กลับมาถึงบ้านพักใหญ่ๆ ไปถึงพาต้าปิ่นเกล้าตอนบ่าย 2 ครึ่งเดินไปมาจน บ่าย 3 กว่า ๆ จึงตัดสินใจขึ้นรถเมลล์ข้ามไปฝั่งสนามหลวง
พบผู้คนมากมายรอรถเมลล์ข้ามไปเหมือนกัน เหลือบไปเห็น ปอ 203 มา รีบวิ่งปรู๊ดไปแย่งขึ้นก่อน เบียดขึ้นไปด้านหน้า กะดูวิว แจ่ม ๆ
จ่ายค่าตั๋วไป 12 บาท ยืนก็ไม่เป็นไร แอร์เย็น ๆ พอเลยแยกไฟแดงจะขึ้นปิ่นเกล้ารถติมมาก คนขับก็บอกว่า พี่ ๆ เดินไปไวกว่า อะไรแว้
เสียค่ารถแอร์ 12 บาท ได้นั่งแค่ป้ายเดียว เอาก็เอาวะ ตัดสินใจลงเดินข้ามสะพานปิ่นเกล้า คนเดินด้วยอุดมการณ์เดียวกันเยอะมาก
พอข้ามปิ่นเกล้าพบน้องคนสวยแจกน้ำตรงหน้าวิทยาลัยนาฏศิลป์เดิม (เข้าใจว่าเป็นนักศึกษา) ไม่ได้ถ่ายรูป เพราะไม่มีกล้อง (แล้วจะเขียนทำไมแว้)
อากาศอบอ้าวมากและเมฆครึ้มเหงื่อออกเยอะมาก เดินเลาะมาทางหน้าธรรมศาสตร์ มีเต๊นท์แจกน้ำกับของกิน ด้วยความหิวเลยเล่นโอเลี้ยงไปซะ 1 แก้ว
ชื่นในน้ำใจของพี่น้องจริง ๆ เลาะมากลางสนามหลวงตรงหน้าปะรำพิธี เจอพี่ฝรั่งเป่าแตร (จะเขียนว่าไม่ได้ถ่ายรูปก็เกรงใจ )เฮฮาอยู่ตรงนั้น สักพักใหญ่ ๆ
พี่น้องธรรมศาสตร์เดินผ่านสนามหลวงไปตรง สถานที่จัดงาน มองไปที่ถนนคนแน่นแล้ว ซัก 4 โมงกว่าน่าจะได้ ได้คุยกับพี่ ๆ อุดมการณ์เดียวกัน (นึกดูเองว่าจะอายุเท่าไร )
สักพักแดดออก หาที่หลบร่มกัน ซัก 5 โมงกว่า พอทนร้อนได้ก็มานั่งอยู่ตรงกลางลานดินที่เตรียมสำหรับไถนา ทาง กทม เอาไม้มาปิดเพื่อไม่ให้เสียหายกับพื้นดินที่เตรียมไว้
ที่น่าแปลกใจปนดีใจ คือ มีตำรวจ 3 นายเดินตรวจการณ์ผ่านไปกลางฝูงชน มวลมหาประชาชนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ขากลับเดินย้อมกลับไปพาต้าปิ่นเกล้า มีตำรวจบริการ
เฝ้ารักษาความปลอดภัยตรงใต้สะพานและบนสะพานให้กับมวลมหาประชาชนตอนเดินข้ามสะพานปิ่นเกล้ากลับ เหนื่อยเหมือนกันครับ แต่ก็อิ่มใจที่ได้เป็นจุดเล็ก ๆ สีเหลือง
จุดหนึ่งในการแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี