Jump to content


Photo
* * * - - 1 votes

ป.ป.ช.พบคนทำผิดจำนำข้าวเพิ่ม ขยายไต่สวน 5 กลุ่ม ขายข้าวจีทูจีไทย-จีน ส่อไม่จริง

จำนำข้าว จีทูจี

  • Please log in to reply
25 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:47

http://www.manager.c...D=9560000149799

 

ป.ป.ช.พบคนทำผิดจำนำข้าวเพิ่ม ขยายไต่สวน 5 กลุ่ม ขายข้าวจีทูจีไทย-จีน ส่อไม่จริง

 

ป.ป.ช.แถลงคืบหน้าไต่สวนจำนำข้าว พบหลักฐานส่อรัฐขายข้าว “จีทูจี” ไทย-จีน ไม่มีจริง พร้อมพบผู้กระทำความผิดเพิ่ม ขยายการไต่สวนอีก 5 กลุ่ม ส่วนปริมาณส่งมอบข้าวไปจีนทุกรายเพียง 3.75 แสนตัน จากสัญญา 4.8 ล้านตัน ชี้เหตุสรุปแจ้งข้อกล่าวหายังไม่ได้ ผู้บริหาร อคส.ไม่ยอมส่งหลักฐานสำคัญ หวั่นเอกสารถูกเผา พร้อมงัด ม.25 พ.ร.บ. ป.ป.ช.จัดการ
       
       วันนี้ (3 ธ.ค.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกคณะการมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แถลงความคืบหน้าในการไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวนั้น ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า การเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระหว่างรัฐบาล กับผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 หน่วยงาน ปรากฏว่าพยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิดโครงการดังกล่าว ซึ่งยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหามาแต่เดิม
       
       ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลเพิ่มเติมอีก 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 คือผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ กลุ่มที่ 2 คือ นายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว กลุ่มที่ 3 บริษัท Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp. และ Hainan grain & oil industrial trading company และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสอง กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน ได้แก่ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด กลุ่มที่ 5 คือบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง พบว่าเงินที่ชำระค่าซื้อขายข้าวกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ประกอบกับบริษัทนี้เคยเป็นนายจ้างในอดีตของ นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ
       
       นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนยังตรวจพบว่า การกำหนดให้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2554 ถึง มิ.ย. 2556 มีปริมาณส่งมอบข้าวไปยังจีนทุกรายเพียง 375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ส่งมอบตามสัญญาจำนวน 4,800,000 ตัน ซึ่งกรมศุลกากรได้ยืนยันว่าในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีการอ้างว่าไม่ใช่เป็นการส่งออก แต่เป็นการซื้อหน้าคลังสินค้า ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนจึงจะเร่งดำเนินการไต่สวนเพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหรือไม่ และจะได้พิจารณาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว
       
       “สาเหตุที่ยังไม่สามารถสรุปแจ้งข้อกล่าวหาในวันนี้ เพราะว่ามีผู้อำนวยการคนหนึ่งที่ดูแลองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไม่ยอมมอบเอกสารหลักฐานที่เก็บไว้ให้กับ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญ เราเห็นว่ามีความจำเป็นมากที่ต้องเร่งดำเนินการเพราะว่าขณะที่ที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ อาจทำให้เอกสารเหล่านี้ถูกเผาไปด้วย อันตรายมาก ทาง ป.ป.ช.จะเร่งประสานขอเอกสารพร้อมกับขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการด้วย ถ้าองค์การคลังสินค้าให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ก็สามารถไต่สวนเรื่องนี้ได้เร็ว” นายวิชา กล่าว
       
       นายวิชา กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวขณะนี้มีการกู้เงินมาทำโครงการจนเต็มวงเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 5 แสนล้านบาทแล้ว จนต้องออกเป็นพันธบัตรเพราะไม่สามารถกู้เพิ่มได้อีกแล้วตามที่มีข่าวออกมา ส่วนกรณีไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเรื่องการระบายข้าวผ่านรูปแบบข้าวถุงเช่นกัน ซึ่งเป็นคำร้องที่มีคณะ ส.ว.และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเข้ามา แต่ ป.ป.ช.ไม่ได้ไต่สวนกรณีข้าวถุงรวมกับประเด็นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการซับซ้อน
       
       นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการและรองโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวว่า เอกสารที่ ป.ป.ช.ต้องการนั้นมีความจำเป็นอย่างมากเพื่อใช้รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการขนส่งข้าวของตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้พยายามประสานขอเอกสารจากหัวหน้าคลังสินค้ากลางในต่างจังหวัด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นว่าให้ไปขอความร่วมมืออีกครั้ง และถ้ามีความจำเป็นก็สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 25 เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ ถ้าได้เอกสารตรงนี้จะสามารถขมวดทุกประเด็น และนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ต่อไป กรณีนี้ถือว่าเป็นมหากาพย์เพราะมีผู้ใหญ่และผู้น้อย ภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.พบความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นทางการเงินการซื้อขายของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด แล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายวิชา กล่าวว่า ในกรณีนี้จะต้องรวบรวมหลักฐานที่เป็นเช็คเงินสดอีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่เบื้องต้นได้ความชัดเจนแล้วว่ามีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ มีทั้งการจ่ายเงินจากสยามอินดิก้า รวมทั้งบริษัทต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาที่เกี่ยวกับการค้าข้าว รวมทั้งมีกรณีของโควต้าสลากก็มี เราพบว่ามีการไปเอาข้าวโดยไม่ต้องมีใบมอบอำนาจ ทั้งที่ควรต้องมีใบมอบอำนาจและใบส่งสินค้า ซึ่ง ป.ป.ช.จะตรวจสอบต่อไปว่าไปเกี่ยวข้องกับโควต้าสลากได้อย่างไร
       
       เมื่อถามต่อว่าบริษัทของจีนสามารถไม่ให้ความร่วมมือได้หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า บริษัทต่างประเทศก็สิทธิ์ได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้มีหนังสือมายัง ป.ป.ช. ว่า ป.ป.ช.ไม่มีข้อมูลและการดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ประเด็นดังกล่าวถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับ ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.มีหน้าที่ไต่สวนการทุจริต


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#2 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:51

1393689_611894342199332_1139368240_n.jpg

 

http://www.bangkokbi...­ҢéÒǨշ٨ÕÅǧ.html

 

ย้อนรอยสัญญาข้าวจีทูจีลวง

 

ย้อนรอยมหากาพย์ขายข้าวจีทูจี ฉบับ "ลับ-ลวง-พราง" ป.ป.ช.สาวลึก! พบข้อมูล"เก๊"

 

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ออกมาแถลงถึงความคืบหน้าในการไต่สวนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวว่า ข้อเท็จจริงการจากการไต่สวนได้ความว่าการเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ระหว่างรัฐบาลกับผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน ปรากฏว่าพยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายแบบจีทูจีและพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิดในการโครงการดังกล่าว จึงต้องไต่สวนเพิ่มในบุคคลและคณะบุคคล 5 กลุ่มหลัก

 

หนึ่งในนั้นมีบริษัทสยามอินดิก้า ที่พบว่าการจ่ายเงินจีทูจีล้วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้ และบริษัทตัวแทนจีนล้วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้อย่างแยกไม่ออกเช่นกัน การไต่สวนพบว่าสัญญาขายข้าวมีถึง 4.8 ล้านตันแต่ส่งมอบกันจริงเพียง 3.7 แสนตันเศษ ทำให้รัฐเสียหายและเป็นสัญญาลวง

 

แน่นอนว่าชื่อของ บริษัท สยามอินดิก้า แยกไม่ออกจาก“เสี่ยเปี๋ยง” นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเคยเป็นบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าจะเป็นคนละบริษัทกัน แต่กรรมการและผู้ถือหุ้นหลายคน ในบริษัท สยามอินดิก้า เคยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้งมาก่อน อาทิ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 43,739,000 หุ้น เป็นอดีตผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 232,560 หุ้น

 

ในช่วงปี 2551 บริษัท สยามอินดิก้า เคยเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับ บริษัท เพรซิฯโดยการเข้าไปทำสัญญาซื้อหนี้ ของบริษัท เพรซิเดนท์ ฯ จากธนาคารกรุงไทย ในราคา 1,050 ล้านบาท จากมูลหนี้ 1,286 ล้านบาท

 

เป็นบริษัทสยามอินดิก้าที่ถือตั๋วไปเบิกข้าวจีทูจี จากกรมการค้าต่างประเทศ แทบเป็นเพียงรายเดียว ในยุครัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ขณะที่“ผู้มีอำนาจ”ของบริษัท “GSSG IMP AND EXPORT CORP” จากเมืองกวางเจา ประเทศจีน เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ คือ นายรัฐนิธ โสติกุล ก่อนส่งมอบอำนาจดำเนินการแทน ให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร โดยแหล่งที่มาของเงิน ที่นำมาใช้ในการซื้อข้าว ก็มาจากในประเทศไทย โดยมีชื่อนายสมคิด เรือนสุภา เป็นผู้ดำเนินการออกแคชเชียร์เช็ค และจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทนี้ซื้อขายหลายอย่างและหนึ่งในนั้นเป็นเครื่องกีฬา ไม่ได้เชี่ยวชาญการค้าข้าวมากนัก

 

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายไว้ว่า "รัฐนิธ" ชื่อเล่นว่า “ปาล์ม”อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภารุ่นที่ 6 สถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วยส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

 

ขณะที่“นิมล” มีชื่อในวงการว่า “เสี่ยโจว” เป็นมือขวา“เสี่ยเปี๋ยง” หรือ อภิชาติ เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วน“สมคิด”ที่ปปช.ประกาศไต่สวนเพิ่มวานนี้ เป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะเคยได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยง ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท สยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2547

 

ปปช.ชี้ข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าจีทูจีไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการกำหนดรูปแบบขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาตํ่ากว่าราคาตลาด

จากข้อมูลพอมองเห็นได้ว่าการขายข้าวจีทูจีถูกจัดฉากขึ้น โดยตั้งหรือหาหัวบริษัทตัวแทนจากจีนเข้ามาเป็นอีกองค์กรหนึ่ง เพื่อให้ครบองค์ประกอบ แต่มีการซื้อขายหรือโยนกันไปมา สยามอินดิก้า ตัวแทนจีเอสเอสจี ซึ่งเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เป็นลักษณะเครือข่ายข้าวจีทูจีรัฐ ไม่มีการระบายข้าวออกไปจริง หรือขายออกไปแต่น้อย แต่เพื่อเลี่ยงวิธีการประมูลปกติ

 

ตัวเสี่ยเปี๋ยงหรืออภิชาติเอง มีความใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล โดยอภิชาติเคยถูกชี้มูลความผิดคดีบ้านเอื้ออาทรร่วมกับบุคคลใกล้ชิดในรัฐบาลมาแล้ว

 

 

ขณะที่ผู้แทนจากกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะคู่สัญญารัฐต่อรัฐที่จะต้องถูกไต่สวนเพิ่มนั้น ในการทำสัญญาต้องตรวจสอบให้รอบคอบและการเบิกจ่ายข้าวออกจากคลังแต่ละครั้ง ต้องแน่ใจว่าเป็นไปตามสัญญา และต้องดูว่ากระบวนการทำสัญญาถูกต้องหรือไม่ การที่จะอ้างว่าขายข้าวหน้าโกดังแล้วจบ โดยไม่ได้พิจารณาว่ากระบวนการทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ เจ้าหน้าที่จึงอาจปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#3 DoctorK

DoctorK

    ช่างท.บ.กิ๊กก๊อก

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,046 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:56

1ในผลงานที่ควายแดงชาบู :lol:

 

แต่ถ้าตัดสินเมื่อไหร่ รับรอง ปปช โดนเสื้อแดงแขวะว่ารับใช้เผด็จการ กับ อำมาตย์(ที่เป็นใครก็ไม่รู้)แน่ๆเลย

:lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: 


รักที่สุดคือพ่อหลวง ห่วงที่สุดคือคนที่รักประชาธิปไตยจนเสียสติ

 

หากโพสไหนไม่เหมาะสม MODลบได้เลยนะครับ


#4 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:01

http://thaipublica.o...13/01/g-to-g-1/

 

1 ทศวรรษขายข้าวจีทูจี : (1) ใครเจ๊ง ใครเจี๊ยะ ใครจ่าย?

 

การส่งออกข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือ “จีทูจี” เป็นเครื่องมือในการระบายข้าวจากสต็อกรัฐบาล ผ่านการเจรจาโดยตรงของหน่วยราชการหรือผู้นำรัฐบาลทั้งสองประเทศ ด้วยระบบ “มิตรภาพ” คือ การตั้งราคาที่ไม่แพงกว่าราคาตลาด ถูกกว่าการซื้อจากบริษัทเอกชน

 

ที่ผ่านมา มีหลายประเทศที่ทำการค้าจีทูจีกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ โกตดิวัวร์ เกาหลีเหนือ และมาเลเซีย ฯลฯ โดยจะต้องมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ก่อน จากนั้นจึงเซ็นสัญญาการซื้อขายอย่างเป็นทางการ

 

การค้าข้าวแบบจีทูจียังเป็นเรื่องการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ให้แก่ประเทศที่ผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการภายใน ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา หรือบางประเทศที่ผ่านภาวะศึกสงคราม ถูกคว่ำบาตรจากองค์กรสหประชาชาติ ก็มาขอซื้อข้าวจากไทยเช่นเดียวกัน

 

ประเทศไทยนับเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก มีปริมาณผลผลิต 37 ล้านตันข้าวเปลือกต่อปี มีการส่งออกสูงสุดถึง 10 ล้านตันข้าวสาร แต่ก็ไม่สามารถควบคุมราคาข้าวในตลาดโลกได้เบ็ดเสร็จ เมื่อราคาแกว่งตัวลดลง รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยต้องอาศัยการ “จำนำข้าว” เป็นเครื่องมือในการดึงราคาตลาดภายในประเทศขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือชาวนา

 

เมื่อเก็บสต็อกได้ระยะหนึ่ง รัฐบาลก็จะมีการระบายออกด้วยวิธีขายแบบจีทูจี หรือไม่ก็เปิดให้เอกชนมาประมูลซื้อไป เพราะการเก็บข้าวไว้นานยิ่งทำให้ข้าวในสต็อกเสื่อมสภาพ แต่การขายแบบจีทูจี ซึ่งเป็นการค้าทางตรง ตัดวงจรพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผู้ซื้อเชื่อว่าจะได้ข้าวในราคาที่เหมาะสม

 

ในยุคหลัง การค้าแบบจีทูจีถูก “แปรเจตนา” ไป เนื่องจากฝ่ายการเมืองมองเห็นผลประโยชน์ก้อนมหาศาลจากสินค้าข้าว จึงมีการดึงเอกชนเข้ามาเป็นตัวกลางรับซื้อข้าวในโกดังรัฐบาล เพื่อส่งมอบให้กับรัฐบาลต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง ผ่านทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด กล่าวคือ เป็นนโยบายที่เชื่อกันว่ามีการตกลงกันมาเรียบร้อยแล้ว

 

เป็นวิธีการเปิดทางให้เอกชนเข้ามาแทรกกลาง โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้บริหารประเทศไม่ต้องแปดเปื้อน ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูล และอาศัยกลเม็ดทุกรูปแบบ อาทิ หาประโยชน์จากส่วนต่างราคาที่เอกชนไปตกลงไว้ล่วงหน้า บางครั้งข้าวไม่ได้มีการส่งออกจริง แต่ถูกนำมาเวียนขายในประเทศ เป็นต้น

 

การส่งออกแบบจีทูจีที่น่าจะโปร่งใสที่สุด จึงกลายเป็นวิธีที่หมกเม็ดมากที่สุด และตรวจสอบได้ยากที่สุด

 

ย้อนหลังกลับไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การขายแบบจีทูจีมีปริมาณเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 1.8 ล้านตัน โดยพุ่งสูงสุดในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2545-2547 เบ็ดเสร็จแล้วขายออกไปมากกว่า 7 แสนตัน

 

ในช่วงที่นายอดิศัย โพธารามิก เป็น รมว.พาณิชย์ มีการถูกตรวจสอบพบความไม่โปร่งใสในการขายข้าวให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ จนถูกฝ่ายค้านเปิดโปงหลักฐานในสภาผู้แทนราษฎร

ต่อมาในยุคนายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมว.พาณิชย์ มีเรื่องอื้อฉาวการประมูลข้าวของ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่ได้รวมแล้วกว่า 1 ล้านตัน ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เรียกเสียงฮือฮาจากคนในวงการถึงความกล้าบ้าระห่ำของ “เสี่ยเปี๋ยง-อภิชาติ จันทร์สกุลพร”

 

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเวลาต่อมา ทำให้เรื่องราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อพบว่า รัฐบาลกับเพรซิเดนท์อะกริฯ มีการ กระทำที่เชื่อได้ว่ามีการวางแผนในการผูกขาดการค้าข้าวในประเทศและส่งออก

 

เพราะหลังจากเพรซิเดนท์อะกริฯกวาดสต็อกข้าวรัฐได้มากที่สุดแล้ว รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนั้น ก็ประกาศขึ้นราคาจำนำ ทำให้ข้าวหายไปจากตลาด และผู้ส่งออกทุกรายต้องวิ่งไปซื้อข้าวจากบริษัทเพรซิเดนท์อะกริฯ เพียงรายเดียว

 

อย่างไรก็ตาม ความไม่เชี่ยวชาญของเพรซิเดนท์อะกริฯ และราคาข้าวในตลาดโลกที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทต้องพบกับความยากลำบากในการระบายข้าวในมือ สุดท้ายตกอยู่ในสภาพล้มละลาย ไม่สามารถรับมอบข้าวจากรัฐบาลตามที่ประมูลได้ และถูกสถาบันการเงินฟ้องล้มละลาย พร้อมพบหลักฐานตามมาอีกมาก

 

ในช่วงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2550-2551 ก็เป็นอีกช่วงที่พบว่ามีการระบายสต็อกข้าวได้จำนวนมาก เนื่องจากหลังปัญหากรณีบริษัทเพรซิเดนท์อะกริฯ แล้ว กระทรวงพาณิชย์ไม่กล้าขายข้าวในสต็อกเพราะถูกสังคมจับตามอง ถ้าขายถูกกว่าตลาดก็เกิดข้อครหา ถ้าขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ สต็อกข้าวจึงคาราคาซังเป็นจำนวนมาก

 

รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์จึงได้อาศัยจังหวะนี้ โละข้าวที่มีมากมายในโกดังรัฐออกไปใน 3 รูปแบบ รวมเฉียดๆ 8 แสนตัน เป็นการขายข้าวจีทูจีไปกว่า 6.53 แสนตัน, การนำระบบซื้อขายในตลาดล่วงหน้าเข้ามาช่วยสร้างความโปร่งใสในการขาย และยังใช้วิธีการขายให้แก่พ่อค้า หรือผู้ส่งออกประมูลโดยตรง ปรากฏว่า ราคาข้าวที่ขายออกไปในช่วงนั้นสูงถึงกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน

 

ขณะที่ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ราคาข้าวในตลาดโลกจะสูงมากเป็นประวัติการณ์ แต่แทบจะไม่ได้ระบายข้าวในสต็อกเลยด้วยซ้ำ ทำให้ราคาข้าวในประเทศพุ่งไปถึงตันละ 30,000 บาท ในตอนนั้นมีหลายชาติและองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งยื่นหนังสือขอซื้อข้าวในสต็อกของไทย แต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนมองว่าราคาข้าวในตลาดโลกน่าจะสูงได้อีก ทำให้มีการ “ดึง” ผลผลิตเอาไว้ แต่สุดท้ายราคาข้าวก็ตกลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน

 

สต็อกที่สะสมจากรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ถูกส่งผ่านมาถึงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีนางพรทิวา นาคาศัย เป็น รมว.พาณิชย์ แม้จะมีข้าวในมือมาก แต่กลับมีการขายข้าวแบบจีทูจีไปได้เพียง 2.67 แสนตัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาล คือ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ที่ลึกๆ แล้วมีการยื้อกันไปยื้อกันมา ไม่ลงตัวโดยเฉพาะการขายข้าวในลอตหลัง ที่นางพรทิวาเสนอขายแบบจีทูจีให้กับอินโดนีเซีย แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากนายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมเซ็นอนุมัติ กระทั่งมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

 

 

สุดท้ายแล้ว ข้าวที่จะขายให้อินโดนีเซียลอตดังกล่าว จึงตกมาอยู่ในมือของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ปี 2554 และกลายเป็นหนึ่งในข้าวลอตที่อื้อฉาว ด้วยตัวละครเดิมที่ย้อนกลับมาแสดงในอีก 10 ปีต่อมา?(อ่านต่อตอนต่อไป)


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#5 Novice

Novice

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,353 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:06

อันที่จริงต้องบอกว่านี่เป็นข่าวใหญ่มากเลยนะครับ เพราะคนรับผิดชอบเรื่องนี้ตอนนี้ยอมมาให้ปากคำ ปปช แล้วด้วย

 

ผมทำนายว่ารัฐบาลจะด้านได้ไม่ถึงสงกรานต์ครับ มีใครเกทับไหม  :D


Edited by Novice, 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:07.


#6 น้องจุบุจุบุ

น้องจุบุจุบุ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,006 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:08

จริงๆสยามอินดีก้า จริงๆต้องพูดถึงเพลสซิเด้น ผมว่าบริษัทนี้มันก็แปลกๆละนะผมว่าฮั้วหลายที่ละแต่ใครอยู่บนสุดนั้นคือประเด็นมากกว่า จะเป็นเจ๊ดอตามที่เขาว่ากันหรือไม่ต้องดูต่อไป

#7 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:09

http://thaipublica.o...13/04/g-to-g-2/

 

1 ทศวรรษ ขายข้าวจีทูจี: (2) เปิดข้อมูลกรมศุลฯ 4 ปี รัฐส่งออกข้าวแค่ 4 หมื่นตัน ปี 2555 ขายจีน 212 ตัน

 

ในการการระบายขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนในรูปแบบ “จีทูจี” เรื่องของข้อเท็จจริงที่ว่ามีการส่งออกข้าวจริงหรือไม่เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), นักวิชาการ และสื่อมวลชน โดยเฉพาะในช่วงที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายซักฟอกการทำงานของรัฐบาลปลายปี 2554 ““ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” มือชำแหละ “จำนำข้าว”” พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า“ทำไมการขายข้าวแบบจีทูจีไม่มีการเปิดแอลซีมาจากต่างประเทศ และทำไมรัฐบาลจีนชำระค่าข้าวด้วยแคชเชียร์เช็คที่ออกโดยสาขาของธนาคารพาณิชย์ไทย

 

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาตอบกระทู้สดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 ระบุว่า “ในปี 2555 ที่ผ่านมา รัฐบาลรับจำนำข้าวมาทั้งหมด 13 ล้านตัน ในจำนวนนี้รัฐบาลขายข้าวออกไปได้กว่า 7 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นการส่งออกข้าวผ่านระบบ” จีทูจี” 4.03 ล้านต้น ขายให้กับองค์กรต่างๆ 2.57 ล้านตัน และขายให้กับองค์กรในประเทศ 0.46 ล้านตัน และถ้ารวมการระบายขายข้าวเก่าที่ตกค้างมาจากรัฐบาลชุดก่อนอีก 1.85 ล้านตัน รวมแล้วในปีที่ผ่านมารัฐบาลมีรายได้จากการขายข้าว 66,259 ล้านบาท”

 

ฝ่ายค้านระบุว่าไม่มีการขายข้าวผ่านระบบ “จีทูจี” ส่วนฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่า ปี 2555 มีการขายข้าวแบบจีทูจีออกไปกว่า 4 ล้านตัน เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2556 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยพับได้ยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 กับกรมศุลกากร เพื่อขอข้อมูลยอดการส่งออกข้าวที่ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในเชิงปริมาณและมูลค่าย้อนหลังเป็นเวลา 3 ปี พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเซ็นรับรองสำเนาความถูกต้อง

 

4-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%88%E0%B8%B5%

 

ก่อนถึงช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11 เมษายน 2556 กรมศุลกากรติดต่อให้ผู้สื่อข่าวมาเซ็นชื่อรับเอกสารข้อมูลสถิติการส่งออกข้าว (พิกัด 1006) โดยหน่วยงานภาครัฐช่วง 4 ปี ที่ผ่านมาตามที่ร้องขอ

 

จากข้อมูลสถิติการส่งออกข้าวของกรมศุลกากร ซึ่งเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลตามใบขนสินค้าที่ระบุเลขที่พิกัดศุลกากร 11 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 1006xxxxxxx ซึ่งเป็นหมวดการส่งออกข้าวที่ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในรูปแบบของรัฐต่อรัฐ และรัฐต่อเอกชน (ไม่นับรวมกรณีส่งออกโดยเอกชนต่อรัฐ หรือเอกชนต่อเอกชน)

 

เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ หลังจากที่ได้ข้อมูลจากกรมศุลกากร สำนักข่าวไทยพับลิก้าขอแปลงหน่วยวัดปริมาณข้าว จาก “กิโลกรัม” เป็น “ตัน” พบว่า ปี 2553 ซึ่งตรงกับสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หน่วยงานภาครัฐส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 9,790 ตัน คิดเป็นมูลค่า 142 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 14,450 บาทต่อตัน โดยประเทศที่ส่งออกข้าวไปขายมากที่สุด คือ ประเทศโดมินิกัน 4,728 ตัน มูลค่า 63 ล้านบาท เฉลี่ย 13,274 บาท/ตัน รองมาเป็นประเทศเฮติ 3,942 ตัน มูลค่า 62 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 15,666 บาท/ตัน

 

ปี 2554 ช่วงรอยต่อของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปีนี้หน่วยงานภาครัฐส่งออกข้าวรวมทั้งสิ้น 29,851 ตัน มูลค่า 444 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 14,884 บาท/ตัน โดยส่งข้าวออกไปขายให้กับประเทศปากีสถาน 20,000 ตัน มูลค่า 295 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 14,750 บาท/ตัน ถัดมาเป็นประเทศเฮติ 9,744 ตัน มูลค่า 146 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 15,000 บาท/ตัน

 

ปี 2555 ข้อมูลกรมศุลกากรที่บันทึกตามใบขนสินค้า ระบุว่าปีนี้มีหน่วยงานภาครัฐส่งข้าวไปขายประเทศจีนรวมทั้งสิ้น 212 ตัน คิดเป็นมูลค่า 7.4377.43 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 34,954 บาท/ตัน ส่วนข้อมูลปี 2556 ไม่พบข้อมูลว่ามีหน่วยงานรัฐส่งข้าวออกไปขายในต่างประเทศ

 

4-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%AB%E0%B8%99%

 

รวมยอดการส่งออกข้าวที่ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ตลอด 4 ปี (2553-2556) ส่งออกข้าวไปขายให้กับประเทศคู่ค้าแค่ 5 ประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน เฮติ โดมีนิกัน ฟิลิปปินส์ และจีน ในปริมาณรวมทั้งสิ้น 39,853 ตัน คิดเป็นมูลค่า 594 ล้านบาท

 

การขายข้าวแบบจีทูจี คือ การเจรจาซื้อ-ขายข้าวระหว่างหน่วยงานรัฐกับหน่วยงานรัฐ โดยวิธีพิเศษ ไม่ต้องเปิดประมูล การกำหนดราคาซื้อ-ขายขึ้นอยู่กับผลการเจรจา แต่ส่วนใหญ่เป็นราคามิตรภาพ กำหนดราคาขายต่ำกว่าราคาที่ซื้อจากภาคเอกชน

 

หากเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรไม่ได้บันทึกข้อมูลผิดพลาด กรณีนายณัฐวุฒิตอบกระทู้สดในสภาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2556 ว่า “ในปี 2555 รัฐบาลส่งข้าวออกไปขายประเทศจีนในรูปแบบจีทูจีกว่า 4 ล้านตัน” รวมทั้งกรณีส่งออกข้าวไปขายอินโดนีเซีย บังกลาเทศ เกาหลีเหนือ และมาเลเซีย ไม่น่าจะเข้าข่ายจีทูจี แต่อาจจะเป็นการขายผ่านตัวแทนภาคเอกชน เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร จึงไม่ได้บันทึกข้อมูลไว้ในพิกัด


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#8 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:10

อันที่จริงต้องบอกว่านี่เป็นข่าวใหญ่มากเลยนะครับ เพราะคนรับผิดชอบเรื่องนี้ตอนนี้ยอมมาให้ปากคำ ปปช แล้วด้วย

 

ผมทำนายว่ารัฐบาลจะด้านได้ไม่ถึงสงกรานต์ครับ มีใครเกทับไหม  :D

 

:D ช่วงนี้อาจมีกระแสการชุมนุมมากลบไป... แต่ก็ยังน่าติดตามอยู่ครับ

 

ปล. ให้ถึงสงกรานต์เลยหรอครับ


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#9 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:21

http://thaipublica.o...13/04/g-to-g-3/

 

1 ทศวรรษ ขายข้าวจีทูจี (3): หมัดต่อหมัด “ณัฐวุฒิ-วรงค์” โต้ข้อมูลกรมศุลฯ ยัน รัฐส่งข้าวจีทูจี ปี ’55 แค่ 212 ตัน

 

จากกรณีสำนักข่าวไทยพับลิก้าได้ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อขอฐานข้อมูลการส่งออกข้าว ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” ของกรมศุลกากร โดยพบว่า ในปี 2555 มีหน่วยงานภาครัฐส่งข้าวไปขายประเทศจีนรวมทั้งสิ้น 212 ตัน คิดเป็นมูลค่า 7.43 ล้านบาท คิดเป็นราคาขายเฉลี่ยที่ 34,954 บาท/ตัน

 

ปรากฏว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับคำชี้แจงของรัฐบาลที่ระบุตัวเลขว่า ในปี 2555 มีการขายข้าวแบบจีทูจีจำนวน 4.03 ล้านตัน

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีการหยิบยกขึ้นมา “ตอบโต้” กันในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 18 เมษายน โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งกระทู้ถามสด เรื่อง “ผลการตรวจสอบการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) และปัญหาโครงการรับจำนำข้าว” ต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการมอบหมายให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มาชี้แจงแทน

 

นพ.วรงค์ถามว่า การส่งออกข้าวจีทูจีปี 2555 ตกลงแล้วรัฐบาลขายข้าวจีทูจีจำนวนเท่าใด และผลการสอบสวนของคณะกรรมการเฉพาะกิจตรวจสอบสัญญาข้าวรัฐต่อรัฐ เป็นอย่างไร

 

นายณัฐวุฒิชี้แจงว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงมีนาคม 2556 หรือตั้งแต่ที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลขายข้าวแบบจีทูจีไปแล้วทั้งสิ้น 6.2 ล้านตันทั้งข้าวใหม่ในโครงการและข้าวเก่าที่ค้างสต็อกไว้ และเป็นการขายให้ผู้ประกอบการภายในประเทศเพื่อส่งออกและขายในประเทศตามหลักเกณฑ์ของโครงการประมาณ 0.49 ล้านตัน

 

 

ส่วนผลการตรวจสอบโดยการตั้งคณะกรรรมการกระทวงพาณิชย์ ที่มีการสอบย้อนหลังไป 3 ปีนั้น ได้มีการแถลงไปแล้วโดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่จะขอสรุปอีกครั้งว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการพบว่า หลักเกณฑ์และวิธีการระบายข้าวของรัฐบาลชุดปัจจุบันและชุดก่อนมีสาระสำคัญเหมือนกันทุกประการ มีข้อแตกต่างกันเพียงที่ว่า รัฐบาลชุดก่อนผ่านความเห็นชอบโดยประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องผ่านความเห็นชอบของประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ซึ่งก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้ทันที

 

ส่วนการซื้อขายแบบจีทูจีที่พูดถึงคงจะเป็นกรณีบริษัทแห่งหนึ่งของจีน ผลการตรวจสอบยืนยันว่า องค์กรดังกล่าวมีหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐบาลจีน ก็คือคณะกรรมการควบคุมบริหารทรัพย์สินแห่งรัฐบาลประชาชนจีน มณฑลกวางตุ้ง ยืนยันว่าบริษัทจีเอสเอสจีเป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศจีนจริง โดยมีนาง โล เหวิน ซุ้ย เป็นผู้มีอำนาจลงนามแทน ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทย ที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศจีน ได้แจ้งมายังกรมการค้าต่างประเทศ จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการตกลงซื้อขายกันแบบจีทูจี นี่คือสาระสำคัญหลักๆ ที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้แถลงในรายละเอียด

 

นพ.วรงค์กล่าวว่า ที่บอกว่ามีการขายข้าวแบบจีทูจีจำนวน 6.2 ล้านตัน เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เพราะจากข้อมูลของกรมศุลกากร จีทูจีคือการขายข้าวรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่ต้องมีการประมูล เป็นราคาพิเศษระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งข้อมูลของกรมศุลกากรตามโค๊ด 1006 หมายถึงข้าวของรัฐบาลที่ส่งออกไปต่างประเทศ อาจจะขายให้รัฐบาลเอง หรือรัฐขายให้เอกชน โดยพบว่าในปี 2554 มีข้าวของรัฐบาลออกไปแค่ 29,851 ตัน ใน ปี 2555 ที่จีทูจีดังกระหึ่มนั้น มียอดส่งออกเพียง 212 ตัน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่รัฐบาลบอกว่า 6.2 ล้านตัน เป็นคนละเรื่อง เกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้น สิ่งที่รัฐมนตรีพูดไม่เป็นความจริง ถือว่าพูดไม่มีข้อเท็จจริงในสภา

 

ส่วนที่บอกว่าตรวจสอบบริษัทจีเอสเอสจีเป็นรัฐวิสาหกิจ ตนขอย้ำว่า การขายข้าวแบบจีทูจีคือการขายข้าวรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่ใช่รัฐต่อรัฐวิสาหกิจ อันนี้คือการบิดเบือน ซึ่งตนได้ฟ้องคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตาม ม.157 ไปแล้ว ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์บอกว่าได้สอบตามที่รัฐมนตรีสั่ง ตนจึงเพิ่งฟ้อง ม.157 กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อีกรายหนึ่ง

 

“ขอทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีอีกครั้งว่า เรื่องนี้มี 2 สัญญา คือ สัญญาที่ผ่านบริษัทจีเอสเอสจี และสัญญาที่ผู้ช่วย ส.ส. ของนางระพีพรรณ พงศ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย คือ นายรัฐนิธ โสติกุล หรือนายปาล์ม เป็นผู้ทำสัญญา”

 

ถ้าหากเป็นบริษัทจีเอสเอสจี ตามหลักเกณฑ์ที่มาตรฐานสากลเข้าใจ ต้องมีการมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนมาที่บริษัทจีเอสเอสจี และการมอบอำนาจที่บริษัทจีเอสเอสจีให้แก่นายปาล์ม ขอถามว่ารัฐบาลได้เห็นหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนไปยังบริษัทจีเอสเอสจีหรือไม่ และหนังสือที่มอบอำนาจจากบริษัทจีเอสเอสจีให้นายปาล์มมีหรือไม่ ถ้ามีต้องนำมาแสดงให้เห็น

ประเด็นต่อไปที่จะต้องถามต่อ กรณีที่นายปาล์มทำธุรกรรมด้วยตัวเอง ถามว่านายปาล์มเป็นผู้แทนของประเทศใด และเห็นหนังสือมอบอำนาจที่รัฐบาลประเทศนั้นมอบอำนาจโดยตรงให้นายปาล์มหรือไม่

 

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทราบว่าท่านไปค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่ไปอ้างอิงตารางของกรมศุลกากรที่เพิ่งได้มาวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา โดยบอกว่าเป็นข้อมูลการส่งออกข้าวโดยรัฐบาลไทย ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า วิธีระบายข้าวแบบจีทูจีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เราตกลงกับผู้ซื้อว่าจะซื้อขายแบบเอ็กซ์แวร์เฮาส์ หรือซื้อขายกันที่หน้าคลังสินค้า หมายความว่าผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันตรงนั้น ผู้ซื้อจ่ายเงินให้ผู้ขายหน้าคลังสินค้า และผู้ซื้อไปจัดการดำเนินการส่งออกด้วยตัวเอง จะโดยวิธีการไหนอย่างไร ผ่านช่องทางใดเป็นเรื่องของผู้ซื้อ

 

วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์กับรัฐบาลในฐานะผู้ขาย คือ ได้เงินเร็ว ได้เงินก่อน จะได้นำเงินมาหมุนเวียนดำเนินโครงการต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นการลดภาระของรัฐบาลในการขนส่งและส่งออกด้วย เพราะยังมีเรื่องของการค้ำประกัน และความเสี่ยงต่างๆ ในการขนส่ง

 

ส่วนหนังสือรับรองทางการจีนของจีนนั้นตนได้ชี้แจงไปแล้ว ทั้งนี้ ในกรณีของบริษัทจีเอสเอสี มาถึงนายรัฐนิธนั้น เอกสารรับมอบอำนาจเหล่านี้อยู่ในรายงานของคณะกรรมการแล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีจำนวนหลายคน มีตัวตนและสถานะชัดเจน เขารับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงเหมือนตามที่ได้แถลงไป

 

นพ.วรงค์ถามต่อว่า รัฐมนตรีตอบไม่หมด นายปาล์มเป็นผู้แทนรัฐบาลใด ประชาชนฟังแล้วสับสน ฟังรัฐมนตรีต้องคิดเยอะ อย่าเพิ่งไปเชื่อทั้งหมด สิ่งที่ท่านพูดไม่ใช่จีทูจี เพราะจีทูจีคือรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่มีการประมูล เป็นราคามิตรภาพ ราคาจะถูกกว่าราคาตลาดเสียอีก แต่เท่าไหร่เราไม่ว่าเพราะถือว่าเป็นมิตรภาพระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล แต่สิ่งที่รัฐมนตรีพูดไม่ใช่จีทูจี แต่เป็น “จีทูเจี๊ยะ” หรือ “จีทูเจ๊” อันนั้นโกงทั้งแผ่นดินในรูปแบบนี้ ถ้ากระทรวงพาณิชย์ตั้งคณะกรรมการอะไรมาก็ถือว่าเป็นการหลอกคนทั้งประเทศ ตนเชื่อว่าคนพวกนี้ติดคุกแน่นอน เพราะได้ร้องต่อ ป.ป.ช. ไปแล้ว

 

“จะเอ็กซ์แวร์เฮาส์หรือเอฟโอบี แต่จีทูจีคือรัฐบาลต่อรัฐบาล เวลาข้าวที่ออกไปต้องเป็นข้าวของรัฐบาล ไม่ใช่ข้าวของเอกชนออกไป รัฐบาลตอบอะไรไม่เป็นมาตรฐาน ท่านตอบเอาตัวรอดไปเรื่อย ที่ต้องย้ำเพิ่มคือ ท่านได้มาจากกระทู้ผมหลายครั้งแต่ตอบไม่ถูก ข้อมูลไม่แน่น ซึ่งรู้ว่าท่านไม่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลชุดนี้ในโครงการรับจำนำข้าว และช่วยยืนยันให้ว่าท่านไม่ได้ทุจริตในโครงการนี้ เพราะแม้แต่ขายข้าวสักเม็ดหนึ่ง ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ปรึกษารัฐมนตรีท่านนี้แต่มีคนอื่นบงการ เขาให้กระดาษท่านมาแผ่นสองแผ่นให้ท่านมาตอบ แต่คนที่มีอำนาจเต็มคือจอมบงการ”

 

อีกประเด็นนายบุญทรงบอกได้รับแอลซีมาเรียบร้อย แต่ปรากฏว่าเป็นการซื้อเช็คเงินสดจากนายสมคิด เอื้อนสุภา ที่สั่งจ่ายให้กับรัฐบาลชุดนี้ คำถามที่ถามคือ แอลซีที่นายบุญทรงพูดอยู่ไหน เป็นเงินเท่าไหร่ เอาหลักฐานมาโชว์ได้หรือไม่ และเช็คมีหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนหรือไม่ว่านายสมคิดเป็นคนซื้อเช็คใบนี้ เพราะมีข้าราชการจากกระทรวงพาณิชย์โทรมาบอกตนว่าเห็นนายสมคิดขี่จักรยานยนต์ไปกระทรวงพาณิชย์

 

นายณัฐวุฒิชี้แจงว่า ความไว้วางใจของรัฐบาลชุดนี้ ตนได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐมนตรีช่วย และได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาตอบกระทู้นี้ เป็นเครื่องยืนยันในความไว้วางใจ ในส่วนของนายรัฐนิธได้รับมอบอำนาจจากบริษัทดังกล่าว ตนได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ส่วนหลายๆ ประเด็นที่ท่านยืนยันว่าตนชี้แจงข้อมูลไม่ถูกต้อง ท่านถามหลายหนก็ตอบไปหลายหน ท่านไม่เชื่อเป็นเรื่องของท่าน ท่านมีช่องทางในการตรวจสอบ ไปยื่น ป.ป.ช. ก็เคารพ แต่จะมาคาดคั้นให้ตนตอบตามที่ท่านต้องการ ตนทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงที่ตนมีอยู่ในมือเป็นเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีการตกลงซื้อขายแบบจีทูจีระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทจีเอสเอสจีซึ่งเป็นตัวแทนรัฐวิสาหกิจจีนนั้น เราตกลงซื้อขายและมีการชำระโอนเงินผ่านธนาคาร และชำระเงินโดยเช็คเงินสด บริษัทจีเอสเอสจี เป็นการตกลงโดยวิธีการนี้ ซึ่งแน่ใจได้ว่าเราได้เงินเร็วกว่า และสามารถลดภาระให้กับรัฐบาลได้ ข้อมูลที่ได้ชี้แจงไปเป็นข้อมูลของหน่วยงานรัฐที่ที่ตนได้ถืออยู่

 

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยพับลิก้าได้รายงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการบริหารข้อมูลข่าวสารของราชการในกรมศุลกากร มีมติให้สำนักที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลการส่งออกข้าวที่ดำเนินการโดยหน่วยงานรัฐย้อนหลังเป็นเวลา 3 ปี ตามที่สำนักข่าวไทยพับลิก้ามายื่นขอใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540

 

วันที่ 11 เมษายน 2556 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยพับลิก้าเข้าพบนายบุญธง วัฒนวรเวทย์ เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน กรมศุลกากร เพื่อไปเซ็นรับข้อมูลเอกสารดังกล่าวตามที่ร้องขอ เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจดูข้อมูลการส่งออกข้าวไปจีน พบว่ามีอยู่ 212 ตัน จึงสอบถามนายบุญธงว่าทำไมยอดส่งออกข้าวไปจีนน้อยมาก

 

นายบุญธงกล่าวว่า “เท่าที่ตนได้สอบถามเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล กรมศุลกากรจะบันทึกข้อมูลยอดการส่งออกข้าวตามใบขนสินค้า หากใบขนสินค้าระบุว่าหน่วยงานรัฐเป็นผู้ดำเนินการ ยอดการส่งออกทั้งในเชิงปริมาณและมูลค่าก็จะมาโชว์อยู่ในพิกัดที่ขึ้นต้นด้วย 1006xxxxxxx แต่ถ้าไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ข้อมูลก็จะถูกบันทึกในพิกัดอื่น”

 

เนื่องจากคำร้องขอข้อมูลข่าวสารที่สำนักข่าวไทยพับลิก้ามายื่นต่อกรมศุลกากรระบุว่า จะต้องมีการเซ็นรับรองยืนยันความถูกต้องของข้อมูล โดยนายบุญธงได้เซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง

 

และหลังจากที่ นพ.วรงค์นำประเด็นข่าวที่สำนักข่าวไทยพับลิก้านำเสนอไปตั้งกระทู้ถามนายณัฐวุฒิที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิชี้แจงว่ากรมศุลกากรบันทึกข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

 

ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามนางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมศุลกากร ว่าทำไมหน่วยงานรัฐส่งข้าวไปขายจีนปี 2555 แค่ 212 ตัน นางเบญจา ตอบสั้นๆ ว่า “ขอตรวจสอบข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ก่อน”


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#10 Norachon

Norachon

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 377 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:25

ต้องให้กำลังใจให้ ปปช.และองค์การอิสระอื่นๆ ให้พิจารณาตัดสินตามข้อเท็จจริงด้วยครับ พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมรัฐบาลถึงย้ำคิดย้ำทำ อยากยกเลิกหน่วยงานอิสระต่างๆที่คอยตรวจสอบตัวเองเหลือเกิน ถ้าไม่มีหน่วยงานเหล่านี้ ประชาชนไม่มีวันรู้เลยว่าเขารวมหัวกันฉ้อฉลโกงกินย่ำยีประเทศชาติกันอย่างไร พอเขาตัดสินว่าผิด อ้าปากมากี่ทีก็เหมือนเดิม ใช้นิสัยอันธพาลออกมากโวยวายกดดันปฏิเสธอำนาจเขา แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ให้ร้าย แต่ไม่เคยเห็นมีปัญญาแก้ข้อกล่าวหาเขาได้แม้แต่ข้อเดียว อย่าให้เขาติดสินว่าผิดบ่อยๆก็พยายามทำอะไรให้มันถูกต้องโปร่งใสกันหน่อย อย่าทำหน้ามึนไม่เกรงกลัวอะไรกันเลย มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่กลัวการตรวจสอบ คนดีเขาไม่กลัวกันหรอก



#11 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:32

http://thaipublica.o...13/05/g-to-g-4/

 

1 ทศวรรษขายข้าวจีทูจี(4) : MOU – กม. เปิดช่อง ซิกแซกนำกลับขายในประเทศ

 

การเปิดโปงตัวเลขข้อเท็จจริง กรณียอดการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” ที่มีใบขนสินค้า (B/L) ผ่านท่าเรือของกรมศุลกากร ซึ่งปรากฎว่าขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับยอดการขายข้าวจีทูจีที่นายบุญทรง เตมิยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า ตั้งแต่เดือนต.ค. 2554 ถึง มี.ค. 2556 หรือช่วงที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ขายข้าวจีทูจีไปแล้วทั้งสิ้น 6.2 ล้านตัน

 

เมื่อข้อมูลของกรมศุลกากรตามพิกัด 1006 ซึ่งเป็นหมวดส่งออกข้าวของรัฐบาลพบว่า ในปี 2554 มีเพียง 29,851 ตัน และในปี 2555 ก็มีการส่งออกจีทูจีแค่ 212 ตัน ระบุที่หมายปลายทางคือประเทศจีน ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขในหนังสือ “รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว” ที่จัดทำโดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งระบุว่ากระทรวงพาณิชย์ ได้ทำสัญญาขายข้าวแบบจีทูจีไปแล้ว 7,320,000 ล้านตัน กับประเทศอินโดนีเซีย จีน และโกตดิวัวร์ “โดยในเดือน ม.ค.-กย. 2555 ส่งมอบข้าวจีทูจีไปแล้ว 1,460,000 ล้านตัน”

 

นอกจากนี้ ข้อมูลยังไม่ตรงกับที่กระทรวงพาณิชย์อ้างว่า ได้ทำสัญญาขายข้าวให้รัฐบาลจีนอย่างน้อย 5 ล้านกิโลกรัม หรือ 5 พันตัน โดยมีตัวแทนบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP รับผิดชอบ ซึ่งต่อมาก็มีการมอบให้ นายรัฐนิธ โสจิระกุล ผู้ช่วย ส.ส. ลำดับที่ 3 ของนางรพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ดำเนินการแทนอีกทอดหนึ่ง

 

เป็นการตอบข้อสงสัยที่ว่า ข้าวลอตดังกล่าวไม่ได้มีการส่งออกแบบจีทูจีจริง แต่นำไปขายให้โรงสีในประเทศหรือเวียนเทียนเข้าโครงการจำนำข้าวอีกรอบหรือไม่??

 

%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%

 

จากข้อมูลที่กรมศุลกากร “สำแดง” ใบขนสินค้าออกมาล่าสุด ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ สะท้อนว่าข้าวในโกดังรัฐบาลไม่ได้ไปไหนไกล แท้จริงแล้วอยู่ใน “มือที่มองไม่เห็น” ที่เล่นแร่แปรธาตุกับสัญญาจีทูจีอีกกว่า 6 ล้านตัน ซึ่งอาจเป็นการส่งออกลมทั้งหมด

 

ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้น แต่ถ้าย้อนกลับไปในสมัยช่วงที่นางพรทิวา นาคาศัย เป็น รมว.พาณิชย์ ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาจมีการกระทำในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากตามข้อมูลของกรมศุลกากรพบว่า ข้าวจีทูจีที่มีใบขนส่งสินค้าในช่วงปี 2553 นั้น มีเพียง 9,790 ตัน แต่กระทรวงพาณิชย์ระบายข้าวในสต็อคของรัฐบาลขณะนั้นไปถึง 4 ล้านตัน ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553 เพียงแต่ข้อมูลยังไม่ชัดเจน เพราะไม่มีการแยกให้เห็นกระจ่างว่าเป็นการระบายสต็อคเพื่อขายในประเทศเท่าไหร่และขายแบบจีทูจีเท่าไหร่

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ตัวเลขจากกรมศุลกากรถือเป็นตัวเลขที่ชัดเจนที่สุด เพราะต้องผ่านพิธีการศุลการกร มีใบ B/L ประกอบ แสดงว่าของออกจากท่าเรือจริง โดยสาเหตุที่ยอดส่งออกจีทูจีต่ำกว่าที่แจ้งไว้นั้น เนื่องจากเงื่อนไขในการขออนุญาตส่งออกจากกรมการค้าต่างประเทศระบุไว้หลวมๆ เพียงว่า ข้าวเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตส่งออก โดยให้สำนักงานมาตรฐานหรือคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหรือบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ที่ได้รับอนุญาต เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพ

 

เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ส่งออกจะได้รับใบรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้อง จากนั้นจะนำข้าวขึ้นเรือขนส่งสินค้าจริงหรือไม่ ไม่ได้มีการระบุไว้ในกฎหมาย เพราะไม่จำเป็นที่ตัวเลขของกรมการค้าต่างประเทศกับกรมศุลกากรจะต้องตรงกันทุกกระเบียดน้ิว จึงมีความเป็นไปได้ว่า ผู้ส่งออกมาขอใบอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศแล้ว แต่ส่งออกไม่จริง เอาไปขายเวียนเทียนในประเทศเหมือนกรณีที่เพรซิเด้นท์อะกริหรือสยามอินดิก้าเคยถูกเปิดโปงเอาไว้

 

หลายปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์เคยมีการแยกสัญญาให้เห็นชัดเจนว่า ลอตใดเป็นการส่งออกโดยเอกชน และลอตใดส่งออกตามสัญญาจีทูจี เนื่องจากมีการเปิดประมูลอย่างเปิดเผย โปร่งใส แต่ปัจจุบันไม่มีการประมูล แล้วอ้างความลับของสัญญา หรืออ้างว่ากลัวกระทบต่อราคาข้าวในประเทศ จึงมีการปิดมิดชิดทั้งเรื่องของชนิดข้าว ประเทศปลายทาง และกำหนดระยะเวลาส่งมอบ

 

รวมทั้งมีการปรับรูปแบบของสัญญาว่า ประเทศผู้ซื้อเป็นผู้เลือกบริษัทส่งออกที่จะส่งมอบข้าวได้เอง หรือไม่ก็ทำสัญญาโดยอ้างว่าสั่งซื้อไปช่วยเหลือประเทศที่ 3 ไม่ได้ส่งไปจีนโดยตรง ทำให้ตัวเลขปลายทางไปจีนน้อย ป้องกันไม่ให้เช็ครายชื่อผู้ส่งออกไปจีนได้ หรือบางครั้งอ้างว่า เป็นเอ็มโอยูที่สามารถเลื่อนวันรับมอบได้ แต่ต่อรองราคาใหม่ไม่ได้ ทำให้ต้องขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

 

จุดรั่วไหลชัดเจนกรณีนี้คือ รัฐบาลไม่สามารถตอบแบบเสียงดังฟังชัดว่า ข้าวดังกล่าวถูกส่งไปต่างประเทศจริงหรือไม่ อาจจะมีการแจ้งขออนุญาตส่งออกจีทูจีแทนรัฐบาลบางประเทศ แล้วให้สำนักงานมาตรฐานหรือเซอร์เวย์เยอร์ ไปตรวจสอบในคลังสินค้าหรือในเรือ เพื่อสร้างหลักฐานการส่งออกเท็จ แต่จริงๆ ข้าวก็ยังอยู่ในคลังของผู้ส่งออก หรือถูกนำไปขายให้กับผู้ส่งออกรายอื่นหมดแล้ว

 

“ในกรณีที่มีการนำข้าวจีทูจีกลับมาเวียนเทียนข้าวขายในประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะใช้เทคนิคเลือกขายข้าวคุณภาพดีก่อน เหมือนที่เคยปรากฎเป็นข่าว สุดท้ายก็จะเหลือข้าวเก่า ข้าวเน่าไว้ กลายเป็นภาระค่าเก็บฝากของรัฐบาล เมื่อระบายไม่ออก ปิดบัญชีไม่ได้ ก็ต้องขายเป็นข้าวเน่าขาดทุนมากกว่าเดิม” แหล่งข่าวระบุ

 

สิ่งที่การันตีข้อสังเกตดังกล่าวคือ ราคาข้าวในตลาดทั่วไปไม่ขยับขึ้นเลย แม้จะมีการ “รับจำนำทุกเม็ด” โดยขณะนี้ราคาข้าวสารขาว 5% เพิ่งได้เท่ากับราคาข้าวเปลือกเจ้า ในโครงการรับจำนำที่ 15,000 บาท ทั้งๆ ที่ราคาต้นทุนคิดเป็นข้าวสารต้องอยู่ที่ตันละ 24,000 บาท สะท้อนว่าภายในประเทศไม่เคยขาดแคลนข้าวจริง พ่อค้าบางรายอ้างว่า สามารถซื้อขายข้าวในโกดังรัฐอยู่ที่ตันละ 14,200-14,300 บาทเท่านั้น เพียงแต่ต้องจ่ายเป็นเงินสด และซื้อยกกอง

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า การระบายข้าวในสต็อคของรัฐบาลช่วงหลัง ยังมีคำสั่งให้ “จำกัด” จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการประชุมเพื่อระบายข้าวหรือขายข้าว ข้อมูลทั้งหมดก็จะถูกเก็บเป็นความลับ กันไม่ให้รั่วไหลออกไปถึงฝ่ายตรงข้าม สร้างความอึดอัดใจให้แก่ข้าราชการโดยเฉพาะกรมการค้าต่างประเทศที่รับผิดชอบกับสัญญาการขายข้าวโดยตรง

 

“การประชุมจะเรียกแต่ผู้บริหารหรือข้าราชการไม่กี่คนเข้าร่วมเป็นวงเล็กๆ แม้แต่ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับสัญญาการขายข้าวของหน่วยงานรัฐบางคนก็ยังถูกกันออกไปห่างๆ โดยเฉพาะข้าราชการที่เคยทำงานร่วมกับฝ่ายตรงข้าม ยิ่งถูกกีดกันออกจากข้อมูลทั้งหมด” แหล่งข่าวระบุ

 

ขณะที่ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่า การขายข้าวแบบจีทูจีของภาครัฐจะมีการส่งออกจริงหรือไม่ เพราะเมื่อการตรวจสอบตัวเลขจากกรมศุลกากรแล้ว ไม่ปรากฎตัวเลขส่งออกที่ชัดเจน หรือต่ำกว่าปริมาณที่รัฐบาลแจ้งไว้ อาจมีการส่งออกก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือขายในประเทศ


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#12 MIRO

MIRO

    Praise the Sun

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,883 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 12:48

ให้ชาวนาเถอะค่ะ.. :(


The most valuable things in life are not measured in monetary terms.

