นพล้านเหล่ จระเข้ตาเบี้ยว บอกให้แม้วฟ้องเลยครับ ยิ่งฟ้องยิ่งลึก
เปิดหลักฐาน ผลประโยชน์ทับซ้อน "ทักษิณ-ฮุนเซน"???
ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่คงต้องพูดถึงกันต่อในสัปดาห์นี้ สำหรับการที่สมเด็จฯ ฮุนเซน ออกมาอ้างถึงพฤติกรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พยายามจะขอเจรจาลับ ในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเลไทย-กัมพูชา ถึง 3 ครั้ง 3 ครา
แน่นอนว่าประเด็นอย่างนี้ถ้าเป็นความจริง แบบที่สมเด็จฯฮุนเซน ต้องการจะสื่อความว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คิดไม่ซื่อต่อประชาชนคนไทย ด้วยการเอาสมบัติชาติไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ก็เป็นเรื่องใหญ่คนไทยทั้งประเทศ คงจะยอมให้ปล่อยผ่านไปไม่ได้
แต่ขณะเดียวกันถ้าเรื่องนี้เป็นทางด้านสมเด็จฯฮุนเซน ที่ออกมาใช้วิธีการทำลายพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยข้อมูลที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง เหมือนกับที่เคยทำ ๆ มากับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในประเทศตนเอง ก็เป็นเรื่องที่คนไทยไม่ควรจะปล่อยเลยผ่าน รวมถึงกระทรวงต่างประเทศที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฎ แบบไม่ใช่แค่รับแนวคิดของสมเด็จฯฮุนเซนมาขยายเพื่อดิสเครดิตฝ่ายค้านเช่นกัน
เพราะข้อเท็จจริงที่ผ่านมาผู้นำกัมพูชาอย่างสมเด็จฯฮุนเซน ก็แสดงพฤติกรรมอย่างนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะการทำนโยบายการเมืองเลือกข้าง ด้วยการโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดการปะทะกันทางทหารในช่วงต้นปี 2554 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
และรวมถึงการกล่าวหาว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีเจตนาทำลายสัมพันธภาพระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นมาโดยดีตั้งแต่ยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการตัดสินใจให้ยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2544 ที่ว่ากันว่าเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้กระบวนการจัดสรรผลประโยชน์ด้านพลังงานทางทะเลของ 2 ประเทศเกิดขึ้น
ทั้ง ๆ ที่โดยข้อเท็จจริงก็รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่เริ่มต้นรุกล้ำอาณาเขตไทย และเหิมเกริมถึงขั้นมีการใช้อาวุธปืนใหญ่ยิงถล่มเข้ามาถึงโรงเรียนภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ จนทำให้อาคารเรียนเสียหายอย่างหนัก โดยไม่สนใจว่าสถานบันการศึกษา ไม่ใช่สถานที่ทางยุทธศาสตร์ที่ทหารกัมพูชาจะใช้เป็นเป้าหมายในการทำลายฝ่ายตรงข้าม
ไม่เท่านั้นเหตุผลสมเด็จฯฮุนเซนก็รู้อยู่แก่ใจว่า เหตุที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจยกเลิกเอ็มโอยูปี 2544 ก็เนื่องมาจากการที่สมเด็จฯฮุนเซนแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ โดยไม่สนใจคำทัดทานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะของการเป็นนักโทษหนีคดีอาญา ซึ่งศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี นอกจากนั้นก็ยังมีคดีความติดตัวอีกหลายคดี ที่อยู่ในขั้นตอนการติดตามตัวมาฟังคำสั่งทางคดี
มากไปยิ่งกว่านั้น กับการที่กองการข่าว และปฏิกิริยาฉับพลัน ของกัมพูชา ได้นำเอกสารแถลงการณ์ของการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ที่ได้เคยเผยแพร่ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2554 มาเผยแพร่ซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพื่อตอกย้ำว่าการยกเลิกเอ็มโอยูปี 2544 เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนทำให้การหาทางออกในปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่าง 2 ประเทศต้องมีอันชะงักงันลง จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการอนุมัติเห็นชอบ จากระดับผู้บริหารประเทศอย่างสมเด็จฯฮุนเซน
ประเด็นน่าสนใจที่ ต้องสืบค้นข้อเท็จจริงไล่เรียง ก็คือทำไมสมเด็จฯฮุนเซนจึงไปขุดคุ้ยข้อกล่าวหานี้มาโจมตีนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เคยมีการพูดถึงมาแล้ว เมื่อช่วงปี 2554 และจากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 1 ปีที่ผ่านมา สมเด็จฯฮุนเซนก็ไม่เคยให้รายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ ว่า การเจรจาลับนั้นมีรายละเอียดเชิงลึกอย่างไร แล้วใครกันแน่ที่เป็นนักการเมืองขายชาติ ??
