ผมเคยตั้งกระทู้
“สอบถามความเห็นครับ นอกจากนิรโทษกรรม ยังมีอะไรที่น่าจะสำคัญกว่านี้อีก”
http://webboard.seri...ครับ-นอกจากนิร/
ตอนนั้น ผมเริ่มสงสัยว่า ระหว่างประชาชนชาวไทยกำลังตื่นตัวในเรื่องนิรโทษ
รัฐบาลอาจมีอะไรหมกเม็ดซุ่มทำอะไรกันอีกหรือปล่าว
เพราะเพียงหลังจากมีการแสดงพลังของประชาชน
รัฐก็มีท่าทางชะงักและถอยหลัง
แม้จะมีหมกเม็ด ซ่อนร่าง พรบ นิรโทษฉบับที่ 7 ยัดไส้เข้าไป
ผมก็ยังว่า มันอาจไม่ใช่เป้าหมายเพียงเป้าหมายเดียว
ผมคิดโง่ๆ เอาไว้ในเฟสว่า
หรือมันเป็นการหลอกประชาชน ให้พุ่งเป้าไปสนใจเรื่องนิรโทษ
แล้วพวกมันก็มาลักหลับด้วยการชงแก้ไขมาตรา 190 ส่งผ่านไปจนถึงวาระ 3 โดยเราไม่รู้กันเลย
ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ จะเหลือแต่นำขึ้นเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
ถึงตอนนี้ หลายคนก็ตื่นรู้กันแล้ว
มาพูดถึงประเด็นนี้กันเยอะแล้ว
สงสัยเพิ่มเติมไปอีกว่า เมื่อถึงเวลาที่ประเด็นของมาตรา 190 เริ่มแรงขึ้น
(ซึ่งอาจจะไม่ทันแล้วรึปล่าว ผมไม่แน่ใจ)
คนพูดถึงกันเยอะขึ้น รัฐบาลก็อัดตูดเราซ้ำ ด้วยการมุบมิบนิรโทษไปอีกต่อนึงด้วยซ้ำ
ช่วงนี้ เห็นหลายฝ่ายพูดถึงประเด็นมาตรา 190 กันเยอะขึ้น
บางฝ่าย ก็พูดกันว่า สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็มีการแก้ไขกันมาแล้ว
ทำไมทีรัฐบาลนี้จะแก้ไม่ได้ล่ะ
ส่วนที่เขาหยิบยกมาพูด ผมบอกตรงๆ ผมอ่านไม่เข้าใจครับ ว่ารายละเอียดจริงๆ เป็นยังไง
และอยากทราบด้วย ว่าสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มีแก้อะไร ต่างไปจากเดิมของ 50 ตรงไหน
และรัฐบาลนี้ นำมาแก้เพิ่มตรงไหนบ้าง
ทราบแต่รวมๆ ว่า แก้แล้ว จะทำให้การเจรจาเรื่องเขตแดน และทำสัญญาการค้าระหว่างประเทศ
ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา และไม่ต้องได้รับการเห็นชอบจากประชาชน
หรือเราๆ ท่านๆ ไม่มีสิทธิ์รู้ เหมือนดังเช่นกรณีขายข้าว G2G กับรัฐบาลจีน
หรือรายละเอียดเรื่องของการขายข้าว จำนำข้าวทั้งหมด
ที่วันนี้เรายังไม่รู้อะไรเลยที่เป็นข้อมูลจริง
จึงตั้งกระทู้นี้มาขอความรู้เพื่อนสมาชิกครับ
ว่า มาตรา 190 สมัยแรก, สมัยอภิสิทธิ์แก้ไข, สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะทำการแก้ไข
มีรายละเอียดแตกต่างกันอย่างไรบ้าง อะไรดี อะไรไม่ดี
เพื่อนำไปเป็นความรู้เพิ่มเติมครับ
ผมลองหาดู พบของคำนูญ ดูเหมือนจะเป็นสมัยปี 2010 ที่วิพากษ์รัฐบาลอภิสิทธิ์เอาไว้
ชมภาพเปรียบเทียบแก้ไขมาตรา 190 ของเดิมกับของรัฐบาล ที่อำมหิตถูกจับได้กลางรัฐสภา
27 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:57 น.
คิดว่าจะน่าเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจในการจับพิรุธและความผิดปกติตามที่ ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน
ได้เขียนบทความอภิปรายในสภาเกี่ยวกับการแก้ไขรัธรรมนูญมาตรา 190 จึงขอนำภาพเปรียบเทียบการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญมาประกอบคำคัดลอกในบทความเนื้อหาบางตอนของคุณคำนูณ สิทธิสมาน และอธิบาย
เพิ่มเติมเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น
ตามปกติแล้วการเขียนรัฐธรรมนูญ จะมีย่อหน้า และย่อหน้าเขาจะเรียกเป็นวรรค อย่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190
มีทั้งสิ้น 6 วรรค
มีหนังสือสัญญา 2 ประเภทที่ต้องดำเนินการตามมาตรานี้
ประเภทหนึ่ง - หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทย
มีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตารมหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออก
พระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา (ตามภาพก็คือข้อความสีแดง)
ประเภทสอง – หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรืทอสังคมของประเทศอย่าง
กว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ
(ตามก็ข้อความคือสีน้ำเงิน)
หลักการใหญ่คือหนังสือสัญญาทั้ง 2 ประเภท ซึ่งเดิมบรรจุอยู่รวมกันในมาตรา 190 วรรคเดียวกันมาก่อน
ก็คือวรรค 2 ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบต่อรัฐสภา
นอกจากนั้นมาตรา 190 เดิมยังกำหนดรายละเอียดไว้ด้วยทุกขั้นตอนที่หนังสือสัญญาทั้ง 2 ประเภทจะต้อง
เดินตามไปอย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังลงนาม และมีกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของรัฐสภาไว้ด้วย
ดังนี้
ก่อนลงนาม
1. ครม.ให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (มาตรา 190 วรรคสาม)
2. ครม.ชี้แจงต่อรัฐสภา และเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา (มาตรา 190 วรรคสาม)
หลังลงนาม
3. ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน ครม.ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือ
สัญญานั้น (มาตรา 190 วรรคสี่)
4. ในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการ
ขนาดกลางและขนาดย่อม ครม.ต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาอย่างรวดเร็ว เหมาะสม
และเป็นธรรม (มาตรา 190 วรรคสี่)
กำหนดเวลา
5. รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน
มาตรา 190 เดิมนั้น ในวรรคห้าได้กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วย “การกำหนดขั้นตอนและวิธีการ
จัดทำหนังสือสัญญา รวมทั้งการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามหนังสือ
สัญญา” สำหรับหนังสือสัญญาประเภทสองเอาไว้
แนวคิดในการเสนอแก้ไขที่เป็นมารตั้งแต่ยุคคณะกรรมการสมานฉันท์ฯชุดส.ว.ดิเรก ถึงฝั่ง
มาจนถึงยุค 102 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล คือการแก้ไขวรรคห้าเพิ่มเติมคำว่า “ประเภทของสัญญา”
เข้าไป เพราะเกิดความไม่ชัดเจนว่าหนังสือสัญญาประเภทไหนจึงจะเข้าข่ายหนังสือสัญญาประเภทสอง
ทำให้สังคมเห็นว่าพอรับได้ !
เพราะหนังสือสัญญาทั้ง 2 ประเภทยังจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข 5 ประการเหมือนเดิม
ยกเว้นหนังสือสัญญาบางอย่างในประเภทสองที่จะหลุดไป หากการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ
และหนังสือสัญญาบางอย่างนั้นบังเอิญไม่อยู่ในการจำแนกประเภทของกฎหมายลูกที่จะออกมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หนังสือสัญญาประเภทหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงอาณาเขตต้องผ่านกระบวนการครบทั้ง 5 เงื่อนไข !