The really important things are not houses and lands, stocks and bonds, automobiles and real estate,

but friendships, trust, confidence, empathy, mercy, love and faith.


#13 เกลียดคุณแม้วจังครับ

เกลียดคุณแม้วจังครับ

    สมาชิกขั้นสูง

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,190 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 13:53

อันที่จริงต้องบอกว่านี่เป็นข่าวใหญ่มากเลยนะครับ เพราะคนรับผิดชอบเรื่องนี้ตอนนี้ยอมมาให้ปากคำ ปปช แล้วด้วย

 

ผมทำนายว่ารัฐบาลจะด้านได้ไม่ถึงสงกรานต์ครับ มีใครเกทับไหม  :D

เดี๋ยวหนหน้า เลือกตั้งใหม่ จำนำข้าว 20000  ค่าแรง 500 

ทุยแดงทั้งหลาย ก็ยังเลือกเหมือนเดิม

ไม่รู้ว่ามันจะเอาเงินพ่อแม้วมาจ่ายหรือเปล่า



#14 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:16

http://thaipublica.o...13/05/g-to-g-5/

 

1ทศวรรษข้าวจีทูจี (5): เปิดโควตารัฐบาลจีน จับโกหกกระทรวงพาณิชย์

 

หลังกระทรวงพาณิชย์ถูก “เปิดโปง” ความไม่ชอบมาพากลในการขายข้าวในสต็อคให้กับบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนมาซื้อข้าวแบบจีทูจี แต่สุดท้ายมีการมอบอำนาจให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอีกทอดหนึ่ง มาจนถึงขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ก็ยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานชัดๆ ของสัญญาข้าวจีทูจีลอตนี้ ว่ามีรายละเอียดข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หรือแท้จริงแล้วมีการทำสัญญากับจีนหรือไม่??

 

วงในธุรกิจค้าข้าวทราบดีว่า หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยขายข้าวแบบจีทูจีให้แก่รัฐบาลจีนน้อยมาก โดยเฉพาะระยะ 10 ปีหลัง แทบจะไม่มีข้าวจีทูจีเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากรัฐบาลจีนค่อนข้างระมัดระวังในการเปิดตลาดสินค้าอ่อนไหว โดยเฉพาะสินค้าข้าวที่จีนต้องปกป้องชาวนาของตัวเอง หากไม่จำเป็นจีนจะไม่นำเข้าข้าวจากต่างประเทศ มีเพียงการเปิดตลาดตามพันธกรณีขององค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ที่จีนผูกพันในช่วงที่เข้าเป็นสมาชิก ว่าจะเปิดตลาดข้าวไม่เกินปีละ 5.32 ล้านตัน โดยเก็บภาษีในอัตรา 1% แต่ถ้ามีการนำเข้ามากกว่านี้จะเสียภาษีสูงถึง 64%

 

ยิ่งเมื่อดูข้อมูลลึกลงไปอีกจะพบว่า โควตานำเข้าข้าวของจีนจำนวน 5.32 ล้านตันดังกล่าว ได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือ รัฐบาลนำเข้าเอง 50% หรือประมาณ 2.66 ล้านตัน ส่วนที่เหลืออีก 2.66 ล้านตันปล่อยให้เอกชนเป็นผู้นำเข้า และในจำนวนนี้ยังถูกจำแนกเป็นการนำเข้าข้าวเมล็ดสั้นครึ่งหนึ่ง และข้าวเมล็ดยาวอีกครึ่งหนึ่ง และในทางปฏิบัติ จีนไม่เคยนำเข้าเต็มปริมาณโควตาแม้แต่ปีเดียว

 

เมื่อค้นสถิติการนำเข้าของจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า รัฐบาลจีนนำเข้าข้าวปีละไม่ถึง 1 ล้านตัน เช่น ในปี 2552 จีนนำเข้าเพียง 3.4 แสนตัน ในปี 2553 นำเข้า 3.7 แสนตัน ในปี 2554 นำเข้า 5.8 แสนตัน ยกเว้นปี 2555 ที่นำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านตัน แต่ข้าวส่วนใหญ่ที่รัฐบาลจีนซื้อไปเป็นข้าวหอมมะลิมาจากเวียดนามและกัมพูชาถึง 80% เนื่องจากมีราคาถูกกว่าข้าวหอมมะลิจากประเทศไทย ซึ่งมีโครงการรับจำนำข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท ทำให้ไทยโค้ดราคาส่งออกอยู่ที่ 1,200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน แพงกว่าคู่แข่งมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

 

ตามข้อมูลใบขนส่งสินค้าที่บันทึกไว้กับกรมศุลกากร ระบุว่า ยอดการส่งออกข้าวจีทูจีของไทยไปประเทศจีนในปี 2555 มีเพียง 212 ตัน ถือเป็นเครื่องตอกย้ำว่า รัฐบาลจีนแทบจะไม่มีการนำเข้าแบบจีทูจีกับไทย ตรงข้ามกับข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ที่พยายามอ้างว่า ได้จัดทำสัญญาขายข้าวแบบจีทูจีกับประเทศจีน อินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ไปแล้วถึง 7,320,000 ล้านตัน โดยมีการส่งมอบไปแล้ว 1,460,000 ล้านตัน

 

เพราะในข้อเท็จจริงก็คือ เมื่อคำนวณตัวเลข จากสัญญาส่งมอบข้าวให้อินโดนีเซียในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่ามีไม่เกิน 3 แสนตัน และสัญญาขายให้รัฐบาลโกตดิวัวร์ก็มีไม่เกิน 1 แสนตันเท่านั้น ดังนั้น เมื่อหักกลบดูตัวเลขทั้งหมดแล้ว จะเหลือข้าวจีทูจีที่ขายให้กับรัฐบาลจีน 1,600,000 ตัน แต่คำถามก็คือ เหตุใดจึงไม่ปรากฎตัวเลขเดียวกันในใบขนส่งสินค้าที่กรมศุลกากร และยังขัดแย้งกับข้อมูลการนำเข้าข้าวของจีนเองที่ระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากกัมพูชาและเวียดนาม มีการนำเข้าจากไทยเพียง 10% ด้วยซ้ำ

 

ข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์จีนhttp://english.mofcom.gov.cn ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 โดยนาย Shen Danyang โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลงต่อสื่อมวลชนถึงตัวเลขการนำเข้าข้าวของจีนว่า ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการของ “ภาคธุรกิจ” ไม่ใช่รัฐบาล เพราะภาคธุรกิจเห็นว่าราคาข้าวในตลาดโลกลดลง และเป็นไปตามความต้องการของตลาดภายในประเทศที่สูงขึ้น นอกจากนั้น นาย Shen Danyang ยังยืนยันว่า จะดูแลไม่ให้การนำเข้าข้าวตามกรอบดับบลิวทีโอเกิน 50% ของโควตาที่ผูกพันไว้แน่นอน สะท้อนถึงเงื่อนไขการนำเข้าข้าวของจีนที่เข้มงวด

 

อีกทั้งการนำเข้าข้าวจีทูจี จะจัดซื้อผ่าน “คอปโก้” ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ของจีน แต่เดิมจะเรียกชื่อว่า “ซีลอยฟู้ด” ในกระทรวงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ลักษณะคล้ายองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่เป็นหน่วยงานดำเนินการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ขาดแคลนในประเทศ หรือรับซื้อผลผลิตเวลาที่ราคาตกต่ำ ดังนั้น หากรัฐบาลอ้างว่ามีสัญญาข้าวจีทูจีจริง ก็ควรมีเอกสารจากคอปโก้มายืนยันด้วย

 

เช่นเดียวกัน อย่างกรณีของสัญญาข้าวจีทูจีกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ประเทศไทยก็จะเซ็นกับหน่วยงานที่เรียกว่า “เอ็นเอฟเอ”โดยเอ็นเอฟเอจะเป็นผู้เปิดประมูล เชิญชวนประเทศต่างๆ มาแข่งกันเสนอราคา ใครให้ราคาต่ำที่สุดก็จะได้ออเดอร์จีทูจีลอตนั้นไป หรือของอินโดนีเซียที่รู้จักกันในชื่อ “บูลอค” และอิหร่านก็เคยทำสัญญาจีทูจีกับไทยในอดีต โดยอาศัยบรรษัทรัฐวิสาหกิจเป็นผู้จัดซื้อ โดยมีคู่สัญญาก็คือกรมการค้าต่างประเทศของไทย เป็นต้น

 

“การทำสัญญาจีทูจีจะต้องนำเข้าโดยรัฐบาลเท่านั้น แต่ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ไม่เคยแสดงเอกสารฉบับนี้ให้สังคมรับรู้รับทราบ จึงมั่นใจว่าในปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนไม่เคยทำสัญญาซื้อข้าวจีทูจีลอตใหญ่จากไทย”

 

 

เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีความพยายามบีบบังคับให้จีนเซ็นบันทึกความเข้าใจหรือ“เอ็มโอยู” เรื่องการซื้อข้าว 5 ล้านตัน จากประเทศไทย หลังจากโดนตรวจสอบได้ว่าอาจมีการนำข้าวออกจาก “โกดังรับจำนำ” ในราคาถูก แล้วอ้างว่าทำสัญญาขายข้าวจีทูจีเพื่อให้บริษัท สยามอินดิก้า นำไปขายต่อหรือเวียนเทียนเข้าโครงการจำนำ แต่ปรากฎว่ารัฐบาลจีน “ไม่เล่นด้วย” ขอให้มีการเขียนเอ็มโอยูใหม่ว่า เป็นบันทึกความร่วมมือการค้าข้าวทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ไม่มีคำว่าจีทูจี และตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ไทยต้องการให้ระบุในเอ็มโอยูถึง 5 ล้านตัน ถูกตัดออกเพราะเกินกว่าโควตาที่จีนเปิดให้นำเข้าจากทุกประเทศ

 

ดังนั้น เอ็มโอยูที่นายกรัฐมนตรี เหวิน เจียเป่า ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน พ.ย. 2555 เป็นสักขีพยานในการลงนาม ในข้อ 3 จะระบุไว้กว้างๆ ว่า ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและบริษัททุกรูปแบบในการสนับสนุนการค้าข้าวให้เพิ่มมากขึ้น “เท่าที่จะเป็นไปได้” บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์การตลาด ตรงนี้ถือเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าจีทูจีและเปิดทางให้มีการซื้อขายกันในภาคธุรกิจมากกว่าการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลจีนทันเกม และถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องการนำเข้าข้าวจากไทยไปทำลายตลาดที่อ่อนไหวในประเทศ

 

“สิ่งที่รัฐบาลไทยบอกว่าจีนจะนำเข้าข้าวแบบจีทูจี 5 ล้านตัน จึงไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะจีนใช้ระบบโควตาภาษีของดับบลิวทีโอเป็นเครื่่องมือปกป้องเกษตรกรไม่ให้กระทบกระเทือนจากสินค้าที่มาจากต่างประเทศ เป็นโควตาข้าวที่ค่อนข้างเข้มงวด พยายามนำเข้าให้น้อยที่สุด ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่ต้องการนำเข้า จีนก็จะอ้างว่ามอบให้เอกชนเป็นผู้นำเข้าหลัก และจะไม่เปิดให้นำเข้าจนเต็มโควตา” แหล่งข่าวระบุ

 

 

ขณะนี้ ปัญหาการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการข้าวจีทูจีกับจีนกำลังถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ว่า มีการซิกแซกขั้นตอนการขายข้าวและมีการทำสัญญาจีทูจีแบบ “กำมะลอ” เพื่อขายให้แก่เอกชนหรือไม่ ใครเป็นผู้บงการ และสุดท้าย เงินก้อนใหญ่นี้เข้ากระเป๋าใคร?


