เสียงนกหวีด สงครามใหญ่ และสิ่งที่มองไม่เห็น
ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
-----------------------------------------------------------
เมื่อคุณเป่านกหวีดเสียงดัง
รัฐบาลจะต้องฟังเพราะ
เสียงอันดังของนกหวีดประชาชน
แต่ในทางกลับกัน
คุณจะไม่มีทางได้ยินเสียงอื่น
นอกจากเสียงนกหวีด
ซึ่งจะดังมากเสียจนคุณต้องอุดหู
ยิ่งเป่าให้ดังยิ่งต้องอุดหูให้แน่น
ในภาวะเช่นนั้น จึงเป็นธรรมดาอยู่
ที่จะมีบางเสียงที่คุณไม่ได้ยิน
เมื่อคุณร่วมชุมนุมอยู่หน้าเวที
ภาพที่คุณเห็นย่อมเป็นภาพของแกนนำ
ที่พูดจาตอกย้ำความเลวร้ายของฝ่ายตรงข้าม
น่าแปลก ภาพที่คุณมองข้ามก็คือ ภาพของแกนนำผู้นั้น
ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยถูกกล่าวหา
ในข้อหาที่เลวร้ายพอกัน
ท่ามกลางอารมณ์ที่คุกรุ่น ท่ามกลางเสียงกลองรบ
จึงมีบางเสียงที่คุณอาจไม่ได้ยิน
และมีบางภาพที่คุณอาจมองไม่เห็น
เมื่อฝ่ายหนึ่งเล่นหนัก อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรุกกลับ
จากการชุมนุมคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมคนทุจริต
แต่เมื่อมวลชนจุดติด จึงเป็นการง่ายเพียงนิดที่ผู้นำ
จะเคลื่อนมวลชนเข้าสู่สงครามการเมืองเต็มรูปแบบ
สิ่งที่คนนั่งรถไฟฟ้าไปเป่านกหวีดตามสี่แยกไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างพาคนไปชุมนุมจะได้ยิน
สิ่งที่อาจารย์มหาวิทยาลัยหน้าใสบางส่วนไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่แม่บ้าน คนขับรถ และคนงานในมหาวิทยาลัย
ผู้ไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกอธิการและคณบดีใดๆ จะได้ยิน
สิ่งที่นักธุรกิจน้อยใหญ่ไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่คนงานผู้รับค่าแรง 300 บาท จะได้ยิน
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่ชาวนาที่ขายข้าวได้ราคาจะได้ยิน
สิ่งที่คนกรุงเทพฯ บางสายและฝ่ายต้องการล้มล้างรัฐบาลยังไม่เห็น
คือพลังของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลว่ามีมากขนาดไหน
ทั้งๆ ที่รัฐบาลหักหลังพวกเขาได้ขนาดนั้น
สิ่งที่เราและท่านยังไม่ได้ยิน
คือสิ่งที่เขาจะปราศรัยกันให้ได้ฟังเต็มหูดังๆ
เมื่อต่างฝ่ายไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้
คงมิต้องบ่งชี้ว่านี่เราอยู่ในสถานการณ์ใด
ว่ากันให้ชัด การเมืองไทยนับจากนี้
มิใช่แค่เรื่องพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
หากแต่เป็นการเปิดหน้ากันออกมา
ของตัวละครใหญ่ในสงครามชิงเมือง
โดยมีอารมณ์มวลชนเป็นเชื้อเพลิงในการเคลื่อนขับ
ให้สงครามชิงเมืองขยับเข้าใกล้สงครามกลางเมืองไปทุกขณะ
และไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะในเกมอำมหิตนี้
ไม่มีใครรู้ว่า จะต้องมีอีกกี่วีรชนพลีชีพบนท้องถนน
แน่นอน ย่อมไม่ใช่คนที่อยู่บนเวทีและคนที่ออกเดินหน้า
หากแต่คือคนธรรมดาที่เดินตามมา
และถูกดันไปข้างหน้าบนถนน
ในสภาวะที่ทั้งสองฝ่ายปลุกเร้าให้ไม่ยอมจำนน
ใครเลยจะคาดเดาได้ว่า ถนนแห่งการต่อสู้นี้
จะพาผู้คนเรือนแสนไปหยุด ณ จุดใด
แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณรบแล้ว
ลูกขุนและผู้ห้อยโหนต่างรีบเคลื่อนขบวนออกหน้า
จนไม่ทันเตรียมแผ่นผ้าให้ได้ตรรกะประชาธิปไตย
แม้มหาวิทยาลัยใหญ่ยังอุตส่าห์เรียกหาทหาร
แม้ตุลาการก็ยังถอดครุยออกมาเป็นคนเดินลุยดิน
เหล่าดาราพากันอินกับบทวีรบุรุษวีรสตรีศรีรัตนโกสินทร์
ท่ามกลางควันไฟที่ถูกจุดขึ้นตามเวทีน้อยใหญ่
ท่านได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
ก่อนจะถึงชัยชนะไม่ว่าของฝ่ายใด
ท่านเห็นหรือไม่ว่าสงครามใหญ่รออยู่เบื้องหน้า
และใช่จะมีแต่ทัพของท่านที่ดาหน้า
เสียงกลองที่ดังมาแต่ไกลๆ ทั่วนครา
คือการยาตราทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม
“สงครามไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของผู้ใด
เนื่องจากมันคือกองไฟที่อาศัยชีวิตมนุษย์เป็นฟ่อนฟืน”
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษา 14 ตุลา เคยกล่าวไว้
ถึงวันนี้ต้องถามใจแม่ทัพและมวลชน
ว่าประเทศไทยพร้อมเข้าสู่สงครามบนท้องถนนหรือไม่
ดังคำปราชญ์ที่กล่าวว่า
เมื่อตัดสินใจ
ให้คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา
https://www.facebook.com/openbooks2
Picture:
Civil War reënactments: Fredricksburg #3, 2012
by Richard Barnes