ทว่าร่างฯแก้ไขมาตรา 190 ของครม.ครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ท่านใช้ “แทคติคในการเขียนกฎหมาย” แยกหนังสือสัญญาทั้ง 2 ประเภทที่บัญญัติอยู่รวมกัน
ในมาตรา 190 วรรคสอง ออกเป็น 2 วรรค
การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์
หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยฯ...ยังอยู่ในมาตรา 190 วรรคสอง
(ตามภาพคือข้อความตามตัวอักษรสีแดง)
หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางฯ
...ถูกแยกในอยู่ในมาตรา 190 วรรคสาม (ตามภาพคือข้อความตามตัวอักษรสีน้ำเงิน)
ทำให้มาตรา 190 ของร่างฯแก้ไขนี้ขยายเป็น 7 วรรค
แล้วในวรรคต่อ ๆ มา (คือวรรคสามและวรรคสี่เดิม หรือวรรคสี่และวรรคห้าใหม่) ที่กำหนดเงื่อนไข
4 ประการแรกไว้ดันไปจงใจเขียนบังคับแต่เฉพาะหนังสือตามวรรคสาม คือสัญญาประเภทสอง
ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางฯเท่านั้น
ตัดหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยฯออกไปจากเงื่อนไขบังคับปฏิบัติ 4 ประการ
นี่คือประเด็นหลักที่ผมเห็นว่าคือการหมกเม็ดครั้งยิ่งใหญ่ที่อำมหิตมาก !!
เพราะหากแก้ไขสำเร็จ หลอกหูหลอกตาสมาชิกรัฐสภาให้คิดว่าเป็นเรื่องแก้ไขเล็กน้อยได้ จะทำให้...
หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยฯ แม้ว่าจะยังถูกบังคับให้ “ต้องได้รับความเห็นชอบ
จากรัฐสภา” อยู่ แต่ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดิมทั้ง 4 ประการ
1. ไม่ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
2. ไม่ต้องชี้แจงต่อรัฐสภา และไม่ต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา
3. แสดงเจตนาให้มีผลผูกพันได้เลย ไม่ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น
4. ในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือสัญญานั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลาง
และขนาดย่อม ก็ไม่ต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม
เรื่องแบบนี้รัฐบาลเคยชี้แจงมั้ย ?
หากรัฐบาลไม่มีวาระซ่อนเร้นจะเสนอร่างแก้ไขฯนี้เข้ามาให้แตกต่างไปจากร่างฯเดิมของคณะกรรมการ
สมานฉันท์ฯชุดส.ว.ดิเรก ถึงฝั่ง และร่างฯแก้ไขของ 102 ส.ส.ทำไม ??
ถ้ารัฐบาลจงใจจะแยกหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตฯออกไปให้พ้นหูพ้นตาพ้นความรับรู้
ของประชาชน ทำไมไม่ใช้ความกล้าหาญชี้แจงเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา เปิดให้มีการอภิปรายตรง
ประเด็นอย่างกว้างขวาง เพราะนี่คือการแก้ไขหลักการใหญ่ที่ถอยหลังตกคลอง ??
อดคิดอดตั้งคำถามไม่ได้ว่านี่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังมีปัญหาคาอยู่ใน
รัฐสภาหรือไม่ ?
ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากภาพและบทความของ ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน
1. เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดในการเคาะย่อหน้าผิด เพราะถ้าเป็นเพียงการเคาะย่อหน้าผิด
การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะอ้างอิง "วรรคสาม"ไม่ได้เลย จะต้องอ้างอิง "วรรคสอง"เท่านั้น แสดงว่า
ไม่ใช่การเคาะย่อหน้าผิด
2. เมื่อวรรค 2 ของมาตรา 190 ใน รัฐธรรมนูญ 2550 แตกออกเป็น 2 วรรค (วรรคสอง และวรรคสาม)
ตามที่รัฐบาลแก้ไข การระบุขั้นตอนเดิมทั้ง 4 ประการเฉพาะเจาะจงให้ปฏิบัติเฉพาะวรรคสามอย่างเดียว
โดยไม่พูดถึงเรื่องสัญญาที่เปลี่ยนแปลงอาณาเขตในวรรคสอง ย่อมไม่ใช่การตกหล่นเช่นเดียวกัน
เพราะในวรรคที่เจ็ดของร่างที่แก้ไขนั้น ได้กล่าวอ้างถึงทั้ง 2 วรรค คือวรรคสอง และวรรคสาม ในกรณี
ที่ต้องมีการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร่างย่อมรู้อยู่แล้วว่ามี 2 วรรคในสัญญาฉบับนี้ แต่จงใจที่จะให้
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาณาเขต ทั้งขั้นตอนการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลของประชาชน และชี้แจงและการ
ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาของรัฐสภา หายไปจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ของเดิม
3. ได้รับฟังคำชี้แจงจาก ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ได้ให้ความรู้ว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190
ปล่อยเอาไว้เช่นนี้แล้ว ก็จะทำให้ผลบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)
ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาอีกต่อไป และประชาชนจะไม่มีทางได้
เห็นข้อผูกพันที่จะลงนามในอนาคตอีกต่อไปด้วย
เรื่องนี้เมื่อ ส.ว.คำนูณ และภาคประชาชนจับได้และรู้ทัน นายกฯจึงต้องยอมกลางสภาประกาศที่จะแก้ไข
แปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ และทำให้ JBC ยังต้องมีความจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาต่อไป
สอดคล้องกับ FaceBook ของนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่า
"นายกรัฐมนตรีระบุร่าง รธน.มาตรา 190 จะทำให้ทุกฝ่ายมีความมั่นใจ ซึ่งในส่วนของวรรค 2 ที่แยกออกมา
นั้นได้นำกลับเข้าไปบรรจุใหม่แล้ว และกรอบการเจรจาของเจบีซียังจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป"
แปลความว่า ถ้ารัฐธรรมนูญมาตรา 190 ลักไก่ผ่านได้โดยที่ไม่มีใครเห็น เจบีซีก็ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ
จากรัฐสภาต่อไป และประชาชนก็ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องไทย-กัมพูชาต่อไปได้แล้ว พอถูกจับได้จึงต้อง
ยอมจำนนแก้ไขและจำต้องเดินหน้าเรื่องเจบีซีต่อไป ใช่หรือไม่?
แต่ใครจะมีหลักประกันได้ เพราะเนื้อหาการแบ่งวรรคตอนนั้น ถือเป็นการแก้ไขในหลักการใหญ่ เหตุใด
รัฐบาลเมื่อรู้ว่าผิดพลาดเรื่องใหญ่เช่นนี้ถึงไม่ถอนร่างออกไปแก้ไขให้แล้วเสร็จเสียก่อน แต่กลับปล่อยให้มี
ความเสี่ยงต่อไปในชั้นกรรมาธิการ และไม่มีใครมีหลักประกันว่าในวาระที่สามจะมีผลสรุปสุดท้ายเป็น
อย่างไรด้วย
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะผ่านตามาทั้งคณะกรรมการชุดของ อ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, กฤษฎีกา,
กระทรวงการต่างประเทศ, คณะรัฐมนตรี, และวิปฝ่ายรัฐบาล มีหรือว่าจะไม่รู้ว่ากำลังเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ในหลักการสำคัญ
เราได้ยินแต่สิ่งที่บอกประชาชนมาโดยตลอดว่า เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เพียงแค่ทำให้มีความชัดเจนมาก
ยิ่งขึ้น แต่กลับไม่มีการพูดถึงประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ประชาชนได้รับทราบมาก่อน
แม้แต่ร่างแก้ไขประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในหลักการสำคัญเรื่องนี้
ถ้าเป็นเพียง "บกพร่อง ผิดพลาด" ก็ต้องถือว่าขาดความเป็นมืออาชีพ ทั้งๆที่เป็นประเด็นกฎหมายสูงสุด
ของประเทศ แต่กลับผิดพลาดในเรื่องหลักการใหญ่ที่สุด
ถ้าเป็นเจตนา "หมกเม็ด" ก็ยิ่งถือว่าเจ้าเล่ห์ เพทุบาย และอำมหิตอย่างยิ่งที่สมควรถูกประชาชนประณาม
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด ก็ย่อมทำให้คนที่ห่วงชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา
ไว้วางใจต่อรัฐบาลน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครพอจะอธิบายได้ง่ายๆ จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