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#15 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:18

ไต่สวนอีก 5 กลุ่ม ผมต้องรออีกกี่ปีคร๊าบบบ

 

:( 



#16 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:25

http://thaipublica.o...13/05/g-to-g-6/

 

1 ทศวรรษข้าวจีทูจี (6): ป.ป.ช. ยัน เอกสารจีนไม่รับรองหลักฐานบริษัท GSSG

 

ความไม่ชอบมาพากลในการส่งออกข้าวจีทูจีของกระทรวงพาณิชย์ในโครงการรับจำนำข้าว อยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึก โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณี บริษัท GSSG IMP AND EXP CORP ที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงพาณิชย์ อ้างว่าเป็นผู้รับมอบข้าวรายใหญ่จากประเทศจีน แต่ภายหลังถูกเปิดโปงว่าเป็นบริษัทที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น เพราะจริงๆ แล้วมีการส่งต่อข้าวลอตใหญ่ให้บริษัทสยามอินดิก้าของไทย ที่มี “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร นักธุรกิจผู้เคยมีคดีฟ้องร้องเรื่องข้าวสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ

 

ล่าสุด คณะทำงานตรวจสอบคดีทุจริตจำนำข้าวของ ป.ป.ช. มีการเรียกเอกสารดำเนินการทั้งหมดในโครงการนี้จากทางกระทรวงพาณิชย์ตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง เริ่มจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ธ.ค. 2555 โดย นพ.วรงค์ได้นำหลักฐานเส้นทางทางการเงินที่ขุดคุ้ยพบว่าการเงินที่ชำระค่าข้าวหลายพันล้านบาทนั้นไม่ได้มาจากรัฐบาลจีนหรือบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีน แต่เป็นเงินของบริษัทสยามอินดิก้าทั้งสิ้น มีการโอนไปมาหลายทอดผ่านธนาคารพาณิชย์ในประเทศหลายสาขา รวมถึงพบเงินอีกส่วนหนึ่งถูกโยกไปยังบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการฟอกเงินด้วย

 

นอกจากนั้น ทางคณะทำงาน ป.ป.ช. ยังมีการตรวจสอบข้อสังสัยกรณี บริษัท GSSG IMP AND EXP CORP เป็นบริษัทของรัฐบาลจีนจริงหรือไม่ โดยมีการเรียกเอกสารใบรับรองการจดทะเบียนบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP มาจากกรมการค้าต่างประเทศ พร้อมกันนั้น ทาง ป.ป.ช. ได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญทางด้านประเทศจีนมาร่วมยืนยันความถูกต้องของเอกสาร ซึ่งจากการตรวจสอบปรากฎว่าเอกสารของบริษัทดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าบริษัท GSSG ทำธุรกิจขายข้าว แต่ขายอุปกรณ์เครื่องกีฬาและพลาสติก รวมทั้งไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนของรายชื่อผู้ถือหุ้น และไม่มีการเซ็นรับรองความถูกต้องของเอกสารตามกฎหมาย

 

“ในเอกสารมีเพียงการประทับตราคำว่าบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง แต่ถือเป็นการประทับตราของทางบริษัท GSSG เอง ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะปกติแล้วเอกสารราชการลักษณะนี้จะต้องมีการยืนยันความถูกต้องและมีตราประทับจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย คือสถานทูตจีนในประเทศไทยและสถานทูตไทยในประเทศจีน จึงถือเป็นเอกสารที่สามารถนำมาอ้างอิงประกอบการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช.ได้” แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. ระบุ

 

 

ขณะเดียวกัน ในเอกสารที่กระทรวงพาณิชย์มอบให้ ป.ป.ช. ยังไม่มีการรับรองที่ชัดเจนว่า บริษัทดังกล่าวเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนในการทำสัญญาซื้อข้าวจีทูจีกับไทยจริงๆ เพราะตามหลักปฏิบัติสากลของรัฐบาลจีนจะมีระเบียบกำหนดไว้ว่า กรณีทำสัญญาซื้อขายธัญพืช รัฐบาลจะมอบให้ทาง “คอปโก้” ซึ่งเป็นหน่วยงานคล้ายกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้ดำเนินการ หรืออย่างสินค้ายางพารา จีนจะมอบให้บริษัทที่ให้ทำในนามรัฐบาลจีน คือ “ชิโนเคม” แต่ถ้าเป็นเรื่องการซื้อธัญพืชภายในประเทศ ก็จะให้ “เหลียงอิ๋ว” หน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์จีน เป็นผู้กำหนดราคาสูงสุดในการรับซื้อจากเกษตรกร ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัท GSSG ดังกล่าว ไม่ใช่ของรัฐบาล เพราะถ้าเป็นของรัฐบาลจริงก็จะระบุอำนาจในการดำเนินการแทนไว้ด้วย

 

ก่อนหน้านั้น เคยมีสัญญาณมาจากทางรัฐบาลจีนว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวนี้ โดยเฉพาะนายก่วน มู่ เอกอัครทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของบริษัท GSSG กับทางรัฐบาลจีน รวมถึงระบุว่าจริงๆ แล้วการซื้อขายข้าวจีทูจีกับรัฐบาลไทย มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ลอตใหญ่ถึง 5 ล้านตัน อย่างที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ นายเวิน เจียเป่า อดีตนายกรัฐมนตรีของจีน เดินทางมาเยือนไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 ก็ไม่ต้องการเซ็นสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีตามที่ไทยต้องการ และยังมีการแก้ไขถ้อยคำที่เป็นข้อผูกมัดของไทย โดยปฏิเสธที่จะระบุปริมาณข้าวตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า เอกสารการจดทะเบียนของ GSSG เกิดจากการประสานงานของเจ้าหน้าที่ทางด้านการพาณิชย์ของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ตามคำร้องขอของนางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการระบายข้าวรัฐบาลต่อรัฐบาล เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2555 เนื่องจากนายบุญทรงถูกโจมตีอย่างหนักถึงปัญหาการส่งมอบข้าวจีทูจีลอตดังกล่าวและโครงการจำนำข้าวที่ขาดทุนมหาศาล หลังจากนั้น นางวัชรีพร้อมทั้งนายบุญทรงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท GSSG เป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยรัฐวิสาหกิจจีนจริง

 

ต่อมาได้มีการชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งที่สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่่ 18 เม.ย. 2556 โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลุกขึ้นตอบกระทู้ถามของ นพ.วรงค์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ระบุชัดเจนว่า ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศจีน แจ้งมายังกรมการค้าต่างประเทศ ยืนยันว่าบริษัท GSSG เป็นหน่วยงานของรัฐบาลจีน และทางคณะกรรมการควบคุมบริหารและทรัพย์สินแห่งรัฐบาลประชาชนมณฑลกวางตุ้ง ก็แจ้งว่าบริษัทดังกล่าวเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง หลังจากนั้นจึงมีการขายข้าวแบบจีทูจีลอตดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการขอเอกสารจากทางกระทรวงพาณิชย์ คือสัญญาการซื้อขายข้าวจีทูจีกับทางรัฐบาลจีน เนื่องจากที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ไม่เคยมีการเปิดเผยข้อตกลงนี้ อ้างว่าสัญญาเป็นความลับมาโดยตลอด ขณะที่คนในแวดวงการค้าข้าววิจารณ์ว่า กระทรวงพาณิชย์อาจจะไม่มีสัญญาการซื้อขายแบบจีทูจีจริงๆ เพราะสัญญาข้าวจีทูจีของจีนจะดำเนินการโดยรัฐเท่านั้น เรื่องนี้ควรนำมาเปิดเผยสังคมอย่างโปร่งใส ไม่ใช่รู้เห็นกันอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่คนที่มีหน้าที่ในการระบายข้าวจากสต็อก

 

นพ.วรงค์กล่าวว่า ตามปกติแล้วสัญญาข้าวจีทูจีคือการซื้อขายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่รัฐบาลไทยกับรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทของจีน อีกทั้งเงินที่นำมาชำระค่าข้าวก็ต้องเป็นเงินของรัฐบาลจีนเท่านั้น และต้องมีการทำใบยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือ L/C ระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ปล่อยให้บริษัทเอกชนรายใดมาชำระค่าข้าวแทนรัฐบาลก็ได้ ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

นอกจากนั้น หากบริษัท GSSG มาซื้อข้าวหน้าโกดัง หรือ EX-Warehouse ของกระทรวงพาณิชย์ ก็อาจไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจค้าข้าวโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย เว้นแต่บริษัทดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นจากกฎหมายเฉพาะหรือได้รับการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เท่านั้น แต่เท่าที่ทราบคือบริษัท GSSG ไม่ได้มีถิ่นฐานหรือจดทะเบียนในประเทศไทย จึงไม่สามารถขอใบอนุญาตทำธุรกิจค้าข้าวจากคณะกรรมการฯ ตาม พ.ร.บ. ได้

 

นพ.วรงค์กล่าวอีกว่า การดำเนินการของบริษัท GSSG ยังอาจผิดตาม พ.ร.บ.การค้าข้าว พ.ศ. 2489 ที่กำหนดให้ผู้ซื้อขายข้าวต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ โดยครอบคลุม 4 ประเภท คือ ผู้ค้าข้าวเพื่อการส่งออก ผู้ทำธุรกิจโรงสี ธุรกิจท่าข้าว และผู้ค้าส่ง ดังนั้น การที่บริษัท GSSG ไปซื้อข้าวหน้าคลังหรือค้าส่งให้บริษัทสยามอินดิก้ามารับช่วงต่อในประเทศ ก็ต้องมีใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.การค้าข้าวด้วย จึงเชื่อว่า GSSG อาจมีความผิดเพิ่มเติมรวมอีก 2 ประเด็นด้วย

