่อนการเลือกตั้ง โดยไม่ต้องปฏิวัติ หรือฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ” แต่ทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ วกไปวนมาคนฟังก็สับสนครับ)
(๖) คุณอภิสิทธิ์ฯ บอกว่า การเป็นตัวกลางเจรจาเพื่อหาทางออกครั้งนี้ จะรู้ผลประมาณ ๑๐ วันเท่านั้น
(คำ ตอบของคุณอภิสิทธิ์ฯ ที่ชัดเจนและน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด หลังจากครบ ๑๐ วันแล้ว คือ “ผมทำสุดความสามารถแล้ว ก็ต้องปล่อยไปตามทางของมัน” แค่นี้คุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ทำตามกติกาประชาธิปไตยครบถ้วนแล้ว และ ก็ปกป้อง พรรค ปชป.ได้สำเร็จอีกด้วยครับ แต่อย่าให้มันเกินเลยไปจนส่งผลกระทบต่อการเดินหน้าของขบวนการประชาชนก็แล้ว กัน)
มีหลายเรื่องที่เราอาจจะมีความจำเป็น บอกใครไม่ได้ เช่น ท้องก่อนแต่ง หรือติดยาเสพติด หรือไปแอบจีบเพื่อนในห้องเดียวกัน ซึ่งมันเป็นความจำเป็นของมนุษย์แต่ละคน ที่ต้องปกปิดไว้ก่อน ถ้าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ตอนนี้สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ฯ กำลังทำอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่ถ้ามีคนเข้าใจผิดไป อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้โดยไม่เจตนา ดังนั้น เรื่องแบบนี้ผมจึงไม่เชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ จะไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การที่ทำหรือพูดอะไรออกมาจึงน่าจะมีนัยยะสำคัญแอบแฝงไว้ และผมก็เชื่ออีกว่า กำนันสุเทพฯ ต้องแอบฉุนคุณอภิสิทธิ์ฯ เล็กๆ อยู่เหมือนกัน นอกจากนั้น ผมก็เชื่ออีกว่า ทั้ง ๒ คนไม่มีอะไรแตกแยกกันออกไปมากจนเสียงานของชาติบ้านเมือง และเสียทีไอ้โม่งดำที่กำลังจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า พรรค ปชป.ทั้งพรรค ยังร้องเพลสู้เข้าไปอย่าได้ถอยให้สอดรับกับ กปปส.ได้อย่างแน่นอน
สำหรับพวกเรา อย่าแค่เปิดทางให้กำนันเดินผ่าน แต่พวกเราต้องร่วมใจกันออกเดินไปพร้อมๆ กับกำนันด้วยครับ เพื่อชาติไทยและเพื่อตัวเราเอง รวมถึงลูกหลานด้วย ทุกคนได้ประโยชน์เสมอกันหมดครับจากชัยชนะของกำนัน ไม่ว่าสีอะไร แม้กระทั่งสีแดงหรือลูกหลานสีแดง
-------------------------------------------------------------
ฟังการวิเคราะห์จากอีกท่าน เนื้อหาน่าสนใจ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะค่ะ