เปิดแผนรัฐบาล "แก้ทาง" ถูกยื่นตีความ ดัน ก.ม.ใหม่รองรับ พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน
ตามเกมของฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ค่อนข้างชัดว่าพลันที่ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ....วงเงิน 2 ล้านล้านบาท หรือ "ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน" ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา จะมี ส.ส.และ ส.ว.จำนวนหนึ่งยื่นเรื่องผ่านประธานรัฐสภาให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ จำนวนมโหฬารฉบับนี้ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
อันเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 154 (1)
หลายฝ่ายเชื่อว่าประเด็นนี้อาจกลายเป็น "จุดตาย" ของรัฐบาล เพราะมีแนวโน้มว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจเห็นไปในทาง "ไม่เอาด้วย" กับร่างกฎหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ยาวนานถึง 50 ปี และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ไปในทิศทางนั้น นอกจากร่างกฎหมายจะต้องตกไปแล้ว ยังจะมีการขยายผลทางการเมืองให้รัฐบาลลาออก หรือนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบด้วย เพราะถือเป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาล
น่าเชื่อว่ารัฐบาลได้ประเมินสถานการณ์ในเรื่องนี้แล้วเป็นอย่างดี จึงใช้ยุทธวิธีลดพื้นที่ฝ่ายต่อต้าน ด้วยการชิงประณามว่าพวกที่คัดค้านเป็นพวกขวางทางเจริญ!
แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะแม้ผู้คนในสังคมจำนวนหนึ่งจะเห็นคล้อยไปกับรัฐบาลด้วย ทว่าหากศาลรัฐธรรมนูญยังยืนกรานว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็อยู่ต่อลำบากอยู่ดี
จุดนี้เองจึงนำมาสู่การเร่งผลักดันร่างกฎหมายฉบับใหม่เพื่อรองรับอำนาจการกู้เงินและ "ปิดช่องโหว่" ทางกฎหมายที่อาจกลายเป็นเงื่อนแง่ให้ตีความว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญให้หมด
ร่างกฎหมายฉบับที่ว่านี้คือ ร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ ซึ่งเป็นพันธกิจที่รัฐบาลต้องตราขึ้นอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญมาตรา 167 วรรค 3 เพื่อกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลัง รวมถึงการก่อหนี้หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินหรือภาระทางการเงินของรัฐ โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลมาตรา 303 (4) ให้คณะรัฐมนตรีที่เข้าบริหารราชการแผ่นดินภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาครั้งแรก
ความจริงร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ จัดทำมาตั้งแต่ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยส่งร่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจเมื่อปี 2542 แต่จนป่านนี้ยังไม่เข้าสภา ทั้งๆ ที่เลยเวลา 2 ปีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไปตั้งนานแล้ว
ในร่าง พ.ร.บ.ที่จัดทำในรัฐบาลชุดที่แล้ว มีการบัญญัตินิยามของ "เงินแผ่นดิน" เอาไว้ว่า หมายถึงเงินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของทุกหน่วยงานของรัฐ ทั้งเงินในและนอกงบประมาณ
นอกจากนั้นยังเขียนกำกับไว้ว่า การกู้เงินต้องกู้ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 ซึ่งกำหนดเพดานเอาไว้ว่า การกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จะกู้ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีงบประมาณนั้นๆ (มาตรา 20-22)
นี่คือสาระสำคัญตามร่างกฎหมายที่เสนอเอาไว้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์
เมื่อมาถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีการดำเนินการต่อเนื่องมา แต่ไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด กระทั่งมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ซึ่งน่าจะโดนฝ่ายค้านยื่นตีความแน่ จู่ๆ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ ให้กับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อเร็วๆ นี้เอง
หนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขที่ นร 0901/290 เรื่องร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ ลงวันที่ 14 ส.ค.2556!!
เนื้อหาในร่างฯ ผู้เชี่ยวชาญอ่านแล้วสะดุ้ง เพราะนิยามของคำว่า "เงินแผ่นดิน" ถูกตัดออกไปทั้งหมด สาเหตุที่พอเดาได้ก็คือ ถ้าไม่ตัดจะขัดหรือแย้งกับสิ่งที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะ 12) เคยตีความเอาไว้ว่า "เงินกู้ไทยเข้มแข็ง" ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ เฉพาะส่วนที่ไม่ต้องส่งเข้าเป็นเงินคงคลัง "ไม่ใช่เงินแผ่นดิน" ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 169
หนำซ้ำร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ มาตรา 17 ยังระบุว่า หน่วยงานของรัฐจะจ่ายเงินได้ก็แต่เฉพาะที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือตามอำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายอื่น
เนื้อหาของมาตรา 17 ล้อกับรัฐธรรมนูญมาตรา 169 แต่มีการเพิ่มถ้อยคำว่า "อำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมายอื่น" เข้าไป ซึ่งหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน จ่ายได้โดยชอบตามกฎหมายอื่น เท่ากับเป็นการเพิ่มเติมถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ
ทั้งๆ ที่หลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา 169 นั้น บัญญัติและยึดถือกันมายาวนานตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 แล้ว และภายหลังได้กำหนดเพดานการกู้เอาไว้ตาม พ.ร.บ.บริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 ด้วย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ออกในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของ นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกฯคนปัจจุบัน
นอกจากนั้น มาตรา 30 ของร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ ยังบัญญัติว่าการกู้เงินนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ
ฉะนั้นการกู้เงินเป็นจำนวนถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีแน่นอน อันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ จึงสามารถกู้ได้ตามร่างกฎหมายใหม่มาตรา 30 ดังว่า
การเขียนกฎหมายแบบนี้ อีกด้านหนึ่งย่อมเท่ากับเป็นการสารภาพว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ขัดรัฐธรรมนูญ จึงต้องแก้ไขด้วยการเขียนกฎหมายวางหลักเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาเสียเลย
หนำซ้ำยังเป็นกฎหมายที่ออกตามความในรัฐธรรมนูญด้วย ถ้าชิงผลักดันกฎหมายนี้ให้มีผลบังคับใช้ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตีความคำร้องของฝ่ายค้านว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัดรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่ยื่นตีความก็จะตกไป...
ข่าววงในแจ้งว่า รัฐบาลอาจเข็นร่าง พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหลังผ่านร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านในวาระ 2-3 แล้ว โดยอ้างเหตุผลว่าล่าช้ากว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดมานานหลายปี
ต้องจับตาว่ารัฐบาลจะงัดแผนนี้ขึ้นมาสยบการยื่นตีความของฝ่ายค้าน และปิดทางตุลาการภิวัฒน์ทำงานอีกรอบหรือไม่!
cr:http://www.bangkokbiznews.com