 

“ที่ผ่านมาเราไม่เคยพบสัญญาจีทูจีของกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องนี้เลย และการระบายข้าวยังถือเป็นการระบายที่ไม่ปกติ มีความไม่โปร่งใสอย่างมาก คงต้องให้ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ ส่วนทางพรรคประชาธิปัตย์เองได้นำเอกสารเข้าชี้แจงไปครบถ้วนแล้ว และจะมีการอภิปรายเรื่องนี้อีกครั้งในสภาผู้แทนราษฎร” นพ.วรงค์ระบุ


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#17 Novice

Novice

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,353 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:26

 

อันที่จริงต้องบอกว่านี่เป็นข่าวใหญ่มากเลยนะครับ เพราะคนรับผิดชอบเรื่องนี้ตอนนี้ยอมมาให้ปากคำ ปปช แล้วด้วย

 

ผมทำนายว่ารัฐบาลจะด้านได้ไม่ถึงสงกรานต์ครับ มีใครเกทับไหม  :D

เดี๋ยวหนหน้า เลือกตั้งใหม่ จำนำข้าว 20000  ค่าแรง 500 

ทุยแดงทั้งหลาย ก็ยังเลือกเหมือนเดิม

ไม่รู้ว่ามันจะเอาเงินพ่อแม้วมาจ่ายหรือเปล่า

 

 

ฮู้ย ผมไม่หวังว่ามันจะพลิกขั้วกันง่าย ๆ หรอกครับ ผมเอาอย่างที่ทุกคนว่าครับ ให้มันอยู่ 8 ปีไปเลย แต่ให้ รมต. รัฐบาลมันติดคุกทีละคนสองคน เพราะเวลาเห็นคนมันนั่งรอให้ตัวเองโดนเชือดโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ เพราะโดนมวลชนต่อต้าน ผมจะมีความสุขมาก แบบนี้ซาดิสต์เกินไปไหมครับ 


Edited by Novice, 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:26.


#18 HiddenMan

HiddenMan

    Long Live The King

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,023 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:28

http://thaipublica.o...13/12/g-to-g-7/

 

1 ทศวรรษข้าวจีทูจี (7) : ป.ป.ช.สาวปมขายข้าวให้จีน พบเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลอื่นร่วมกระทำผิด

 

%E0%B8%9B.%E0%B8%9B.%E0%B8%8A.%E0%B8%88%

 

ตามที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้นำเสนอซีรี่ส์ข่าว 1ทศวรรษ ขายข้าวจีทูจี เนื่องจากมีความไม่ชอบมาพากลในการส่งออกข้าวจีทูจีของกระทรวงพาณิชย์ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึก โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 

วันนี้(3 พฤศจิกายน 2556)คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวนั้น

 

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า การเจรจาที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G ระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 2 หน่วยงานนั้น พยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และพบด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิดในโครงการดังกล่าว ซึ่งยังมิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหามาแต่เดิม

 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงลงมติให้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลดังต่อไปนี้ ได้แก่

 

1. ผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ

 

2. นายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว

 

3. ผู้แทนเจรจาฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีน แบ่งตามหน่วยงาน คือ Guangdong stationery & sporting goods imp. & exp. Corp. และ Hainan grain & oil industrial trading company และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสอง

 

4. กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน ได้แก่ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด

 

5. บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนเกี่ยวกับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง พบว่าเงินที่ชำระค่าซื้อขายข้าวกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ประกอบกับบริษัทนี้เคยเป็นนายจ้างในอดีตของนายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนยังตรวจพบว่า การกำหนดให้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ทำให้เกิดความเสียหายจากการขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ถึงมิถุนายน 2556 มีปริมาณส่งมอบข้าวไปยังจีนทุกรายเพียง 375,000 ตันเศษ จากปริมาณที่ต้องส่งมอบตามสัญญา จำนวน 4,800,000 ตัน ซึ่งกรมศุลกากรได้ยืนยันว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวไม่มีข้าวส่งออกโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด

 

ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการจะได้เร่งดำเนินการไต่สวน เพื่อพิจารณาว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหรือไม่ และจะได้พิจารณาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว


“Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever.”  - Mahatma Gandhi

 

สนใจบ้านพักคนชราเสรีไทย (FB Secret Group) ติดต่อ (PM) เว็บบอร์ด

https://www.facebook...denman.serithai


#19 DarkSwan

DarkSwan

    Reporter Activated

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,689 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:29

ประมาณชาติหน้าตอนเย็นๆ จะสอบเสร็จมั้ยครับ?

-_-


ถ้าอยากได้ความเท่าเทียม

ก็ปีนป่ายขึ้นไปให้อยู่เทียบเท่ากับคนอื่นเค้า

อย่าได้กระชากฉุดให้คนอื่นเขาลงมาตกต่ำเท่ากับตน


#20 เสือน้อย

เสือน้อย

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,990 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:42

ขอให้กำลังใจ ปปช. ครับ

ยิ่งตอนนี้ประเทศไทยถูกลดอันดับความโปร่งใสเข้าไปอีก


-- อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน -- http://www.Arunsawat.com

#21 แมวนอนหวด

แมวนอนหวด

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 255 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 16:39

เอาเรื่ิองนี้ใว้ก่อนได้ไหมครับท่านปปช. ในเมื่อต้องตรวจสอบอีกเยอะดังว่า

 

ท่านเอาเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยแล้วมาทำก่อนได้ไหม

 

เรื่องนี้ไม่ต้องมาตรวจสอบอีก เพราะศาลท่านตัดสินแล้ว มีผลผูกพันกับองกรของท่านทันทีแล้ว

 

ท่านไม่ต้องสอบอีก เพราะถ้าท่านสอบแล้วบอกไม่ผิด ท่านจะเป็นองกรนอกกฎหมายทันที เพราะไม่รับอำนาจศาล

 

ท่านแค่ รับมา ชี้มูล สั่งให้ยุติการทำงาน ส่งศาลทันที แค่นั้น

 

ทำได้ไหม!  ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาบอกประชาชนเลย ว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ต้องรอคิวก่อนไหม

 

ชาวบ้านจะได้เลิกตั้งความหวังกับพวกท่าน

 

และถ้าสามารถปฏิรูปประเทศได้  จะได้ปฏิรูปพวกท่านด้วยเสียเลย


:lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:


#22 55555

55555

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 13,795 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 17:00

เวลานี้ประชาชนเต็มท้องถนน

 

ปปช. จะรีบทำอะไรก็รีบทำซะ

 

:D



#23 Solid Snake

Solid Snake

    แดงกำมะลอ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,892 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 17:43

เอาเรื่ิองนี้ใว้ก่อนได้ไหมครับท่านปปช. ในเมื่อต้องตรวจสอบอีกเยอะดังว่า

 

ท่านเอาเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยแล้วมาทำก่อนได้ไหม

 

เรื่องนี้ไม่ต้องมาตรวจสอบอีก เพราะศาลท่านตัดสินแล้ว มีผลผูกพันกับองกรของท่านทันทีแล้ว

 

ท่านไม่ต้องสอบอีก เพราะถ้าท่านสอบแล้วบอกไม่ผิด ท่านจะเป็นองกรนอกกฎหมายทันที เพราะไม่รับอำนาจศาล

 

ท่านแค่ รับมา ชี้มูล สั่งให้ยุติการทำงาน ส่งศาลทันที แค่นั้น

 

ทำได้ไหม!  ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาบอกประชาชนเลย ว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ต้องรอคิวก่อนไหม

 

ชาวบ้านจะได้เลิกตั้งความหวังกับพวกท่าน

 

และถ้าสามารถปฏิรูปประเทศได้  จะได้ปฏิรูปพวกท่านด้วยเสียเลย

ไม่รอท่านปูยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้พวก 312 คน สมัครลงเลือกตั้ง พอปิดรับสมัคร ก็ชี้มูลส่งฟ้อง



#24 cabala

cabala

    ประชาธิปไตย นี้ ถ้ากล่

  • Members
  • PipPipPip
  • 893 posts

ตอบ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 20:29

 

เอาเรื่ิองนี้ใว้ก่อนได้ไหมครับท่านปปช. ในเมื่อต้องตรวจสอบอีกเยอะดังว่า

 

ท่านเอาเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยแล้วมาทำก่อนได้ไหม

 

เรื่องนี้ไม่ต้องมาตรวจสอบอีก เพราะศาลท่านตัดสินแล้ว มีผลผูกพันกับองกรของท่านทันทีแล้ว

 

ท่านไม่ต้องสอบอีก เพราะถ้าท่านสอบแล้วบอกไม่ผิด ท่านจะเป็นองกรนอกกฎหมายทันที เพราะไม่รับอำนาจศาล

 

ท่านแค่ รับมา ชี้มูล สั่งให้ยุติการทำงาน ส่งศาลทันที แค่นั้น

 

ทำได้ไหม!  ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกมาบอกประชาชนเลย ว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ต้องรอคิวก่อนไหม

 

ชาวบ้านจะได้เลิกตั้งความหวังกับพวกท่าน

 

และถ้าสามารถปฏิรูปประเทศได้  จะได้ปฏิรูปพวกท่านด้วยเสียเลย

ไม่รอท่านปูยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้พวก 312 คน สมัครลงเลือกตั้ง พอปิดรับสมัคร ก็ชี้มูลส่งฟ้อง

 

ทีม ชุดใหญ่ กะชุดสอง พ้นโทษโดยแบน มาแล้วนะครับ

 

ไอชุด 3 พวกนี้ ที่มันแย้วๆๆ ไม่อยากให้นายกยุบสภา หรือ ลาออก เพราะโอกาสที่พวกมันจะได้ อยู่ในชุดใหญ่ มันน้อยเต็มที่ครับ



#25 เรื่อยๆเอื่อยๆ

เรื่อยๆเอื่อยๆ

    There is a face beneath this mask, but it isn't me.

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 4,223 posts

ตอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 00:47

 

 

ถ้ามีความจำเป็นก็สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 25 เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าวได้ ถ้าได้เอกสารตรงนี้จะสามารถขมวดทุกประเด็น และนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ต่อไป กรณีนี้ถือว่าเป็นมหากาพย์เพราะมีผู้ใหญ่และผู้น้อย ภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง

 

ผมไม่เข้าใ ทำไมต้องรอ ทำไมไม่ใช้อำนาจเลย รอให้มันเสียเวลาทำไม 



#26 taze

taze

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 732 posts

ตอบ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 00:52

ผมเรียนและเติบโดมาสายการเงินและเศรษฐกิจ ถ้าบริษัทมีความเสียงในเรื่องพวกนี้จะระงับไว้ก่อนเลย ไม่รอให้ความเสียหายมันลุกลาม แต่ผมก็ไม่เข้าใจในแง่กฏหมายว่าทำไมต้องรอให้ความเสียหายมันลุกลามไปเยอะกว่าที่เป็นอยุ่ รอเวลาไปเรื่อยๆ ทำไมไม่รีบหยุดมันก่อนที่จะเสียหายไปมากกว่านี้ :huh:


"Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely."





ผู้ใช้ 2 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 2 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน