ในความเห็นผม มันคงไม่เป็นการแข่งขันแต่มันเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ไม่เต็มหลักวิชาชีพ และอุดมการณ์ของแต่ละหัวหนังสือพิมษ์และโทรทัศน์ โดยมีความเชื่อในใช้หลักธุรกิจ มากกว่าอุดมการณ์ และมันปฎิเสธไม่ได้ว่า ระบบทุนมันเป็นปัจจัยขอความอยู่รอด มากกว่าศักศรี การไม่เลือกข้างในความคิดเห็น คือการรักษาธุรกิจ รักษาฐานลูกค้าทั้งที่ซื้อหนังสือพิมษ์ ดูโทรทัศน์ และลงโฆษณา
สมัยก่อน นักการเมือง ราชการ ตำรวจ ทหารต่างกลัวหนังสือพิมษ์ แต่ปัจจุบันจะได้ยินว่านี้สือพวกเราข้างเรา หรือหากไม่ทั้งหมดของฉบับ ส่วนที่ไม่ใช่ก็สามารถคุยได้หรือให้เขียนเบาลงหรือขุดคุ้ยไม่ลึกมาก
อีกทั้งปัจจุบันก็มีนักหนังสือพิมษ์ นักจัดรายการ ที่ขายวิญาณของอาชีพ หมายถึงการนำเอาวิชาชีพติดตัวไปด้วย เพื่อใช้วิชาชีพ ใน การสร้างข่าว ปลุกข่าว ทำข่าวชวนเชื่อ เพื่อบิดเบือนความจริงของข่าวของเหตุการณ์จริง
มี 2 สิ่ง ที่คนข่าวอยากได้ในอดีด คือได้เสนอข่าวที่เป็นข่าว เด่น ข่าวหัวไม้ หรือชิ้นโบร์แดง และได้รับความน่าเชื่อถือจากมวลชน ในข่าวที่ตัวเองเสนอ เพราะ 2 สิ่งนี้คือ เงินและชื่อเสียง ในอนาคต แต่ปัจจุบันทุกสิ่งล้วนเริ่มที่เงิน ฯลฯ
ส่วนสื่อปัจจุบันโซเซียลมีเดีย มันน่าจะไม่ใช่สือที่เสนอข่าวคล้าย 2 สื่อด้านบน แต่มันเป็นสื่อสังคม ที่เสนอประเด็นเรื่องที่ ตอบโต้ได้ 2 ทาง คือคุณเขียนมา ผมตอบไป และคนจัดก็เป็นขนาดเล็กหลากหลาย มากจนไม่รู้ว่าอะไรจริงเท็จ ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเป็นเทคโนโลยีของปัจจุบัน ที่สามารถให้คุณแสดงออกได้คล้ายสื่อ แต่สื่อสารหรือส่งข้อมูลได้ในเฉพาะกลุ่ม ด้วยปริมาณที่มากมายไม่มีจำกัด แต่จำกัดที่แหล่งข่าวตัวต้น ที่อาจจะอาศัยการลอกข่าวกันไปมา จนไม่รู้แหล่งที่มา
แต่ต้องยอมรับว่า 2 สิ่งที่ว่านี้ สิ่งแรกคงจะเจอการแข่งขันที่สูงจากสิ่งหลัง และในระยะยาว สิ่งแรกจะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ส่วนสิ่งหลังนั้นก็จะพัฒนาเพื่อที่จะทดแทนสิ่งแรก เมื่อสิ่งหนึ่งต้องปรับตัว ( รักษาตัว) สิ่งหนึ่งพัฒนา (ทำให้ดีขี้นๆไป) ก็คาดเดาได้ว่าใครจะแพ้
Edited by Hilton(ปาล์มาลี), 10 November 2013 - 08:27.