แต่ข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาว่า สมเด็จฯฮุนเซนมีความจริงใจหรือไม่ อย่างไรต่อประเทศไทยและคนไทย ก็คือความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของสมเด็จฯฮุนเซนนี้ เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่มีข่าวหลุดรอดออกมาจากหน่วยงานด้านพลังงานของไทย ว่า กระทรวงต่างประเทศกำลังเดินหน้ารื้อรื้อฟื้นแผนเจรจาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเลมาพูดคุยกันอีกครั้ง เนื่องจากประเมินแล้วว่าไทยกำลังจะต้องเร่งหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม นอกเหนือจากเขตพื้นที่ทางทะเลไทย-มาเลเซีย
และก่อนหน้านั้นก็เป็นทางสมเด็จฯฮุนเซน ที่สั่งการให้กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ และ พิจารณาลดโทษแก่นายวีระ สมความคิด 2 คนไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัวไปในข้อหารุกล้ำเข้าไปในเขตเขตพื้นที่ความมั่นคงทางทหารของกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นสมเด็จฯฮุนเซน ปฏิเสธคำร้องของฝ่ายไทยมาโดยตลอด รวมแม้กระทั่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีความสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษ โดยอ้างว่าทั้ง 2 ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ตามคำพิพากษาแล้วถึงจะนำเรื่องนี้มาพิจารณา
ขณะเดียวกันเนื้อหาสาระของแถลงการณ์ที่ออกมาโดยกองการข่าวและปฏิกริยาฉับพลัน ของกัมพูชา ก็ยังไปไกลถึงขนาดรับรองความประพฤติให้กับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทางทะเลไทย-กัมพูชา ทั้ง ๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2554 ทางวิกีลีกส์ได้เผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับขั้นตอนการเจรจาระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ สมเด็จฯฮุนเซน ในเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทะเลไทย-กัมพูชา ว่ามีความคืบหน้าถึงขั้นมีการกำหนดสัดส่วนระหว่าง 2 ประเทศแล้ว
และถ้าไม่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทั้งไทยและกัมพูชาก็คงสามารถจัดสรรผลประโยชน์ ขุมทรัพย์พลังงานภายใต้ทะเลไทย-กัมพูชา มูลค่า 5 ล้านล้านบาทได้เสร็จสิ้นไปแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็เล็งเห็นถึงมูลค่าของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่จะนำมาซึ่งรายได้มหาศาล ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯฮุนเซนไปเจรจากันตั้งแต่เมื่อไร และเป็นการเจรจาลับหรือเปิดเผยกันแน่ เพราะคนไทยทั้งประเทศแทบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
นอกจากนี้ในหนังสือของกองการข่าวและปฏิกิริยาฉับพลันฉบับเดียวกันนี้ ยังยืนยันด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เคยมีข้อเสนออย่างหนึ่งอย่างใด ในการแก้ไขข้อพิพาทเรื่องสิทธิพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาพร้อมและยินดีต่อการเริ่มต้นเจรจาอย่างเปิดเผยและเป็นทางการอีกครั้ง เพื่อสานต่องานนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
"รัฐบาลกัมพูชาพร้อมและยินดีต่อการเริ่มต้นเจรจาอย่างเปิดเผย และอย่างเป็นทางการอีกครั้งในปัญหานี้ และสานต่องานนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเท่าที่สามารถกระทำได้ เพื่อเป็นประโยชน์ของประชาชนและประเทศทั้งสองต่อไป"
ซึ่งก็ด้วยประโยคสำคัญแบบนี้ที่ทำให้พอมองเห็นว่าใครกันแน่ที่อยากจะเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ในพื้นที่ทะเลไทย-กัมพูชา ระหว่างสมเด็จฯฮุนเซน หรือ นายอภิสิทธิ์ และรวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกอ้างว่าเป็นบุคคลที่เรียกร้องให้มีการเปิดเจรจาลับ ที่สำคัญกับความสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษระหว่างสมเด็จฯฮุนเซนกับพ.ต.ท.ทักษิณ ก็น่าคิดว่าตกลงแล้ว 2 คนนี้ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องขุมทรัพย์ 5 ล้านล้านบาทเลยหรือ??
แต่ท่านผู้ชม...เพื่อให้เกิดกระบวนการพิสูจน์กันต่อไป ระหว่างเป้าหมายในผลประโยชน์จากขุมทรัพย์พลังงานใต้ทะเลไทย-กัมพูชา ว่าใครกันแน่ที่กระสันอยากจะได้มาครอบครอบ
มีคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นแนวร่วมคนเสื้อแดงที่มีบทบาทอย่างมากในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 จนถึงปัจจุบัน โดยคลิปเสียงการให้สัมภาษณ์ของนายจักรภพนี้ เกิดขึ้นในรายการจุดเปลี่ยน วิทยุออนไลน์ นปช. อียู สวีเดน และถูกนำมาบันทึกเผยแพร่ในเวปไซด์คนเสื้อแดงแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ซึ่งเป็นคำตอบที่เริ่มต้นจากการคำถามที่ทางผู้ดำเนินรายการ ที่ใช้นามแฝงว่า มิดไนท์ซัน ได้หยิบยกคำถามของแฟนรายการ ที่ชื่อ OH – MY - GOD ขึ้นมาถามนายจักรภพ ในประเด็นเรื่องผลประโยชน์ในบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเข้าไปอยู่เบื้องหลังในการแปรรูปให้เป็นบริษัทมหาชน เพราะต้องการหวังผลประโยชน์จากธุรกิจพลังงานมูลค่าหลายแสนล้านบาท
และเป็นทางด้านนายจักรภพที่แสดงความเห็นว่าเป็นไปได้ยาก ที่พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าไปแย่งชิงผลประโยชน์ในบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายจักรภพอ้างว่าเพราะองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีผลประโยชน์มาก ๆ อย่าง โรงไฟฟ้า บริษัทวัสดุก่อสร้างจะอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าของประเทศที่ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ซึ่งนายจักรภพใช้คำเรียกแทนว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ลึกลับ
ไม่เท่านั้นนายจักรภพยังอธิบายไปถึงโครงสร้างของบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ว่า แท้จริงแล้วหัวใจหลักในการเพิ่มพูนผลประโยชน์ ให้กับบริษัทปตท. ก็คือ บริษัทปตท.สผ. หรือ บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งนายจักรภพอ้างว่าประธานกรรมการบริษัท มีชื่อชั้นเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทานได้ทุกคน?
ซึ่งถ้าพิจารณาจากคำพูดของนายจักรภพ และพฤติกรรมที่ผ่านมาก็คงจะแปลความเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากข้อเท็จจริงที่ระบุได้ว่า นี่เป็นอีกครั้งที่นายจักรภพ พยายามจะลากดึงสถาบันเบื้องสูง ลงมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองอันสืบเนื่องมาจากกระทำของตัวพ.ต.ท.ทักษิณเอง ?
และก็เป็นคำอธิบายที่ทำให้ ต้องฝากเป็นการบ้านไปให้ท่านผู้ชมช่วยกันคิดต่อว่า บริษัทปตท.สผ. ที่นายจักรภพอ้างว่ามีความสำคัญต่อบริษัทปตท.ในฐานะยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจพลังงาน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะมีอำนาจลึกลับขวางทางอยู่นั้น เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่นายจักรภพพูดว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความคิดในการไปหาพลังงานในแหล่งใหม่ เพื่อมาชดเชยผลประโยชน์ที่ขาดหายไป
ที่สำคัญขุมทรัพย์พลังงานแหล่งใหม่ของพ.ต.ท.ทักษิณ จะใช่แหล่งพลังงานมูลค่า 5 ล้านล้านบาทใต้ทะเลไทย-กัมพูชา ที่สมเด็จฯฮุนเซนอ้างว่านายสุเทพ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และคณะ เคยพยายามจะขอเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา ถึง 3 ครั้ง 3 ครา หรือไม่เป็นประเด็นที่ต้องสืบค้นกันต่อไป
ในขณะที่มีข้อเท็จจริงเปรียบเทียบกับตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า นับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2552 ที่พ.ต.ท.ทักษิณบินไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับสมเด็จฯฮุนเซน จนถึงวันที่ 25 ก.ย. 2555 พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 เพราะเหตุการณ์รัฐประหาร มีโอกาสพูดคุยกับสมเด็จฯฮุนเซนแบบสองต่อสอง ไม่ต่ำว่า 5 ครั้ง แม้ต่างฝ่ายต่างจะปฏิเสธว่าไม่เคยพูดถึงเรื่องความร่วมมือด้านพลังงานก็ตาม
ข้อมูลวิกีลิกส์ วันที่ 15 พฤษภาคม 2550
"นายกาว กิม ฮูร์น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวกับ เจ้าหน้าที่ของ ConocoPhillips ว่า รัฐบาลไทยและกัมพูชา เข้าใกล้ข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยแล้ว โดยทั้ง 2 ฝ่าย วางระบบข้อตกลงร่วมกันสำหรับการแบ่งสรรรายได้ ดังนี้ แบ่งรายได้ 80 %ให้กับประเทศไทย และ 20 %ให้ประเทศกัมพูชา ในแนวระดับที่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด, 50 – 50 % ในระดับกลาง และ 20 % ให้กับประเทศไทย ซึ่งส่วนที่เหลือเป็นของประเทศกัมพูชา .... ตนคิดไม่น่าจะเกิน 6 เดือน น่าจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกกับเรื่องนี้ "
และถ้านำมาเทียบเคียงกับความเคลื่อนไหวของนายจักรภพ ที่ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีแนวคิดในเรื่องการลงทุนด้านพลังงาน ก็มีข้อมูลว่าหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ในปี 2549 นายจักรภพก็ยังเป็นบุคคลหนึ่งที่ใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างมาก ในระหว่างที่พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าออกระหว่างดูไบและกัมพูชาในช่วงปี 2552 และ 2554 ตามทวิตเตอร์ที่นายจักรภพเป็นผู้โพสต์ขึ้นด้วยตัวเอง รวมถึงภาพนายจักรภพที่นั่งอยู่ข้างพ.ต.ท.ทักษิณ ในระหว่างที่พ.ต.ท.ทักษิณวิดีโอลิงค์เข้าไปในงานวันขึ้นปีใหม่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552
ขณะที่ร่องรอยการเคลื่อนไหวของนายจักรภพ ที่ปรากฏสู่สาธารณะในช่วงปี 2555 พบว่านายจักรภพก็ยังคงเดินทางเข้าออกในกัมพูชาเป็นประจำ โดยเฉพาะล่าสุดกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อออนไลน์ "ประชาไท" ระหว่างพำนักอยู่ในประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555
สรุป ทักษิณจะเลือกลงทุนธุรกิจน้ำมัน+ก๊าซที่ไหน ที่จะคุ้มค่าการลงทุน ถ้าไม่ใช่กัมพูชาที่คุ้นเคยดังญาติสนิท ???
http://m.tnews.co.th...php?hotID=50331