มาแบบนี้อีกล่ะ
วิจารณ์พระอรหันต์ไม่เหมาะสม ขนาดพระพุทธเจ้ายังถูกวิจารณ์ได้เลย และท่านก็อธิบาย
คำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่าเหตุผลคืออะไร ย้ำนะว่า "พระอรหันต์ทำผิดโดยตั้งใจเป็นไม่มี"
ที่ยกมาเป็นความตั้งใจหรือเปล่าครับท่าน แล้วที่ออกมาพูดไม่รู้กี่หนกี่ครั้ง แถมกระทั่วงออกทีวี
ก็ยังพูด ยกตัวว่าเป็น "อรหันต์" หรือเทียบเท่า (ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย) แค่ว่าได้ฌานยังผิด
พระวินัยเลย
เพราะคุณตั้งต้นว่าเป็นพระอรหันต์แน่ๆ มันก็เลยไปต่อไม่ได้ ต้องรีบจบ หรือไม่ก็แถแบบ
หลวงตาบัวว่า พระไตรปิฎกถูกบันทึกมาผิดๆ ถูกๆ เขียนยกยอกิเลส บลาๆๆ
พระอรหันต์มีสิทธิพิเศษ ที่ไม่ต้องรักษาพระธรรมวินัยหรือเปล่า?
มี พระเจ้าฟ้าเจ้าคุณท่านมาพูดถึงเรื่องว่า ในพระไตรปิฎกท่านว่านิพพานเป็นอนัตตา ชึ่ย ว่างี้เลยเรา
ดีไม่ดีมันส่อให้เห็นผู้ไปจดจารึกพระไตรปิฎกมาเป็นคนประเภทใดอีกด้วยนะ
ถ้าเป็นคนประเภทพระพุทธเจ้าพระอรหันต์แล้วจะว่านิพพานเป็นอนัตตาไม่ได้เป็น อันขาด นอกจาก
พวกคลังกิเลสมันเข้าไปจดจารึก ได้คำบอกเล่าอะไรมาก็มาว่าผิด ๆ ถูก ๆ ไปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงส่อให้เห็นว่าผู้ไปจดพระไตรปิฎกมานี้เป็นคนประเภทใด มันบอกด้วยนะ อ่านไปในพระไตรปิฎกบอกไปในตัวเสร็จ
ว่าผู้จดจารึกพระไตรปิฎกเป็นคนประเภทใด ถ้าเป็นคนประเภทเป็นพระอรหันต์จดจารึกมาแล้ว จะมีเน้นมีหนัก นี่เรียบ ๆ
ไป พูดไปที่ไหนส่งเสริมแต่กิเลสเรื่อยไป ตีกิเลสไม่มีนี่บอกแล้ว ความจริงมีนี่
ในเมื่อพระไตรปิฎกบันทึกผิดๆ ถูกๆ แล้วท่านบรรลุธรรมได้อย่างไรกัน?
ตกลงเป็นพระใน "เถรวาท" หรือเปล่า ผู้ที่นับถือ ท่านเป็นพุทธศาสนิกชน
จริงๆ หรือ? คุณเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ที่ว่าพระไตรปิฎกไม่ถูกต้อง
ไม่ควรยึดถือ แล้วคุณยึดถือ "ธรรม" จากที่ใดกัน?
"…เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว… เราตายแล้ว… เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล…"
ยังสามารถเกิดที่โลกอื่นได้อีกนี่ ไม่ใช่จะไม่เกิดอีกแล้ว ไหงไปตีความว่าเป็นอรหันต์แล้วได้ล่ะนั่น
ส่วนเรื่องอุตตริมนุสสธรรมนี่แล้วแต่กรณี มีตั้งแต่ไม่อาบัติไปจนถึงอาบัติปาราชิก
ส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นคำว่า "โลกนี้" ตอนดูทีวี ที่สุภาพ คลี่กระจาย
ไปคุยกับหลวงตาบัว ออกทีวีช่อง 9 ไม่มี และที่เห็นในเว็บ ก็ไม่มี ตอนนี้กลับไป
เสริซหา ก็พบว่า มีทั้ง "โลกนี้" และไม่มีผสมกันอยู่ เอาละไม่สนตรงนี้ก็ได้ เอาอีก
แบบหนึ่งละกัน
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนหรือพระธรรมวิสุทธิมงคลนั้นท่านยืนยันด้วยตัวท่านเองหลายครั้งหลายคนว่าท่านหมดกิเลสแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ดังที่ปรากฎในคำเทศนาของหลวงตาที่เทศน์อบรมพระสงฆ์ ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2552 เวลาประมาณ 17.30 น.เรื่อง “การฆ่ากิเลสได้เสร็จสิ้น” มีข้อความตอนหนึ่งที่หลวงตาบอกว่าหมดกิเลสแล้วความว่า “นี่พูดจริงๆ สุดท้ายล่ะ ได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ในเรื่องที่จะมาเกิดมาตายซ้ำๆซากๆอยู่หมดในหัวใจ เปิดโล่งหมดแล้ว หายสงสัย ไม่มี เรียกว่า “วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ” พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็คือการแก้กิเลส ฆ่ากิเลสได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะยิ่งกว่าการแก้กิเลสนี้ไม่มี ถ้าลงถึงที่นี่แล้วสบาย ไม่มีอะไรมาขัดข้องหัวใจ ใจไม่มีอารมณ์กับอะไร อยู่สะดวกสบายไปเลย
ในกรณีที่เป็นพระอรหันต์จริงๆ สิ้นกิเลส แล้วอวดว่าตนเป็น
ไม่ถึงขั้นปราชิกหรอกครับ แต่เหมือนว่าตนเองเป็นอรหันต์
แต่ฉันข้าวเย็นเป็นประจำ (ฉันข้าวเย็น ปลงอาบัติก็พอ)
แบบนี้คุณคิดว่าเป็นไปได้หรือเปล่า? หรือว่าหลวงตาปลง
อาบัติทุกคร้งที่พูดครับ
Edited by eAT, 8 มกราคม พ.ศ. 2555 - 07:02.