http://www.manager.c...D=9560000149799
ป.ป.ช.พบคนทำผิดจำนำข้าวเพิ่ม ขยายไต่สวน 5 กลุ่ม ขายข้าวจีทูจีไทย-จีน ส่อไม่จริง
ป.ป.ช.แถลงคืบหน้าไต่สวนจำนำข้าว พบหลักฐานส่อรัฐขายข้าว “จีทูจี” ไทย-จีน ไม่มีจริง พร้อมพบผู้กระทำความผิดเพิ่ม ขยายการไต่สวนอีก 5 กลุ่ม ส่วนปริมาณส่งมอบข้าวไปจีนทุกรายเพียง 3.75 แสนตัน จากสัญญา 4.8 ล้านตัน ชี้เหตุสรุปแจ้งข้อกล่าวหายังไม่ได้ ผู้บริหาร อคส.ไม่ยอมส่งหลักฐานสำคัญ หวั่นเอกสารถูกเผา พร้อมงัด ม.25 พ.ร.บ. ป.ป.ช.จัดการ
วันนี้ (3 ธ.ค.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกคณะการมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แถลงความคืบหน้าในการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวนั้น ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า การเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระหว่างรัฐบาล กับผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 หน่วยงาน ปรากฏว่าพยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิดโครงการดังกล่าว ซึ่งยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหามาแต่เดิม
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 คือผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ กลุ่มที่ 2 คือ นายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว กลุ่มที่ 3 บริษัท Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp. และ Hainan grain & oil industrial trading company และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสอง กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน ได้แก่ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กลุ่มที่ 5 คือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง พบว่าเงินที่ชำระค่าซื้อขายข้าวกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ประกอบกับบริษัทนี้เคยเป็นนายจ้างในอดีตของ นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนยังตรวจพบว่า การกำหนดให้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2554 ถึง มิ.ย. 2556 มีปริมาณส่งมอบข้าวไปยังจีนทุกรายเพียง 375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ส่งมอบตามสัญญาจำนวน 4,800,000 ตัน ซึ่งกรมศุลกากรได้ยืนยันว่าในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีการอ้างว่าไม่ใช่เป็นการส่งออก แต่เป็นการซื้อหน้าคลังสินค้า ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนจึงจะเร่งดำเนินการไต่สวนเพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหรือไม่ และจะได้พิจารณาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว
“สาเหตุที่ยังไม่สามารถสรุปแจ้งข้อกล่าวหาในวันนี้ เพราะว่ามีผู้อำนวยการคนหนึ่งที่ดูแลองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไม่ยอมมอบเอกสารหลักฐานที่เก็บไว้ให้กับ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญ เราเห็นว่ามีความจำเป็นมากที่ต้องเร่งดำเนินการเพราะว่าขณะที่ที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ อาจทำให้เอกสารเหล่านี้ถูกเผาไปด้วย อันตรายมาก ทาง ป.ป.ช.จะเร่งประสานขอเอกสารพร้อมกับขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการด้วย ถ้าองค์การคลังสินค้าให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ก็สามารถไต่สวนเรื่องนี้ได้เร็ว” นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวขณะนี้มีการกู้เงินมาทำโครงการจนเต็มวงเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 5 แสนล้านบาทแล้ว จนต้องออกเป็นพันธบัตรเพราะไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีกแล้วตามที่มีข่าวออกมา ส่วนกรณีไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเรื่องการระบายข้าวผ่านรูปแบบข้าวถุงเช่นกัน ซึ่งเป็นคำร้องที่มีคณะ ส.ว.และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเข้ามา แต่ ป.ป.ช.ไม่ได้ไต่สวนกรณีข้าวถุงรวมกับประเด็นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการซับซ้อน
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการและรองโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวว่า เอกสารที่ ป.ป.ช.ต้องการนั้นมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อใช้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการขนส่งข้าวของตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้พยายามประสานขอเอกสารจากหัวหน้าคลังสินค้ากลางในต่างจังหวัด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นว่าให้ไปขอความร่วมมืออีกครั้ง และถ้ามีความจำเป็นก็สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 25 เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ ถ้าได้เอกสารตรงนี้จะสามารถขมวดทุกประเด็น และนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ต่อไป กรณีนี้ถือว่าเป็นมหากาพย์เพราะมีผู้ใหญ่และผู้น้อย ภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.พบความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นทางการเงินการซื้อขายของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายวิชา กล่าวว่า ในกรณีนี้จะต้องรวบรวมหลักฐานที่เป็นเช็คเงินสดอีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่เบื้องต้นได้ความชัดเจนแล้วว่ามีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ มีทั้งการจ่ายเงินจากสยามอินดิก้า รวมทั้งบริษัทต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาที่เกี่ยวกับการค้าข้าว รวมทั้งมีกรณีของโควต้าสลากก็มี เราพบว่ามีการไปเอาข้าวโดยไม่ต้องมีใบมอบอำนาจ ทั้งที่ควรต้องมีใบมอบอำนาจและใบส่งสินค้า ซึ่ง ป.ป.ช.จะตรวจสอบต่อไปว่าไปเกี่ยวข้องกับโควต้าสลากได้อย่างไร
เมื่อถามต่อว่าบริษัทของจีนสามารถไม่ให้ความร่วมมือได้หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า บริษัทต่างประเทศก็สิทธิ์ได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้มีหนังสือมายัง ป.ป.ช. ว่า ป.ป.ช.ไม่มีข้อมูลและการดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ประเด็นดังกล่าวถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับ ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.มีหน้าที่ไต่สวนการทุจริต