7 พฤษภาคม 2014 เวลา 8:01 น.
คำปราศรัย เวทีสวนลุมพินี
"ระบอบทักษิณ vs ระบอบบรรหาร"
โดย สมเกียรติ อ่อนวิมล
6 พฤษภาคม 2557
สวัสดี มวลมหาประชาชนทุกท่านครับ,
วันนี้เป็นครั้งที่ 12 ในรอบ 180 วัน ที่ผมได้มีโอกาสมาพูดคุยกับท่านทั้งหลาย ณ ที่ชุมนุมอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้เป็นมวลมหาประชาชนเจ้าของประเทศไทย เจ้าของ “อำนาจอธิปไตย” ที่ถูกกลุ่มคนที่กำนันสุเทพเรียกว่า “โจรปล้นแผ่นดิน” ได้ปล้นเอาอำนาจอธิปไตยของเราไปใช้จรรโลงอำนาจและกอบโกยผลประโยชน์ของกลุ่ม ของพวกตน ในนาม “ระบอบทักษิณ” ผ่านตัวแทนหัวขบวนชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่กำนันสุเทพเรียกอย่างมีเมตตาว่า “นางดอกงิ้ว”
หลังจากที่เคยเรียกเธอเป็นบุบผามาลีพันธุ์อื่นที่ส่งกลิ่นเร่าร้อนรุนแรงกว่านี้มานานหลายเดือน
หน้าบ้านผมมีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง กำลังเติบโต เวลาหน้าแล้งตอนนี้ยังไม่ออกดอก ออกดอกเมื่อไรผมจะแจ้งให้ทราบว่าดอกงิ้วหน้าบ้านผมหน้าตาเป็นอย่างไร
จะอยู่ดูหน้ากันได้หรือไม่
ถ้าไม่ได้ ก็จะตัดทิ้งไป
ดอกงิ้วหน้าบ้านกำนันออกดอกเร็วเป็นพิเศษ และคงจะมีหน้าตาไม่น่าดูแน่ๆ ท่านกำนันสุเทพจึงพยายาม ตัดทั้งดอก โค่นทั้งต้น ต้องการขุดรากถอนโคนทิ้งให้สิ้น
พยายามอยู่ 6 เดือนกว่าแล้วก็ยังขุดไม่ถึงรากแก้ว
ดูจากสัตยาธิษฐานเมื่อวานนี้ … ผมเชื่อกำนันครับ
กำนันทำให้ผมเชื่อใจว่าดอกงิ้วจะร่วงโดยไม่รอเวลาเหี่ยวเฉา
ต้นงิ้วจะโค่นแบบถอนรากถอนโคนโดยไม่ต้องรออายุขัยตามธรรมชาติ
แต่จะล้มโค่นด้วยพลังของมวลมหาประชาชนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดเสมอว่า ไม่มีโอกาสอื่นใดอีกแล้ว นอกจากเวลานี้ ที่เราจะต้องผนึกกำลัง ทำความดี ปฏิรูป เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ช่วยสร้างชาติสร้างแผ่นดินกันอย่างฉับพลัน
ไม่มีโอกาสอื่นใดอีกแล้ว สำหรับเหล่ามวลมหาประชาชนไทยทั้ง 65 ล้านคน
นอกจากวันนี้ ที่เราจะต้องเข้าร่วมกระบวนการต่อสู้เพื่อปฏิรูปเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และวันนี้ เราได้เข้าสู่ในช่วงสุดท้ายของการต่อสู้แล้ว!
ต่อสู้ …….
“สู่ชัยชนะของมวลมหาประชาชน”
เริ่มวันฉัตรมงคล วันที่ 5 พฤษภาคม
วันประกอบพิธีสัตยาธิษฐาน เมื่อวานนี้
และ วันที่ 13 พฤษภาคม ก็จะเป็นวันทำบุญใหญ่เพื่อกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายออกไป
ให้สิ้นจากประเทศ
แล้ว วันที่ 14 พฤษภาคม ก็จะเป็นวันเริ่มปฎิบัติการมวลมหาประชาชน ใช้พลัง
แห่งสันติ พลานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน ยึดอำนาจอธิปไตยคืนมา เพื่อจัดการ
ปฏิรูปประเทศไทยให้ได้สังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์
เป็นประมุข
ท่านมวลมหาประชาชนทั้งหลายครับ,
เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศไทยของเราให้ทันสมัย ทันโลก ให้เราได้เป็นสังคมประชาธิปไตยกันอย่างแท้จริง ให้เราเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้า ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ให้ผงาดทัดเทียมประเทศที่เจริญแล้วในโลก
เรากำลังจะปฏิวัติความคิดอ่านของประชาชนพลเมืองให้คิดว่าตัวประชาชนเองเป็นเจ้านายของนักการเมือง
เราทุกคน ในฐานะประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย จะต้องรู้ว่านักการเมืองเป็นผู้รับใช้เรา และต้องรับใช้เราตามคำสั่งและการกำกับควบคุมดูแลของเราอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่คอร์รัปชั่น ไม่ทุจริตคดโกง
นักการเมืองทุกระดับ เราต้องคุมได้ และเขาต้องฟังเรา ไม่ใช่มาใหญ่กว่าเรา ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต. อบจ. นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด สส. สว. หรือ รัฐมนตรี
ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี......
คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ล้วนแล้วแต่จะต้องใส่ใจรับฟังทุกข์ยากและข้อเรียกร้องต้องการของเราผู้เป็นประชาชนทั้งนั้น
นายอำเภอ, ผู้ว่าฯ, นายกฯอบต - อบจ, ต้องทำงานร่วมกับเรา รับใช้เรา เพื่อความเจริญของท้องถิ่น และบ้านเมืองอย่างเสมอภาคกัน
พวก สส.จะมาบงการให้เราไปลงคะแนนเลือกเขา เป็นการตอบแทนที่เขาให้เงินซื้อเสียงจากเราไป ย่อมไม่ได้
และ … ต้องไม่ได้!
พวกรัฐมนตรีจะมาเกณฑ์ มาบังคับให้เราไปเข้าแถวถือป้ายต้อนรับเขาเวลาเขามาลงพื้นที่หาเสียงหรือตรวจราชการ ก็ไม่ได้ เช่นกัน
รัฐมนตรีจะใช้อำนาจ สั่งการเจ้าหน้าที่รัฐมาปราบปราม เข่นฆ่า ทำลายทั้งชีวิต และอิสรภาพแห่งความคิดของเรา ไม่ได้
รัฐมนตรี และ นักการเมืองทั้งหลาย จะมาแสดงอาการ กิริยามารยาท หยาบคาย ต่ำทราม ข่มขู่ เย้ยหยันประชาชน ไม่ได้
ไม่ว่าเราจะเลือก หรือไม่เลือกเขาเข้าไปทำงาน หรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องเป็นผู้มีวัฒนธรรม เคารพและฟังเสียงประชาชน
หากเราต้องการพบหารือการงานกับ สส. สว. หรือรัฐมนตรี เราต้องเรียกเขาให้มาพบปะพูดคุยกับเราในพื้นที่ของเราได้ เชิญให้มาพบแล้ว เขาควรจะมา
นายกรัฐมนตรี ก็เหมือนกัน หากไม่ทำงาน ทำงานไม่ดี มีเงื่อนงำทุจริต ทำผิดรัฐธรรมธรรมนูญ และกฎหมาย หรือแม้กระทั่งทำผิดจริยธรรมของนักการเมือง นายกรัฐมนตรีไม่เป็นตัวของตัวเอง คิดเอง-ทำเอง-ตัดสินใจเองไม่ได้ ปฏิบัติงานตามคำบงการของพี่ชายผู้มีอำนาจและบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แต่อยู่นอกประเทศ
เวลาเราบอกให้นายกรัฐมนตรีลาออก ด้วยความผิดต่างๆที่พูดมา
นายกรัฐมนตรีก็ควรจะฟังเหตุผลและยอมรับในพลังของมวลมหาประชาชน เช่นเรา
ที่บ้านเมืองของเราติดขัด คับข้อง ชะงักงัน เป็นวิกฤติการเมืองอยู่ในวันนี้นั้น ก็เพราะนักการเมืองวางอำนาจเหนือประชาชน รัฐบาลไม่ฟังประชาชน รัฐบาลมองและปฏิบัติต่อประชาชนผู้กำลังชุมนุมคัดค้านต่อเนื่องมายาวนานถึงกว่า 6 เดือนแล้ว มองและปฏิบัติต่อมวลมหาประชาชนพวกเราว่า
“เป็นศัตรู … เป็นฝ่ายตรงข้าม”
ถึงขนาดตั้งข้อหาว่าเราเป็นกบฎด้วยซ้ำไป ซึ่งไม่ถูกต้องเลย!
ในสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ประชาชนมีสิทธิ์เสรีในการคัดค้านรัฐบาล และเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำไปที่จะต้องพยายามล้มรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่น หาผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้อง บ่อนทำลายประเทศชาติ และล่วงละเมิดเสรีภาพของประชาชน
ในประเทศที่เจริญแล้วทางประชาธิปไตย เสียงประท้วงจากประชาชนเพียงคนเดียว หากมีเหตุผลชอบธรรม รัฐบาลก็ต้องฟัง
และเมื่อถึงกับมีประชาชนหลายล้านคนเรียกร้องต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น เรียกร้องมานาน 6 เดือน รัฐบาลก็ยิ่งต้องฟัง กลั่นกรองด้วยเหตุผล แล้วทำตามข้อเรียกร้องที่สมเหตุผลนั้น
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย กับ ประชาชน กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์-และระบอบทักษิณ มองประชาชนที่ชุมนุมคัดค้านตนเป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นศัตรู ก็ถือว่าผิดหลักการประชาธิปไตย ดังนี้แล้ว รัฐบาลก็ไม่มีประชาชนเป็นมิตร แล้วรัฐบาลจะอยู่รับใช้ประชาชนได้อย่างไร เพราะไม่มีประชาชนสนับสนุน
เป็นรัฐบาล แต่ไม่มีประชาชนสนับสนุน ก็ปกครองประเทศต่อไปเพื่อประชาชนไม่ได้ นอกจากจะปกครองประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเท่านั้นเอง
ท่านทั้งหลายครับ,
ที่บ้านเมืองของเราติดขัด คับข้อง ชะงักงัน เป็นวิกฤติการเมืองอยู่ในวันนี้นั้น ก็เพราะนักการเมืองผู้แสวงหาอำนาจ และที่อยู่ในอำนาจ ขาดการศึกษา ขาดวัฒนธรรม ขาดจิตสำนึกสาธารณะ ขาดอุดมการณ์ทำงานเพื่อชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
นักการเมืองที่ดีต้องรู้จักอย่างลึกซึ้งถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่มายืมคำว่าประชาธิปไตย เอามาดัดแปลงใช้ชั่วคราวเพื่อการเข้าสู่อำนาจ จะได้หาผลประโยชน์ให้ตนเอง
นักการเมืองที่ดีต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถและมีอุดมการณ์ เป็นคนมีคุณภาพ ลงแข่งขันกับคนดีจากพรรคการเมืองอื่น เป็นทางเลือกที่ดีกว่าให้กับประชาชนผู้มิสิทธิ์เลือกตั้ง
นักการเมืองที่ดี ก่อนที่จะไปให้ประชาชนเลือก ต้องรู้จักเลือกตัวเองก่อน ว่าสมควรจะให้ตัวเองลงสมัครรับเลือกตั้งไปรับใช้ประชาชนอย่างมีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตย ดีหรือไม่
ถ้าเราเป็นคนก้าวร้าวหยาบคาย ไร้ความรู้ความสามารถ เราต้องรู้ว่าเราไม่ควรลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่ง ใดๆทั้งสิ้น
ถ้าเราเห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว เราก็ต้องรู้จักห้ามตัวเองไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ให้เป็นที่อับอายของประชาชนผู้รู้เท่าทัน
หากเราต้องการสร้างชุมชนท้องถิ่นของเราให้เจริญก้าวหน้า เราก็ลงสมัครเป็นผู้แทนประชาชนในระดับท้องถิ่น
หากต้องทำงานระดับชาติ ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งระดับชาติ
ถ้าเรามีคุณภาพได้มาตรฐานการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และยึดมั่นในอุดมการณ์อันดีงามของพรรคการเมืองที่เราเห็นชอบด้วย เราก็เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองนั้นๆได้
หากเราจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา เราก็ต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องผูกพันกับพรรคการเมือง ไม่ว่าจะในปัจจุบัน หรือในอดีต เราต้องตัดสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอย่างเด็ดขาด ทั้งรูปธรรม และนามธรรม เพราะนี่คือกฎเกณฑ์และเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ
ผมขอยกตัวอย่างใกล้ตัวผมเองเมื่อปี 2543
ปีที่ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสุพรรณบุรี
พอคุณบรรหาร ศิลปอาชา ทราบข่าวว่าผมกำลังเตรียมตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว.สุพรรณบุรี คุณบรรหารให้เพื่อนสนิทของผม ขอให้ผมเข้าไปพบพูดคุยกับคุณบรรหาร
ผมอิดออดอยู่นาน คิดว่าไม่ควรไปพบเพราะจะขัดเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามมิให้ผู้ที่สมัครจะเป็นสมาชิกวุฒิสภามีความเกี่ยวพันกับพรรคการเมือง ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม
สำหรับผม เพียงแค่ไปนั่งคุยกันผมก็ว่าผิดเจตนารมย์รัฐธรรมนูญแล้ว แถมผมเคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีส่วนร่วมเขียนรัฐธรรมนูญปี 2540 เองด้วย ผมจึงถ่วงเวลาอยู่นานหลายสัปดาห์ แต่ในที่สุดก็เกรงใจ ที่คุณบรรหารก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นคนสุพรรณบ้านเดียวกัน ผมจึงตกลงไปคุยกับคุณบรรหาร
คุณบรรหาร ศิลปอาชา ขอไม่ให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง สว.สุพรรณ
เพราะคุณบรรหารสนับสนุนผู้สมัครคนอื่นครบ 3 คน สำหรับจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว พร้อมทั้งชวนผมเข้าร่วมเป็นพวกด้วยในพรรคชาติไทย
ผมกล่าวขอบคุณคุณบรรหาร และปฏิเสธข้อเสนอไป พร้อมทั้งบอกว่า ถ้าคุณบรรหาร ไปสนับสนุนผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ก็เท่ากับว่าขัดรัฐธรรมนูญ แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้เป็นทางการ แต่ก็ผิด และคุณบรรหารเองก็สร้างผลงานปฏิรูปการเมืองไทยโดยจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ในปี 2540 แล้ว
คุณบรรหารปรับทุกข์กับผมว่า:
“สมเกียรติ จะให้ผมทำยังไง? เพราะพรรคการเมืองอื่นเขาก็ทำกัน เหมือนๆกัน สนับสนุนหาคะแนนให้ผู้สมัคร สว. พวกพรรคตนทั้งนั้น ทุกพรรค ทุกจังหวัดทั่วประเทศ”
นี่แหละครับ
ไม่อยากทำผิด แต่ก็จำต้องทำผิด เพราะเป็นความผิดที่ใครๆก็ทำกัน
เป็นความผิดที่เอาผิดไม่ได้
แต่สำหรับผม แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะตามพิพากษาความผิดเป็นทางการไม่ได้ แต่ผมถือว่าเป็นความผิดทางจรรยาบรรณของนักการเมือง ที่ผิดชัดเจนแล้ว โดยไม่ต้องดูกฎหมายฉบับใด หรือรัฐธรรมนูญมาตราใด
ผมปฏิเสธคำขอของคุณบรรหาร ยืนยันจะลงสมัคร สว.สุพรรณบุรี อย่างเป็นอิสระบอกคุณบรรหารไปว่าผมเพียงอยากจะรู้ผลเลือกตั้งว่าจะแพ้คนของคุณบรรหารกี่หมื่นคะแนน
คุณบรรหารก็ดีใจหาย บอกผมว่า แม้จะไม่สนับสนุนผม แต่ก็ไม่ขัดขวางผม จะปล่อยให้ผมสมัครและหาคะแนนเสียงเอาเอง ผมจึงได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสุพรรณบุรีด้วยคะแนนเสียง 8 หมื่นกว่าคะแนน เป็นที่สอง ในการเลือกตั้งรอบแรก
คนของคุณทักษิณ ชินวัตร แห่ง พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง ได้กว่าแสนคะแนน ลงทุนซื้อเสียงเฉลี่ย หัวละ 3 พันบาท จากคำบอกเล่าของครูและผู้ใหญ่บ้านในเขตเลือกตั้งบ้านผม ที่เดิมบางนางบวช แต่คนของพรรคไทยรักไทยก็ถูกฟ้องให้เลือกตั้งใหม่จนแพ้คนของคุณบรรหารไปอีกคน
บุญหล่นทับผม ผมเลยกลายเป็น สว.สุพรรณฯ ผู้ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเป็นที่ 1 จากเดิมที่เป็นที่ 2 จาก สว. ที่มีได้ทั้งหมด 3 คน
คนของคุณบรรหาร ในที่สุดก็ได้มา 2 คน เพราะไม่ใช้เงินสดซื้อเสียง ใช้แต่การกินเลี้ยงและดูแลระบบแบ่งเขตหัวคะแนน ซึ่งมีคุณจองชัย เที่ยงธรรม - สส.สุพรรณฯลูกพรรคคุณบรรหาร เรียกคุณบรรหารว่านาย และเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงแรงงาน - เป็นผู้ช่วยบริหารจัดการแบ่งเขตพื้นที่หัวคะแนนด้วยคนหนึ่ง
