วันนี้ (10 ธ.ค.) กลุ่มนักวิชาการที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นายเกษียร เตชะพีระ นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายประจักษ์ ก้องกีรติ เป็นตัวแทนเครือข่ายนักวิชาการ กว่า 150 คน ก่อตั้งสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) พร้อมอ่านแถลงการณ์ โดยมีจุดร่วมเบื้องต้น คือ ไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่เห็นด้วยกับการที่ทหารแทรกแซงการเมือง รักษาและขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพ รักษาและขยายพื้นที่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ สปป.แจ้งว่าประชาชนที่สนใจและเห็นด้วยสามารถร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ได้ที่แฟนเพจ
โดยแถลงการณ์สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยฉบับที่ 1 ระบุว่า สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักวิชาการ และประชาชนหลากหลายอาชีพ ขอแถลงโต้แย้งประเด็นที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส., ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และ นักวิชาการจำนวนหนึ่งที่นำเสนอความเห็นไปในทิศทางที่ขัดกับกติกาประชาธิปไตยในภาวะวิกฤตของบ้านเมือง ดังนี้
1. การก่อตั้งสภาประชาชน : ความเคลื่อนไหวที่นำมาสู่การจัดตั้งสภาประชาชน มีที่มาจากการข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลและรัฐสภาไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นรัฐบาลและรัฐสภาจึงหมดความชอบธรรม และจำต้องจัดตั้งสภาประชาชนด้วยการอ้างอิงมาตราที่ 3 ของรัฐธรรมนูญ 2550 โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ สมัชชาฯ ขอแถลงว่า กระบวนที่นำมาซึ่งการก่อตั้งสภาประชาชนโดยไม่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางปกติ ถือว่าไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และถือว่าเป็นการทำรัฐประหาร ทั้งนี้จำต้องชี้แจงว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เป็นการขยายอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีฐานอำนาจตามรัฐธรรมนูญรองรับ จึงไม่มีผลทางกฎหมาย นอกจากนี้ การอ้างอิงมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้งสภาประชาชนนั้น ไม่สามารถทำได้เพราะไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เว้นแต่จะต้องเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียก่อน ประการสำคัญ การนำเสนอเรื่องของสภาประชาชนไม่มีความชัดเจนถึงความยืดโยงกับความเป็นตัวแทนของประชาชนไม่คำนึงถึงความเท่าเทียม และความหลากหลายทางความคิด โดยเฉพาะต่อประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับ กปปส.
2. ข้อเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางหลังการยุบสภา เป็นที่มาจากการตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า “นายกฯ คนกลางพระราชทาน” เป็นการพยายามตีความรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นไปตามครรลองของหลักการประชาธิปไตย และละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีภายหลังจากการยุบสภาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มารับหน้าที่เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง อีกทั้งกระบวนการใดๆ ที่ขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง เหนี่ยวรั้งให้การเลือกตั้งล่าช้า หรือสร้างสุญญากาศทางการเมืองถือเป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเสียเอง นอกจากไม่เป็นคุณต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ต้องเคารพในสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความเท่าเทียม สันติภาพ และอาจนำไปสู่วิกฤติความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นด้วย
3. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยขอยืนยันว่ารัฐธรรมนูญเป็นกติกาประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องให้ความเคารพ แต่รัฐธรรมนูญนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยเจตจำนงของประชาชนและต้องคำนึงถึงทั้งหลักประชาธิปไตยและหลักการที่ไม่ทำลายสังคมประชาธิปไตยเสียเอง ทั้งนี้หากมีความไม่เห็นพ้องต้องกันถึงกติกาประชาธิปไตยฉบับนี้ ก็สมควรจะร่วมกันหาทางออกที่ได้รับการยอมรับกันทุกฝ่าย สมัชชาฯ ขอเสนอว่าการร่วมกันออกแบบการทำประชามติในการแก้ไขหรือยืนยันการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ควรเป็นทางออกของสังคม
http://manager.co.th...D=9560000152197
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมก็คิดเหมือนพวกคุณนี่แหละ แต่เครดิตพวกคุณเน่าสนิทตั้งแต่ยุ่งเรื่อง 112 ไปแล้ว
และมาถึงตอนนี้ กอด "ผลไม้พิษ" ซะแน่นเลยนะ
แน่ใจหรือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะบริสุทธิ์ ยุติธรรม ?