คุณจองชัย เที่ยงธรรม เพิ่งได้รับเลือกตั้งมาเป็น สว. สุพรรณบุรี สดๆร้อนๆ และมีกระแสข่าวว่าจะถูกเสนอชื่อและถูกผลักดันให้เป็นประธานวุฒิสภาชุดใหม่ในไม่นานนี้
ส่วนอีกคนหนึ่ง สว.จากมหาสารคาม อยู่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย คือคุณศรีเมือง เจริญศิริ ก็กำลังดูท่าว่าจะแข่งขันชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภากับคนของคุณบรรหาร
คุณศรีเมือง เจริญศิริ เป็นสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกพร้อมกับผม ในปี 2543 เก้าอี้ที่นั่งในห้องประชุมก็ไม่ไกลจากผม ส-สมเกียรติ ใหล้กับ ศ-ศรีเมือง นั่งกันตามลำดับอักษรชื่อตัว ดังนั้นผมก็พอจะคุ้นเคยธรรมชาติการทำงานของคุณศรีเมือง สว.มหาสารคาม ตลอด 6 ปีที่เราอยู่ในวุฒิสภาด้วยกัน
คุณศรีเมืองเป็นหัวหน้าทีมดูแลผลประโยชน์ของคุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยในวุฒิสภา สมัยนั้น ทั้งๆที่สมาชิกวุฒิสภาถูกรัฐธรรมนูญห้ามไว้ไม่ให้เกี่ยวพันกับพรรคการเมือง แต่ก็ถือเป็นความผิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันอย่างเป็นทางการ แต่ผมก็เฝ้าสังเกตุและบันทึกการทำงานของคุณทักษิณ ผ่านคุณคุณศรีเมือง จนพูดได้ ณ เวทีนี้ว่า คุณศรีเมือง ทำงานให้คุณทักษิณ หาพวก สว.มาเป็นคะแนนสนับสนุนคุณทักษิณ ดูแลทุกสุขของ สว.เหล่านั้น จนผมเรียกว่าเป็น สว.สายทักษิณ คุณศรีเมือง เป็นประธานกรรมาธิการฯพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม ช่วยผ่านกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม จนสำเร็จ เอื้อประโยชน์ให้คุณทักษิณขายกิจการโทรคมนาคมของบริษัท Chin Corporation ให้กับ Temasek Holding ของสิงคโปร์ ได้ถึง 49% แทนที่จะได้เพียง 25% ตามที่ผมเคยแปรญัตติชนะ 3 ปีเศษก่อนหน้านั้น
เมื่อพ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาแล้ว คุณทักษิณตอบแทนคุณศรีเมือง ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ 4 เดือน ในปี 2551 ผมเจอคุณศรีเมืองวันหนึ่ง ผมก็แซวว่า :
“อ้าว ทำไมคุณศรีเมืองได้แค่รัฐมนตรีศึกษาธิการ ทำไมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือไม่ก็ว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับเขาบ้าง ทำงานให้แทบตาย”
คุณศรีเมืองตอบปนยิ้มเล็กน้อยว่า “เอาเท่านี้ก่อน”
สว.ที่อยู่ฝ่ายพรรคการเมือง ไม่ว่าจะพรรคใด เราจะทราบทีหลังชัดเจน เมื่อเขาได้รับตำแหน่งตอบแทนอย่างอื่น หลังจากเขาเหล่านั้นพ้นตำแหน่ง สว.ไปแล้ว
คุณอดุลย์ วันชัยธนวงศ์ สว.แม่ฮ่องสอน คนที่ถูก พล ต.อ. ประทิน สันติประภพ ชก กลางสภา ต่อมาก็ได้เป็น สส.พรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทย
เหมือนกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ทั้งหลาย ที่ช่วยธุรกิจการงานของคุณทักษิณ คนเหล่านั้นจะได้รับตำแหน่งตอบแทนตอนหลังด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะให้งานดีเงินดีในตำแหน่งการเมือง หรือในธุรกิจของเครือชินวัตร
นี่คือระบอบทักษิณที่ยังแผ่อิทธิพลไม่เกรงใจประชาชนใดๆที่ไหน จนทุกวันนี้
นี่คือระบอบทักษิณ ที่เรากำลังพยายามจะกำจัดให้หมดสิ้นไป
คุณบรรหาร ศิลปอาชา บริหารบารมีตนเองอยู่ในสุพรรณบุรี ผมก็เรียกว่า “ระบอบบรรหาร” ซึ่งก็คล้ายระบอบทักษิณ แต่ย่อส่วนเล็กลง
ที่สุพรรณบุรี ตำแหน่งผู้ว่าราชการ รองผู้ว่าราชการ หัวหน้า-ผู้กำกับตำรวจ ผู้อำนวยการโรงเรียน ล้วนต้องผ่านความเห็นชอบของคุณบรรหาร ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเสมอ
หากเราจะปฏิรูปโดยให้พรรคการเมือง นักการเมืองมาร่วมคิดหาแนวทางปฏิรูปด้วย เห็นทีจะยากแน่ครับ
ไม่มีหัวหน้าพรรคการเมืองคนไหน ยกเว้นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความเห็นเรื่องการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งเลย
หรือความเห็นว่าจะปฏิรูปประเทศอย่างไร เมื่อไรก็แล้วแต่ ก็ไม่มีครับ
วุฒิสภาที่เราเพิ่งเลือกได้มา ก็ไม่ใช่วุฒิสภาที่มีจิตสำนึกปฏิรูป เพราะผู้สมัครหลายคนที่ได้รับเลือกเข้ามา ไม่ได้คิดว่าคุณสมบัติของตนเองบกพร่องไม่สมควรลงสมัครรับเลือกตั้งแต่แรกแล้ว
สำหรับผม ที่สุพรรณฯ ผมก็ไม่ได้เลือกคุณจองชัย
หากผมเป็นชาวมหาสารคาม ผมก็จะไม่เลือกคุณศรีเมือง
ไม่ใช่เพราะสองคนนี้เป็นคนไม่ดี หากแต่สองคนนี้ไม่ได้ตัดขาดจากความเกี่ยวกับอำนาจบารมีการเมืองของระบอบบรรหาร และระบอบทักษิณ
สองคนนี้อาจจะมีคุณสมบัติเป็น สส.ที่ดีตามแนวทางของพรรคการเมืองที่ตนสังกัดได้
แต่สองคนนี้ควรรู้ตัวว่าไม่เหมาะ ไม่งดงามที่จะลงสมัคร สว. ยิ่งจะเป็นประธานวุฒิสภาแล้ว จะไม่งดงามอย่างที่สุด
นี่แหละครับ ที่ผมเรียกว่า “วัฒนธรรมการเมือง” ที่ขาดหายไปจากตัวนักการเมือง
ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ
แต่ผิดเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ
และผิดจรรยาบรรณของนักการเมือง
เมื่อนักการเมืองไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้ไม่มีวัฒนธรรมประชาธิปไตย
จึงเป็นหน้าที่ของเรา มวลมหาประชาชน ที่จะจัดระเบียบการเมืองใหม่ โดยทำกันเอง โดยไม่ขอใช้บริการความไม่คิดเรื่องวัฒนธรรม จากนักการเมืองอาชีพ
ท่านทั้งหลายครับ,
กว่าจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองไทยจำต้องมีการศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ สั่งสมปรัชญาการเมือง ผ่านประสบการณ์ ทุกข์-สุข ร่วมกับประชาชนมายาวนาน กว่าจะทำงานใหญ่ในตำแหน่งสำคัญ ทำงานอุทิศชีวิตให้กับประเทศชาติและประชาชนได้
ผมอ่านหนังสือชีวประวัติคุณยิ่งลักษณ์แล้วสามเล่ม ยืนยันได้ …. ที่จริงไม่ต้องอ่านก็พอรู้และยืนยันได้... ว่า คุณยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีเร็วเกินไป เร็วเกินกว่าที่ชีวิตจะสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยได้
บนถนนมิตรภาพสายเก่า ออกจากตัวตลาดปากช่อง ก่อนขึ้นทางยกระดับมุ่งหน้าถนนธนะรัชต์ ไปเขาใหญ่ หรือจะแยกไปกรุงเทพฯ ก็ได้ สส.ปากช่อง พรรคเพื่อไทย ขึ้นป้ายยกย่องคุณยิ่งลักษณ์ว่า “พร้อมจะตายเพื่อประชาธิปไตย”
เป็นความเข้าใจผิดและความไม่รู้เรื่องประชาธิปไตย ของทั้งคุณยิ่งลักษณ์ และ สส.ปากช่อง ท่านนี้
เพราะการสร้างสังคมประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องตาย อยากเป็นประชาธิปไตยก็เพียงหาความรู้ที่ถูกต้อง แล้วมาช่วยกันสร้างประชาธิปไตย ไม่รู้จะต้องตายไปทำไม
ยิ่งจะต้องสู้กับกำนันสุเทพด้วยแล้ว กำนันสุเทพก็จะสู้แบบสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ …. ไม่มีทางตายได้ตรงไหนเลย ….
อาจจะบาดเจ็บในหัวใจบ้างเล็กน้อยหลังสองทุ่ม
เวลากำนันสุเทพปราศรัยชมดอกไม้!
อยากจะเป็นประชาธิปไตยด้วยกันทั้งคู่
ฝ่ายหนึ่งอยากจะเป็นประชาธิปไตยแบบเดิม เพราะคิดว่าดีอยู่แล้ว จึงขอนั่งในตำแหน่ง ปกป้องประชาธิปไตยแบบเดิมเอาไว้
อีกฝ่ายหนึ่งอยากปรับแก้ให้ประชาธิปไตยที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ขึ้น จึงต้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
ก็แค่ตกลงยินยอมให้ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ ได้สมบูรณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
ก็เท่านั้นเอง
จะมาบอกว่ายอมตายเพื่อปกป้องประชาธิปไตยที่มีอยู่แล้ว ก็ผิด เพราะที่มีอยู่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่เป็นการฉวยเอารูปแบบการเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือแล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว
ประเทศที่เจริญแล้วเขารู้กันนานแล้ว ผมเองก็เล่าเรียนเขียนอ่านและเคยสอนหนังสือมานานแล้ว ตอนเป็นนักข่าวก็รายงานข่าวประชาธิปไตยหลายประเทศในโลกมาแล้วว่าประชาธิปไตย มีเรื่องสำคัญมากกว่าการเลือกตั้ง เรื่องเดียว
เลือกตั้งอย่างเดียว ไม่พอ
การเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งนั้นแน่นอน แต่การเลือกตั้งต้องโปร่งใส สุจริต ยุติธรรม ไม่มีการซื้อขายเสียง หาเสียงกันด้วยคุณความความดี นโยบายที่ดี
ยังมีเรื่องอื่นที่เป็นตัวแปรสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เรื่องสำคัญที่เป็นตัวแปรประชาธิปไตย อันดับ
1. คือ กระบวนการเลืกตั้ง ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งทั้งกระบวนการ ไม่ใช่เพียงการหย่อนบัตรลงคะแนน แต่หมายถึงระบบการทำงานทั้งหมด ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และ การปฏิบัติตัวอย่างโปร่งใสของประชาชน ผู้สมัคร และผู้จัดการการเลือกตั้ง
อันดับ 2. คือ การทำงานของรัฐบาล และรัฐสภา ตลอดจนสถาบันทางการเมืองต่างๆ หลังได้รับเลือกตั้งมา รัฐบาลต้องทำงานเพื่อประชาชนทั้งประเทศ และต้องทำงานอย่างดีมีประสิทธิภาพ
3. การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมือง ต้องเข้มข้น ต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ
4. เสรีภาพของพลเมือง หากประชาชนไม่มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นคัดค้านขัดแย้งกับรัฐบาล หรือใครก็ตามที่มีอำนาจรัฐ อยากแสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างอิสระเสรก็ไม่ได้ ถูกปิดกั้น ก็ถือว่ายังไม่เป็นประชาธิปไตย
และ ตัวแปรสำคัญสุดท้าย เรื่องที่ 5. คือ วัฒนธรรมประชาธิปไตย และวัฒนธรรมทางการเมือง อันเป็นเรื่องที่นักการเมืองต้องตอบหัวใจตนเองให้ได้ ว่าเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ พร้อมจะทำงานเพื่อชาติเพื่อประชาชนจริงแท้แน่นอนได้หรือไม่
ห้าประเด็นที่ว่ามานี้ คือหัวใจของประชาธิปไตย ตามหลักคิดทางวิชาการของสำนักวิจัย The Economist Intelligence Unit ผู้ทำดัชนีประชาธิปไตยของประเทศต่างๆในโลกทุกปี และประกาศเมื่อปี 2012 หรือ 2555 ที่ผ่านมา ว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่บกพร่อง มีตำหนิ อยู่อันดับที่ 58 ของโลก จาก 167 ประเทศ
ตามหลังอินเดีย 20 อันดับ
ตามหลังอินโดนีเซีย 5 อันดับ
คะแนนของเราต่ำมากในเรื่อง
การมีส่วนร่วมของประชาชน,
การทำงานของรัฐบาล และสถาบันทางการเมือง,
และเรื่อง
การมีหรือไม่มีวัฒนธรรมการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ต่ำตามมาก็เรื่อง
สิทธิเสรีภาพของพลเมือง
ดีกว่าเรื่องอื่นที่ว่ามา แต่ก็ยังต่ำกว่ามาตรฐานอยู่ คือ กระบวนการเลือกตั้ง
———— [เริ่มส่วนที่ถูกตัดทิ้งข้ามไป เพื่อให้เวลากระชับ ก่อนกำนันสุเทพขึ้นปราศรัย] ————
ดังนั้น ประชาธิปไตยในประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา ไม่น่ารักเท่าไรนักเลย
จึงไม่ใช่ประชาธิปไตยที่คุณยิ่งลักษณ์จะต้องมาต้องตายเพื่อปกป้องเอาไว้
ประชาธิปไตยของคุณยิ่งลักษณ์ บกพร่องมีตำหนิ
คุณภาพตำ่กว่าอีก 58 ประเทศในโลก
ต่ำกว่า
Indonesia
Colombia
Lesotho
Jamaica
Timor Leste
India
Taiwan
S. Korea
Malta
ประชาธิปไตยที่คุณยิ่งลักษณ์ต้องการปกป้อง แม้จะตายก็ยอมนี้
ที่จริงเป็นประชาธิปไตยที่โลกเย้ยหยัน มองดูด้วยความห่วงใย
เป็นประชาธิปไตยที่ต้องปฏิรูปทันที วันนี้!
ไม่มีแรงปราถนาจะปฏิรูปประชาธิปไตยแบบใดชัดเจนเลยจากคุณยิ่งลักษณ์
และพรรคเพื่อไทย
ไม่มีข้อเสนอจากคุณบรรหาร และหัวหน้าพรรคการเมืองอื่น
พรรคการเมืองและนักการเมืองที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะที่ร่วมเป็นรัฐบาลอยู่ ต้องการเลือกตั้งอย่างเดียว เร็วๆ จะได้กลับมาอยู่กันแบบเดิม แบบที่นักการเมืองพอใจแล้ว
แต่ประชาชนรู้แล้ว ว่าไม่พอใจ สำหรับประชาชนที่หัวก้าวหน้าเข้าใจประชาธิปไตยแบบรากหญ้าที่แท้จริง ไม่มีใครที่รู้เรื่องประชาธิปไตยที่ถูกต้อง จะพอใจในประชาธิปไตยของระบอบทักษิณ
ประชาธิปไตยที่ดี ที่สมบูรณ์อาจจะมีหลายโครงสร้าง หลายแบบ หลายบริบทสังคม
แต่ที่เห็นพ้องต้องกันว่าดีแน่ๆ และดีมากด้วย ก็คือ:
“ประชาธิปไตยแบบรากหญ้า”
ตามหลักวิชารัฐศาสตร์ เรียกว่าเป็นภาษาอังกฤษว่า
“Grassroots Democracy”
หมายความว่าทุกส่วน ทุกองค์กร ทุกฝ่าย ทุกกลุ่มคน ในชุมชุนท้องถิ่น
มีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย
ประชาชนในท้องถิ่นทั้งมวลมีอำนาจเหนือรัฐบาลส่วนกลาง
คำว่า “รากหญ้า” ถูกคุณทักษิณนำมาใช้เรียกคนยากจนในชนบท
ซึ่งก็ผิดความหมายในทางวิชาการ
นี่ก็เป็นความโฉดเขลาทางความรู้เรื่องประชาธิปไตยของคุณทักษิณอีกเรื่องหนึ่ง
“รากหญ้า” ไม่ได้แปลว่า “คนจน - คนด้อยโอกาส”
“รากหญ้า” หมายถึง ทุกส่วนในสังคมท้องถิ่น ไม่ว่าจะจนหรือรวย
ทุกภาคส่วนในหมู่บ้านตำบนต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย
เสมอเหมือนกัน
คำว่า “รากหญ้า” ไม่ใช่คำที่ใช้ดูถูกคนจน อย่างที่ระบอบทักษิณใช้อยู่
แต่คำว่า “รากหญ้า” หมายถึงประชาธิปไตยที่แผ่กระจายอย่างมั่นยืน
ในทั่วทุกหัวระแหง ของแผ่นดิน ยึดแน่นดุจรากหญ้าที่แผ่ขยายกระจายคลุมดิน
“ทั่วทุกหย่อมหญ้า”
แปลว่า ประชาชนมีอำนาจเหนือนักการเมือง เหนือรัฐบาลทุกระดับ ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
———— [จบส่วนที่ถูกตัดทิ้งข้ามไป เพื่อให้เวลากระชับ ก่อนกำนันสุเทพขึ้นปราศรัย] ————
จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกส่วนในสังคมที่จะต้องมีส่วนร่วมอย่างมีพลังในกระบวนการทำงานของระบอบประชาธิปไตย
จึงเป็นหน้าที่ของมวลมหาประชาชนที่จะต้องให้การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยที่ถูกต้องกับคุณยิ่งลักษณื คุณทักษิณ และเหล่านักการเมืองที่อยู่ในอำนาจทั้งหลาย และที่อยากเข้ามามีอำนาจทำงานรับใช้ประชาชนในอนาคต
เพราะนักการเมืองของไทยเหล่านี้เป็นผู้ด้อยการศึกษา แม้จะมีโอกาส ก็ยังเป็นผู้ด้อยการศึกษา ด้อยวัฒนธรรมการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
จึงเป็นหน้าที่ของมวลมหาประชาชน ที่จะนำนักการเมือง นำทางการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ ก่อนการเลือกตั้ง
และต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว
เพราะการต่อสู้ผ่านมานานมากแล้ว
สำหรับมวลมหาประชาชน ทั้งที่กรุงเทพ และที่จังหวัดต่างๆทั่วประเทศ กับทั่วโลก ที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมากว่าครึ่งปี เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และกวาดล้างความเลวร้าย ทุจริต คดงอ ของระบอบทักษิณ ที่กัดกร่อน เคี้ยวกินประเทศไทยและทำลายสังคมประชาธิปไตยของเรามากว่า 10 ปี จนถึงวันนี้นั้น
การต่อสู้ จะจบลงในอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้
และต้องจบเป็นชัยชนะของประชาชนแน่นอน
เพราะเหตุผลในการต่อสู้เพื่อสร้างชาติสร้างแผ่นดินของมวลมหาประชาชนครั้งนี้
เป็นการต่อสู้ที่ชอบธรรม มีเหตุผลสมบูรณ์
เป็นโอกาสเดียวในชีวิตของพวกเราทุกคน ที่จะได้ร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยของเราใหม่ ให้สดใสกว่าเดิม เราจะได้มีสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เรา และ ลูกหลานของเรา จะได้เกิด ดำรงอยู่ และเติบโต พัฒนาก้าวหน้า มั่นคง ยั่งยืนต่อไป ลูกหลานของเราจะได้ยืนผงาดเคียงบ่าเคียงไหลกับชาวโลกทั้งมวล
ในมาตรฐานสังคมและวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มนุษยชาติปรารถนา
ขอบพระคุณ และสวัสดีครับ
สมเกียรติ อ่อนวิมล
6 พฤษภาคม 2557
อ่านกันระหว่างรอ