Jump to content


Photo
- - - - -

เฉลยคำขู่ของ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี บนเวทีราชดำเนิน


  • Please log in to reply
22 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 Cemeterys

Cemeterys

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 796 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 20:44

*
POPULAR

วันนี้อรรถวิชช์มาแปลก

พูดเป็นสีเทาแต่เดาได้ว่า

ที่สุดของวิกฤติรอบนี้

เมื่อจนตรอก

พึงระวังค่านิยมดั้งเดิมของคนทางใต้

ค่านิยมที่ว่า ตู่ เต้น วีระ ป้านก และแกนนำเสื้อแดง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนทางใต้รู้จักดี 

ค่านิยมดังว่า

ดูเหมือนจะเป็นค่านิยมเดียว

ที่จะสยบพฤติกรรมถ่อยเถื่อนของคนเสื้อแดงได้

............

ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าที่ พท.ครองอำนาจ

เป็นสองปีที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพียก

เดินทางไปภาคใต้อย่างมีความสุข

ต่างจากที่อภิสิทธิ์ได้รับจากคนเสื้อแดงโดยสิ้นเชิง

............

ทว่า ยามนี้ เงื่อนไขที่รัฐบาลเสื้อแดงสร้างขึ้นเอง

ได้ทำลายความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของคนทางใต้ลงหมดแล้ว

จึงเป็นที่มาของคำขู่จาก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ที่เขาน่าจะตั้งใจพูดถึงอุปนิสัยพื้นฐานของคนภาคใต้

ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ

อย่าง ดำ หัวแพร.

Attached Images

  • phattalung1.jpg


#2 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:00

เมื่อจนตรอก

พึงระวังค่านิยมดั้งเดิมของคนทางใต้

^

^

ตกลงอรรถวิชช์เขาตีความแบบที่จขกท.ว่าจริงๆหรือครับ?

V

V

ทว่า ยามนี้ เงื่อนไขที่รัฐบาลเสื้อแดงสร้างขึ้นเอง

ได้ทำลายความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของคนทางใต้ลงหมดแล้ว

จึงเป็นที่มาของคำขู่จาก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ที่เขาน่าจะตั้งใจพูดถึงอุปนิสัยพื้นฐานของคนภาคใต้

ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ

อย่าง ดำ หัวแพร.

 

 

 

เขาเป็นสส. ไม่น่าจะพูดให้มีเจตนาแตกแยกนะครับ

 

รบกวนจขกท.พอจำข้อความทั้งบริบทได้ไหมครับ  ไม่ต้องเป๊ะก็ได้ แต่ขอ "ทั้งบริบท" ช่วยเอามาลงให้หน่อย

 

เพราะตอนนี้สมาชิกบอร์ดเราหลายท่านก็เคยตั้งกระทู้เตือนเรื่อง "การตัดทอนข้อความมาเฉพาะบางส่วน" หลายกระทู้แล้ว

ว่าเป็นเรื่องอันตรายในช่วงล่อแหลม

ซึ่งผมเห็นด้วยกับเพื่อนๆที่มีความคิดนี้นะครับ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#3 Cemeterys

Cemeterys

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 796 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:20

 

เมื่อจนตรอก

พึงระวังค่านิยมดั้งเดิมของคนทางใต้

^

^

ตกลงอรรถวิชช์เขาตีความแบบที่จขกท.ว่าจริงๆหรือครับ?

V

V

ทว่า ยามนี้ เงื่อนไขที่รัฐบาลเสื้อแดงสร้างขึ้นเอง

ได้ทำลายความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาของคนทางใต้ลงหมดแล้ว

จึงเป็นที่มาของคำขู่จาก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ที่เขาน่าจะตั้งใจพูดถึงอุปนิสัยพื้นฐานของคนภาคใต้

ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ

อย่าง ดำ หัวแพร.

 

 

 

เขาเป็นสส. ไม่น่าจะพูดให้มีเจตนาแตกแยกนะครับ

 

รบกวนจขกท.พอจำข้อความทั้งบริบทได้ไหมครับ  ไม่ต้องเป๊ะก็ได้ แต่ขอ "ทั้งบริบท" ช่วยเอามาลงให้หน่อย

 

เพราะตอนนี้สมาชิกบอร์ดเราหลายท่านก็เคยตั้งกระทู้เตือนเรื่อง "การตัดทอนข้อความมาเฉพาะบางส่วน" หลายกระทู้แล้ว

ว่าเป็นเรื่องอันตรายในช่วงล่อแหลม

ซึ่งผมเห็นด้วยกับเพื่อนๆที่มีความคิดนี้นะครับ

 

ฉบับเต็มเป็นการสะกิดนิด ๆให้ระวังวิกฤติดังว่าที่อาจเกิดขึ้นได้ ข้อความข้างบนเป็นการเฉลยความเห็นส่วนบุคคลของผู้ฟัง ตามความเชื่อว่าถ้ายังอยู่กันอย่างนี้จะอันตราย จึงบอกว่า คำปราศรัยค่อนข้างเทา ๆ และความเข้าใจเกิดจากการเดา บอกชัดครับ 



#4 อู๋ ฮานามิ

อู๋ ฮานามิ

    สมาชิกหน้าเก่า

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,018 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:25

*
POPULAR

เห็นมีชื่อ ดำ หัวแพร ผมไม่รู้จักชื่อนี้ เลยไปถามอากู๋ เห็นว่าเป็นโจรชื่อดังที่พัทลุง มีแนวคิดต่อต้านอำนาจรัฐในสมัย ร.6 เล่ากันว่าเป็นโจรที่มีสปิริต คือถ้าจะออกปล้นจะบอกเจ้าทุกข์ล่วงหน้า ปล้นเฉพาะคนรวย เอาเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน ไม่เอาทรัพย์สินที่ติดตัว ไม่ทำร้ายคนที่ขัดขืน คนที่ไม่มีทางสู้ เด็ก และผู้หญิง แถมยังรู้คุณ หลบอยู่บ้านไหน ไปอาศัยกินข้าวบ้านไหนก็จะไม่ทำร้ายคนในบ้านนั้น 

 

ตอนท้ายแกโดนตำรวจยิงบาดเจ็บ แต่แกเลือกที่จะผูกคอตายเพราะหวงแหนศักดิ์ศรีตัวเอง ไม่อยากให้คนมองว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ 

 

 

**แก้ไขนิดหน่อย นึกขึ้นได้ 


Edited by อู๋ ฮานามิ, 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 22:20.

ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด

 

เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ


#5 Cemeterys

Cemeterys

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 796 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:33

เห็นมีชื่อ ดำ หัวแพร ผมไม่รู้จักชื่อนี้ เลยไปถามอากู๋ เห็นว่าเป็นโจรชื่อดังที่พัทลุง มีแนวคิดต่อต้านอำนาจรัฐในสมัย ร.6 เล่ากันว่าเป็นโจรที่มีสปิริต คือถ้าจะออกปล้นจะบอกเจ้าทุกข์ล่วงหน้า ปล้นเฉพาะคนรวย เอาเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน ไม่เอาทรัพย์สินที่ติดตัว ไม่ทำร้ายคนที่ขัดขืน แถมยังรู้คุณ หลบอยู่บ้านไหน ไปอาศัยกินข้าวบ้านไหนก็จะไม่ทำร้ายคนในบ้านนั้น 

 

ตอนท้ายแกโดนตำรวจยิงบาดเจ็บ แต่แกเลือกที่จะผูกคอตายเพราะหวงแหนศักดิ์ศรีตัวเอง ไม่อยากให้คนมองว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ 

เป็นจินตนาการของ จขกท. หลังจากฟังคุณอรรถวิชช์บอกว่ามีสายเลือดพัทลุง ถ้าสุ่มเสี่ยงให้ใครเข้าใจเป็นจินตนาการอันตราย ก็ให้อยู่ในดุลพินิจของ MOD นะครับ ช่วยลบด้วย



#6 อู๋ ฮานามิ

อู๋ ฮานามิ

    สมาชิกหน้าเก่า

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 12,018 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:38

ผมมองว่าคนใต้ก็เป็นคนภาคหนึ่งที่หวงแหนศักดิ์ศรี ใจเต็ม รักใครรักจริง ตรงไปตรงมา มีสปิริตน้ำใจนักกีฬา 

 

บอกตามเท่าที่ผมสัมผัสมา เพราะอาจารย์ แล้วก็เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันหลายคนก็เป็นคนใต้ 


ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด

 

เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ


#7 whiskypeak

whiskypeak

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,392 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:42

*
POPULAR

เห็นมีชื่อ ดำ หัวแพร ผมไม่รู้จักชื่อนี้ เลยไปถามอากู๋ เห็นว่าเป็นโจรชื่อดังที่พัทลุง มีแนวคิดต่อต้านอำนาจรัฐในสมัย ร.6 เล่ากันว่าเป็นโจรที่มีสปิริต คือถ้าจะออกปล้นจะบอกเจ้าทุกข์ล่วงหน้า ปล้นเฉพาะคนรวย เอาเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน ไม่เอาทรัพย์สินที่ติดตัว ไม่ทำร้ายคนที่ขัดขืน แถมยังรู้คุณ หลบอยู่บ้านไหน ไปอาศัยกินข้าวบ้านไหนก็จะไม่ทำร้ายคนในบ้านนั้น 

 

ตอนท้ายแกโดนตำรวจยิงบาดเจ็บ แต่แกเลือกที่จะผูกคอตายเพราะหวงแหนศักดิ์ศรีตัวเอง ไม่อยากให้คนมองว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ 

 

 

 

ผู้ร้ายในอดีต "ดำ หัวแพร" แม้ได้ชื่อว่าโจร..แต่ก็เป็นที่นับถือ ขื้นชื่อเรื่องชอบช่วยเหลือคน และกตัญญูรู้คุณคน

ไม่ต่างกันกับในวันนี้ ที่คนบางคนโดนกล่าวหา ว่าเป็น"กบฏ" กลับได้รับการนับถือในหัวจิตหัวใจ..ถึงความกตัญญูรู้คุณของ"แผ่นดิน"..มากกว่าไอ้คนของรัฐ ของทางการบางคนซ่ะอีก.. 

 

 


ถูกใจเสื้อแดง ของแพงไม่ว่า โดนโกงไม่ด่า ขอแค่ตระกูลชินนรกเป็น นายก พอ..

 


#8 คนสับปรับ

คนสับปรับ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,410 posts

ตอบ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:52

คนแก่ๆจะรู้จักดีว่า ถ้าแกหลบฝนบ้านใคร บ้านนั้นแกไม่ปล้น



#9 Sereechon

Sereechon

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 5 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 07:07

ชอบนิสัยคนใต้

นับถือจริงๆ

เสียสละเพื่อชาติมากๆ

จะรักและสอนลูกหลานให้รักตลอดไป

คุณคือตำนานแห่งการต่อสู้

#10 Super@2

Super@2

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,781 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 07:36

เคยไหมครับเวลาที่ไปต่างจังหวัด แล้วคนพื้นที่เขาถามว่ามาจากไหน พอเราตอบว่ามาจากกรุงเทพฯ เขาก็พูดว่า "อ๋อ...คนกรุงเทพฯ" คุณรู้สึกเช่นไร

................................................

 

 

ผมนั่งอยู่ในกลุ่ม ทั้งเหนือ อีสาน ใต้ เวลาที่บนเวทีพูดอะไรทำนองนี้ ผมอึดอัดมาก

ตอนนี้ หรือไม่ว่าตอนไหน การถาม การตั้งกระทู้ หรือทำอะไรให้รู้สึกทำนอง ไม่เข้าพวก หรือขีดเส้นแบ่ง ควรเลิกได้แล้ว เราคนไทยทั้งนั้นต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียวครับ

 

 

แก้คำผิด


Edited by Super@2, 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 07:37.

พาโล อปริณายโก แปลว่า คนโง่ไม่ควรเป็นผู้นำ

#11 Sand

Sand

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 447 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 07:48

เห็นมีชื่อ ดำ หัวแพร ผมไม่รู้จักชื่อนี้ เลยไปถามอากู๋ เห็นว่าเป็นโจรชื่อดังที่พัทลุง มีแนวคิดต่อต้านอำนาจรัฐในสมัย ร.6 เล่ากันว่าเป็นโจรที่มีสปิริต คือถ้าจะออกปล้นจะบอกเจ้าทุกข์ล่วงหน้า ปล้นเฉพาะคนรวย เอาเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในบ้าน ไม่เอาทรัพย์สินที่ติดตัว ไม่ทำร้ายคนที่ขัดขืน คนที่ไม่มีทางสู้ เด็ก และผู้หญิง แถมยังรู้คุณ หลบอยู่บ้านไหน ไปอาศัยกินข้าวบ้านไหนก็จะไม่ทำร้ายคนในบ้านนั้น 
 
ตอนท้ายแกโดนตำรวจยิงบาดเจ็บ แต่แกเลือกที่จะผูกคอตายเพราะหวงแหนศักดิ์ศรีตัวเอง ไม่อยากให้คนมองว่าตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ 
 


คุณสมบัติตรงข้ามกับตำรวจยุค. อดุลย์ แสงสิงห์แก้วเลยนะนั่น

#12 templar

templar

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,180 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 08:15

 

ประมาณตั้งแต่นาที  ที่  20.00  เป็นต้นไป

 

พูดถึงอาหรับสปริงกับมวยยกสุดท้าย


อย่ามาเห่าว่ากรูมาจากการเลือกตั้ง  เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่ทุกอย่างของประชาธิปไตย

การตรวจสอบบ้านเมืองอย่างเข้มข้น  ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ  จำเป็นสำหรับประเทศไทย

 

สิ่งที่บ่งบอกว่าประเทศไหนพัฒนาแล้วไม่ได้ดูที่  มีตึกสูงมากเท่าไร  มีห้างเยอะไหม  มีจีดีพีสูงแค่ไหน

แต่ดูที่การศึกษา  และ คุณภาพของบุคลากรภายในประเทศ


#13 Redbuffalo010

Redbuffalo010

    พ่อไอัควายแดงทุกตัว

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,120 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 08:46

ขุนโจรแห่งทะเลน้อย  http://www.phatlungt...php?topic=594.0

รุ่งดอนทรายและดำหัวแพร
ใน สมัย แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมุงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวในท้องที่ตำบลดอนทราย อำเภอทะเลน้อย (คืออำเภอควนขนุนปัจจุบัน) เมืองพัทลุงได้เกิดชุมโจรขนาดใหญ่ขึ้นคณะหนึ่งมี รุ่ง ดอนทราย เป็นหัวหน้า ดำหัวแพรเป็นรองหัวหน้า (เมื่อรุ่งดอนทรายสิ้นชีวิตแล้ว ดำหัวแพรได้เป็นหัวหน้าสืบต่อมา) มีคนเกเรและนักเลงหัวไม้จากท้องถิ่นใกล้เคียง และจากหัวเมืองตรัง เมืองนครศรีธรรมราช มาเข้าด้วยเป็นอันมาก โจรกลุ่มนี้ได้ประกาศไม่ให้ชาวบ้านติดต่อกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมทั้งห้ามเสียเงินรัชชูปการ รวมไปถึงภาษีอื่นๆอีกด้วย สร้างความหนักใจให้แก่เจ้าหน้าที่ปกครองเป็นอันมาก

ประวัติการจัดตั้งชุมโจร
ลักษณะ ความเป็นอยู่ของคนไทยแต่ก่อนนั้น มีลักษณะต้องพึ่งและให้ความคุ้มครองแก่ตนเอง การปฏิบัติตนเป็นนักเลงหัวไม้จึงเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสังคม ดังที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) กราบทูลพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ใน "จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ.128" ว่า "เจ้าคุณรัษฎาเล่าว่า เมื่อแรกๆท่านมาเป็นหัวเมืองตรัง นี้เป็นธรรมเนียมผู้ชายไปขอลูกสาว ฝ่ายบิดามารดาถามก่อนสองข้อคือรำมโนห์ราเป็นหรือไม่ กับขโมยควายเป็นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นทั้งสองอย่าง ไม่ยอมยกลูกสาวให้ เพราะบิดามารดาของผู้หญิงแลไม่เห็นว่า จะเลี้ยงเมียได้อย่างไร" ท้องที่ใดมีคนเกเรมากราษฎรเดือดร้อนทางการบ้านเมืองจึงจะยื่นมือ เข้าไปจัดการเป็นคราวๆ ไป การปราบปรามนั้นเจ้าหน้าที่อาจดำเนินการเองโดยตรง หรือไม่ก็ใช้วิธีให้โจรปราบโจรกันเอง ซึ่งทำให้มีปัญหาติดตามมาอีกมากมาย เช่น มีการแก้แค้น ฆ่าฟันสืบสายสกุล ชาวบ้านไม่ไว้วางใจข้าราชการจนเกิดอคติต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดังที่ชาวบ้านสั่งสอนลูกหลานว่า "นายรักเหมือนเสือกอด หนีรอดเหมือนเสือหา" เป็นต้น
กรณีการเกิดชุมโจรที่ตำบลดอนทราย เมืองพัทลุง จนมีผู้ตั้งตัวเป็นหัวหน้า ก็มีสาเหตุมาจากการใช้วิธีโจรปราบโจรของฝ่ายบ้านเมืองนี้เอง เริ่มต้นจากนายอำเภอทะเลน้อยได้ติดต่อกำนันตำบลดอนทราย (ชื่อสี คนทั่วไปเรียกสีสงคราม) ให้หาทางจับผู้ร้ายในท้องที่ส่งดำเนินคดี โดยแนะให้ติดสินบนต่อคนร้าย ว่าจะไม่เอาผิดบ้างจะตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้าง หากสามารถจับเป็นเพื่อนผู้ร้ายด้วยกันส่งกำนัน ผลของการปราบโจรโดยวิธีนี้ทำให้โจรแตกแยกและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และมีการรวมตัวกันเป็นหมู่เป็นเหล่ามากยิ่งขึ้น การดำเนินการจับกุม รุ่งดอนทราย นั้น กำนันได้ติดต่อผู้ใหญ่อินบ้านโคกวัดซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของรุ่งดอนทราย เพราะทราบว่าผู้ใหญ่อิน ติดต่อส่งเสบียงให้แก่รุ่งดอนทรายอยู่เป็นประจำ
วัน ที่ จับกุมรุ่งดอนทรายได้นั้น ผู้ใหญ่อินได้นัดให้รุ่งดอนทรายมารับข้าวห่อที่ใกล้บ้านในสวน (หมู่ที่ 3 ตำบลควนขนุน แต่เดิมขึ้นกับตำบลชะมวง) และได้จัดพรรคพวกที่ล่ำสันแข็งแรงคือ นายเอียด นายช่อ นายไข่ดือ ร่วมไปด้วย ขณะรุ่งดอนทรายและน้องชายชื่อแจ้งกำลังนั่งรับประทานข้าวห่อ นายเอียดได้ใช้ขวานตีหัวรุ่งดอนทรายล้มลง นายไข่ดือขึ้นคร่อมมัดมือไว้ ขณะเดียวกันนายช่อก็ตีหัวเข่านายแจ้ง ผู้ใหญ่อินเข้าช่วยจับจึงสามารถส่งตัวให้กำนันได้ทั้งสองคน ผลของการดำเนินคดี (คดีปล้นทรัพย์) นายรุ่งและนายแจ้งได้ให้การซัดทอดถึงนายช่อด้วยเป็นเหตุให้ทั้งสามคนต้องติด คุก และทางการส่งไปจำไว้ ณ เรือนจำมณฑลนครศรีธรรมราช
ขณะติดคุก รุ่งดอนทรายได้ติดต่อให้ญาติจัดยาพิษไปให้และได้ลอบวางไว้ในอาหาร ทำให้นายช่อและนายแจ้งน้องชายต้องเสียชีวิตในคุกนั่นเอง หลังจากนั้น จึงได้วางแผนกับเพื่อนนักโทษชื่อนายสัง หนีจากคุกได้สำเร็จ กลับมาถึงบ้านก็ตรงไปฆ่ากำนันสีสงครามตายอย่างอุกอาจ และประกาศตอนเป็นหัวหน้า ทำให้โจรก๊กเล็กก๊กน้อยมาร่วมด้วยทั้งหมด บรรดาลูกสมุนเรียกรุ่งดอนทรายว่า ท่านขุนพัท ส่วนคนทั่วไปเรียกว่ารุ่งขุนพัทตั้งแต่นั้นมา และลูกน้องใกล้ชิดอีกหลายคนก็ตั้งตัวเป็นขุนกัน ดังนี้

ขุนอัสดงไพรวัน คือ ดำหัวแพร เป็นรองหัวหน้า
ขุนอรัญไพรี คือ ดำปากคลอง
ขุนประจบดำแพรศรี คือ นายวันพาชี บ้านม่วงลูกดำ ตำบลนาท่อม
ขุนคเนศวร์พยอมหาญ คือ ดำบ้านพร้าว

เรื่องการตั้งตัวเป็นขุนนี้ มีรายละเอียดและข้อสังเกตดังนี้
1.รุ่ง ขุนพัท มีคำบอกกล่าวเป็นสองทาง ทางหนึ่งว่าเมื่อไปถึงเรือนจำนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองขณะนั้นมาดูตัวและทักว่า "นี่หรือขุนโจนพัทลุง" เพื่อนคนโทษจึงเรียกกันขึ้นก่อนว่ารุ่งขุนพัท (ลุง) อีกทางหนึ่งเล่ากันว่า เมื่อรุ่งดอนทรายหนีจากคุกได้สำเร็จ ท่านขุนที่เป็นพัสดีเรือนจำถูกปลดออกจากราชการ คนจึงพูดกันว่า เอาบรรดาศักดิ์ขุนไปมอบให้รุ่งดอนทรายเสียแล้ว รุ่งดอนทรายจึงได้ชื่อแทนขุนพัสดีเรือนจำ เรียกกันสั้นๆวา "ขุนพัท"
2.นาม ขุนของดำหัวแพรมักจะสับสนกับนามขุนของวันพาชี เป็นขุนอัสดงแพรศรี กับขุนประจบไพรวัน ดังข้อเขียนของ อเนก นาวิกมูล (ดู เดินทางท่องเที่ยว ฉบับ มีนาคม 2532 หน้า 74-79) ที่ระบุไว้ข้างต้นนั้นได้สอบสวนจากผู้ใกล้ชิดดำหัวแพรที่ยังมีชีวิตอยู่ (นายสี ที่มีกลอนเพลงกล่าวถึงว่า "อ้ายสุกอ้ายสี หมันหนีมาออกตัดสินขังคอก ให้ตลอดชีวัน") และชาวบ้านที่ตำบลควนขนุนอีกหลายคน ซึ่งเป็นข้อมูลทีเชื่อถือได้
3.ขุนพเนศพยอมหาญ เข้าใจว่าจะตั้งเลียนจากบรรดาศักดิ์ ประทานกำนันตำบลป่าพยอม ที่เป็น "ขุนคเนศวร์พยอมวัน" (ต้นสกุล คชภักดี)
4.เรื่องราวเกี่ยวกับโจรกลุ่มนี้ มีผู้แต่งเป็นกลอนไว้ยืดยาวหลายราย ปัจจุบันยังมีผู้จำกันไว้ได้บ้าง เช่น

"จะกลับจะกล่าว เรื่องราวโจรร้าย นายรุ่งดอนทราย หัวไม้ตัวลือ
พวกพ้องของมัน ชวนกันนับถือ หัวไม้ตัวลือ ชื่อว่าขุนพัท

ตั้งเป็นชุมโจรสมบูรณ์แบบ
เมื่อ รุ่งดอนทรายประกาศตัวเป็นหัวหน้าแล้ว ก็ได้จัดทำปลอกเงินเป็นอาวุธประจำตัวหัวหน้า การสั่งการใดๆ หากสั่งด้วยตัวเองไม่ได้ก็จะมอบปืนไปแทนตัว ใครจะอ้างคำสั่งถ้าไม่มีปืนแสดงก็ไม่ต้องเชื่อถือ นอกจากนั้นก็ประกาศไม่ให้ชาวบ้านติดต่อกับเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นทางใด เพราะพวกพ้องของตนจะให้ความคุ้มครองแทน นอกจากนั้นไม่ว่าจะไปปล้น ณ ท้องที่ใดให้ปฏิบัติเคร่งครัด ดังนี้
1.หากเจ้าทรัพย์ไม่ต่อสู้ ห้ามทำร้าย
2.ทรัพย์สินเครื่องใช้และเครื่องแต่งตัวที่อยู่ตัดตัว จะไม่ถือเอา จะเอาเฉพาะของเก็บเท่านั้น
3.หากเคยไปพักพิง หลบแดดหลบฝนที่บ้านใด จะให้ความคุ้มครองบ้านนั้น ใครจะรังแกไม่ได้
การ ให้ความคุ้มครองนั้น โจรคณะนี้ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงสามารถเพิ่มจำนวนพรรคพวกได้มาก อาจารย์เปลื้อง ณ นคร เล่าว่า บิดาท่านเคยเล่าให้ฟังว่า โจรคณะนี้เก่งกล้าถึงขนาดท้ายิงกับเจ้าหน้าที่ การต่อสู้ถึงขนาดขุดสนามเพลาะสู้กัน
เรื่องการคุ้มครองคนที่เคยไปพักพิง ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิบัติจริง นายแก้ว บุญทองคง อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลควนขนุน (ลูกชายผู้ใหญ่อิน) เล่าว่า นำหนองฟ้าผ่า ซึ่งเป็นคนดุร้ายคนหนึ่งได้ไปลักควายในเขตเมืองนครศรีฯ เจ้าของควายซึ่งเคยให้ที่พักโจรก๊กนี้ได้มาหาดำหัวแพร ดำหัวแพรจึงมอบปืนปลอกเงินไปแทนตัวบอกขอควายคืน นำหนองฟ้าผ่าก็คืนควายให้ เป็นต้น
ในส่วนทางการบ้านเมือง เมื่อกำนันสีสงครามถูกฆ่าตายแล้วก็ได้ตั้ง นายคลิ้ง ญาติใกล้ชิดของรุ่งดอนทรายเป็นกำนันแทน แรกๆ ก็นับถือกันอยู่โดยดี แต่ต่อมากำนันคลิ้งได้ให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่มากขึ้น จนคราวหนึ่งกำนันสืบทราบว่า รุ่งดอนทรายจะนำพวกไปปล้นที่กะปาง เขตเมืองตรัง จึงนำความไปบอกเจ้าหน้าที่ นายอำเภอทะเลน้อยขณะนั้น (ขุนสถลสถานพิทักษ์ ไม่ทราบชื่อตัวและสกุล) ได้จัดตำรวจไปดักซุ่มที่ช่องอ้ายหมี ซึ่งเป็นทางแคบ เมื่อคณะรุ่งดอนทรายเดินทางไปใกล้ มีค้างคาวบินมาชนหน้ารุ่งดอนทราย และทั้งได้กลิ่นบุหรี่ซิกาเร็ตรุ่งดอนทรายจึงเดินทางกลับบ้าน สืบรู้ว่ากำนันคบคิดกับทางอำเภอไปดักซุ่ม จึงนำพวกไปฆ่ากำนันคลิ้งตาย น้องชายของกำนันคลิ้งต้องหนีไปอยู่ประจำที่โรงพักอำเภอทะเลน้อย

รุ่งดอนทรายเสียชีวิต
หลัง จากฆ่ากำนันคลิ้งแล้วไม่นาน รุ่งดอนทรายป่วยเป็นฝีบัวคว่ำบัวหงายขนาดใหญ่ รู้ตัวว่าจะตายไม่เกิน 2 วัน บอกกับพวกพ้องว่าจะขอตายที่บ้าน ลูกน้องจึงได้ช่วยกันพยุงมาจนถึงในตอนเย็น นางขีดหรือหนูขีดลูกสาวกำนันคลิ้งเห็นเข้าจึงเดินทางไปหาอา (ชื่อชำ) ที่โรงพักอำเภอทะเลน้อย ในคืนวันนั้นขุนสกลฯ นายอำเภอพร้อมตำรวจจึงรีบยกกำลังมาล้อมบ้านในตอนเช้าตรู่ มีนายช้ำและนายยกบ้านยางแคเป็นคนนำทาง
นายสีเล่าว่า มีคนนอนอยู่บนบ้าน 4 คน คือ รุ่งดอนทราย นางหิ้น ภรรยา นายทุ่ม ควนเนียด และนายสี เมื่อรู้ตัวว่าถูกเจ้าหน้าที่ล้อม นายสีจึงพลิกตัวลอดร่องแมวหนีไปได้ นายรุ่งดอนทราย และนายทุ่มตายคาที่ นางหิ้นถูกปืนที่แขน
เจ้าหน้าที่ได้ให้นำศพรุ่งดอนทรายไปมัดประจานไว้กับต้นตาลหน้าวัดกุฏิ (คือวัดสุวรรณวิชัยเดี๋ยวนี้)
มีผู้จำกลอนตอนรุ่งดอนทรายตายได้ดังนี้
"ท่านขุนสถลนายอำเภอ ถือเมาเซอเบรานิ่งวิ่งตะบึง
ปีโทศกหกสิบสองต้องถึงตาย เพราะเคราะห์ร้ายราหูจู่มาถึง"
และ
"ทั้งลูกเมียเสียใจพิไรร้อง เหมือนโพธิ์ทองเคยสำนักมาหักลง
ดำหัวแพรแก้ไขไปตามตรง ว่าฉันคงตั้งหน้าฆ่านกต่อ"
(นายแก้ว บ้วขาว แต่ง)
ซึ่งเป็นหลักฐานว่า ปีที่รุ่งดอนทรายเสียชีวิตนั้นคือ พ.ศ.2462

[/B]ชุมโจรสมัยดำหัวแพรเป็นหัวหน้�
การดำเนินการปราบปราม
คุณ พระวิชัยประชาบาล ได้ดำเนินการปราบปรามด้วยตนเอง คือ นำกำลังตำรวจของมณฑลไปตั้งกองอำนวยการปราบ 3 แห่ง ที่ตำบลนาท่อม ตำบลควนขนุนและตำบลปันแต และอาศัยกำลังตำรวจประจำท้องที่ให้ช่วยนำทาง การไปจัดตั้งกองปราบที่ควนขนุนนั้น เป็นเวลาประจวบกับพวกโจรกำลังชักชวนกันทำบุญกองทรายที่วัดกุฏิ แต่ยังไม่ได้จัดงานฉลอง
วัดกุฏิขณะนั้นมีพระนุ้ย สหสสฺเตโช เป็นอธิการเจ้าอาวาส เป็นภิกษุที่ชาวบ้านนับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคม ศิษย์ของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่เล่าว่า ท่านมีวัตรปฏิบัติที่แปลกอยู่หลายอย่าง เช่น วันไหนท่านนั่งอยู่ตรงไหน หันหน้าไปทางทิศไหนแล้วท่านจะนั่งอยู่อย่างนั้นตลอดวัน ศิษย์ต้องจัดเพลให้ท่านฉัน ณ ที่ที่ท่านนั่ง เป็นต้น และอีกอย่างหนึ่งท่านชอบฉันหวาก (กระแช่) เมื่อคุณพระวิชัยฯ ไปตั้งกองในวัด คุณพระไม่ยอมไปพบท่าน ท่านไม่พอใจจึงเข้าจำวัดคลุมโปงไม่ฉันอาหาร 3 วัน เป็นต้นเหตุให้คุณพระปวดท้องอย่างแรง กินยาแก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย จนตำรวจคนหนึ่งบอกว่าถูกคุณท่านเข้าแล้ว คุณพระจึงจุดธูปขอขมาช่วยให้หายปวดท้อง จะทำขนมโค (ขนมต้มขาว) ถวาย ปรากฏว่าคุณพระหายปวดท้องเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อคุณพระไปหา ท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คุณพระวิชัยฯ รับจะช่วยทำนุบำรุงวัด และได้นำพระพุทธรูปสำริดไปถวาย 1 องค์ มีจารึกบนแผ่นโลหะตรึงไว้ที่ฐานว่า "พระพุทธวิชัย พ.ศ.2463" พระพุทธรูปองค์ที่กล่าวนี้เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน สูงจากฐานถึงเกศประมาณ 24 นิ้ว มีผู้เล่าว่าได้ยินคุณพระวิชัยฯ เล่าถวายท่านนุ้ยว่า คุณพระได้พระองค์นี้มาในคราวไปปราบปรามโจรที่ภาคเหนือ เมื่อตอนพบมีต้นไทรขึ้นโอบองค์ไว้ ท่านจึงให้ตัดต้นไทรออก และอัญเชิญมาและเพื่อให้เป็นนิมิตที่พระพุทธรูปองค์นี้ จะได้อยู่เป็นศรีประจำวัดต่อไป คุณพระได้หารือท่านอธิการนุ้ยให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ เป็นวัดสุวรรณวิชัย เข้าใจว่าชื่อวัดที่เปลี่ยนใหม่นี้ คำสุวรรณ คงแปลงจากชื่อเจ้าอาวาสองค์แรกที่ชื่อทอง ส่วนวิชัย คงตัดจากชื่อพระพุทธรูป และยังเป็นนามต้นบรรดาศักดิ์ของพระวิชัยประชาบาลเองอีกด้วย (นามเจ้าอาวาสวัดกุฏิ ตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงพระอธิการนุ้ย ดังนี้ 1.พระทอง ไม่ทราบปีครองวัด 2.พระคล้าย ติสสโร มรณภาพ พ.ศ.2436 3.พระอธิการนุ้ย สหสสุเตโช พ.ศ.2436-2467)

เมื่อตั้งกองและเตรียมการเรียบร้อยแล้ว คุณพระได้ดำเนินการดังนี้
1.ประกาศให้คนร้ายเข้ามอบตัว จะดำเนินคดีดด้วยความยุติธรรม ที่กระทำผิดเล็กน้อยก็อบรมตักเตือนและให้เป็นพรานดง ทำหน้าที่สืบข่าว
2.นำพ่อแม่ เมีย หรือญาติที่คนร้ายนับถือ มาเกลี้ยกล่อม กักตัว ต่อรองให้เข้ามอบตัว
3.ประกาศห้ามชาวบ้านช่วยเหลือคนร้าย ผู้ใดจะจัดข้าวห่อไปกินขณะทำงานก็ให้จัดไปเฉพาะพอกินเอง หากจับได้ว่าจัดไปมากเกินสมควรจะถูกลงโทษ
4.ดำเนินการจับกุมอย่างแข็งขัน ทั้งจับเป็นและจับตาย

ใน การเข้ามอบตัวนั้น คนร้ายมักให้ญาติมิตรติดต่อกับพระอธิการนุ้ย กำหนดวันและสถานที่ไว้แน่นอน พระอธิการนุ้ยจะบอกกล่าวตรงกับคุณพระวิชัยฯ จะสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรับตัวตามนัดหมาย เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่ทราบเรื่อง จึงเล่าลือกันว่าคุณพระฯมีตาทิพย์และมีวาจาสิทธิ์ เป็นเหตุให้ผู้ร้ายที่ลังเลอยู่เข้ามอบตัวมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่เข้ามอบตัว จะถูกจำขังไว้ที่ค่ายของกองอำนวยการชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงส่งตัวไปดำเนินคดี ณ ภูมิลำเนาเดิม มีผู้ผูกเป็นเพลงและมีคนจำไว้ได้บ้าง เช่น "โหมลุงส่งลุง โหมคอนส่งคอน โหมตรังส่งตรัง โหมที่ไม่ขังให้เป็นพรานดง" หรือ "วัดกุฏิแข็งแรงกำแพงใบโหนด เหลือแต่ทำโทษ โพกหัวแบกบอง"
ช่วงที่เข้ามามอบตัวมากที่สุดที่กองควนขนุนนั้นปรากฏว่ามีถึง 65 คน คุณพระจึงให้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อ พวกพ้องเข้ามอบตัวกันมากแล้ว ขวัญของโจรก็เริ่มเสีย ที่เคยคุมพวกต่อสู้เจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นต้องหลบหนี แต่กระนั้นก็ได้ต่อสู้อย่างห้าวหาญหลายครั้ง เช่น คราวจับตายโจรที่ชื่อ สีเงินหนวดแดง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 คน (ไม่ทราบชื่อ) สมุนคนสุดท้ายที่ถูกจับตายคือ คงเขาย่า (มีบทเพลงกล่าวถึงว่า "อ้ายคง เขาย่า ที่เป็นสหายถูกลูกกระสุนตายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์")

ขุนโจรสิ้นชื่อ
ใน ที่สุดสายสืบรายงานเจ้าหน้าที่ว่า ดำหัวแพรกับพวกรวม 3 คน มากินหวาก (กะแช่) อยู่ที่ใกล้หนองคลอด ทุ่งหัวคด (ขึ้นกับตำบลโตนดด้วน) เจ้าหน้าที่ ประกอบด้วย จ่านายสิบตำรวจสิริ แสงอุไร นายสิบตำรวจตรีนำ นาควิโรจน์ และ พลตำรวจร่วง สามารถ จึงได้เข้าจับกุม ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันเป็นสามารถจนหมดกระสุน จ่านายสิบตำรวจสิริเหลือกระสุนอยู่เพียงนัดเดียว จึงแกล้งทำเป็นหมอบระวังอยู่ ดำหัวแพรคิดว่าถูกกระสุนที่ตนยิงไปจึงวิ่งปีบ (ร้องตะโกน) เข้าไป หมายจะเชือดคอด้วยพร้าลืมงอประจำตัว พอเข้าไปใกล้ก็ถูกยิงสวนถูกคางล้มลง สมุนของดำหัวแพรเข้าไปช่วยพยุง ตำรวจทั้งสามคนก็วิ่งหนี ด้วยเป็นเวลาจวนค่ำและไม่ทราบจำนวนที่แท้จริงของพวกคนร้าย มีผู้ที่จำกลอนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ (ไม่ทราบผู้แต่ง) ได้บ้างว่า "จ่าสิริ สิบตรีนำ ยิงอ้ายดำหัวแพรพลัดแงลง" บางคนจำได้ว่า "จ่าสิริสิบตรีนำ ยิงอ้ายดำหัวแพรแคหนองคลอด"
นายสีเล่าว่าผู้ที่เข้าไปช่วยพยุงดำหัวแพร คือ แจ้ง ห้วยท่อม และหมุด (จำบ้านที่อยู่ไม่ได้) คนทั้งสองฝ่ายช่วยกันพยุงดำหัวแพรไปถึงใกล้หนองไผ่หรือหนองขี้หมา ก็ให้นอนพักแล้วบอกจะไปหายาหาข้าวมากินกัน เมื่อกลับมาอีกครั้งก็พบดำหัวแพรแขวนคอตายอยู่ใกล้หนองไผ่นั่นเอง จึงได้ช่วยกันฝังศพไว้ ณ ที่นั้น
อีกสองวันต่อมาเจ้าหน้าที่ตามไปพบก็ให้ ขุดศพขึ้นมาแล้วนำไปผูกประจานไว้กับต้นตาลหน้าวัดกุฏิ ศพเน่าแล้วก็ให้เผา ณ ใกล้ๆ ต้นตาลนั้นเอง มีเรื่องเล่ากันอีกว่า ผีดำหัวแพรดุมาก กลางคืนไม่ค่อยมีใครกล้าเดินผ่าน บางทีมีคนเอาไม้เรียวไปเฆี่ยนตรงที่เผาศพและใช้ให้ผีไปเข้าสิงคน
เมื่อดำ หัวแพรตายแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นหัวหน้าชุมโจรอีกเลย ประกอบกับพวกโจรถูกจับกุมไปดำเนินคดีจนหมด รายชื่อที่ทางการต้องการตัว กองอำนวยการปราบปรามก็เลยยุบเลิกในปลายปี พ.ศ.2463 นั่นเอง
ตำรวจทั้งสามคนที่ร่วมกันพิชิตดำหัวแพร ทางราชการได้ดำเนินการ ขอพระราชทานเครื่องราชอิสระยาภรณ์เป็นความดีความชอบ คือ
จ่าสิบตรีสิริ แสงอุไร ได้รับพระราชทานเหรียญทองช้างเผือก
ทำการนายสิบตำรวจโทนำ นาควิโรจน์ ได้รับพระราชทานเหรียญทองมงกุฎไทย
ว่าที่นายสิบตำรวจตรีร่วง สามารถ ได้รับพระราชทานเหรียญทองมุงกุฎไทย
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 38 วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2564 หน้า 316)
ข้อเขียนและคำบอกกล่าวบางเรื่องที่เห็นควรบันทึกไว้ด้วยมือ
1.ชื่อ ดำหัวแพร ได้ชื่นเช่นนี้เพราะเป็นคนมีผมดำสลวยงามกว่าชาวบ้านทั่วไป (ที่มักมีผมหยิก) ตอนเป็นเด็กนิยมโพกหัว ผ้าแพรสีเขียว พระมหาเล็กฉันทโก วัดสุวรรณวิชัย เล่าว่า ได้ทราบมาว่าผ้าแพรนั้นเป็นแพรอย่างหนา พวกโจรมักนิยมนำติดตัวไปด้วย เพราะแพรดังกล่าวนั้นใช้คัดเลือด (บังคับให้เลือดหยุดไหล) ได้
2.เรื่องคณะชุมโจรที่มีเป็นจำนวนมากนั้น อะไรเป็นเครื่องจูงใจและเป็นสิ่งผูกมัดให้ร่วมมือกัน ปัญหาเรื่องนี้ได้ความว่าส่วนใหญ่มักเป็นคนมีคดีติดตัว และมีอยู่อีกไม่น้อยที่มาเป็นพรรคพวกก็เพราะม่ต้องการเสียภาษี และเงินรัชชูปการ หัวหน้าโจรทั้งสองคือ รุ่งดอนทรายและดำหัวแพร ให้ความเป็นธรรมในการแบ่งทรัพย์ที่หามาได้ การดูแลลูกน้องมีลักษณะจัดตั้งโดยถือระบบอาวุโสและความสามารถ มีสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน คือ การแบกพร้าลืมงอที่เรียกว่า แบบบังหู คือ แบกให้ส่วนงอของคอพร้าคร่อมบ่าพอดี ดึงด้ามเข้าแนบตัวจนตัวพร้าขึ้นไปบังหูพอดี และที่บุคคลอื่นไม่กล้าแบกเลียนแบบนั้น นอกจากกลัวโจรแล้วยังกลัวเจ้าหน้าที่จับกุมอีกด้วย นอกจากนั้นพวกโจรยังเคร่งเรื่องข้อห้ามที่มิให้ชาวบ้านติดต่อกับเจ้าหน้าที่ โดยเด็ดขาด ใครไม่เชื่อจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง (มีกรณีตัวอย่าง นายแดง บ้านจันนา ต่อนกเขาได้จะนำไปให้จ่าแช่ม พวกโจรรู้ข่าวก็ตามไปทันที่ศาลาบ้านท่าพลับ จึงจับตัวและใช้ตาปูตอกมือติดไว้กับเสาศาลาและให้ปล่อยนกเขาเสีย เป็นต้น)
3.เรื่อง การตายของดำหัวแพร มีข้อเขียนความต่างออกไป เช่นว่า ถูกเสียบทวารตายบ้าง (ดู จำลอง พลเดช "ดำหัวแพร" ฟ้าเมืองทอง มีนาคม พ.ศ.2526 หน้า 16) ถูกยิงตกต้นตาลตายบ้าง ได้สอบถามจากคนใกล้ชิดคือนายสี (ที่มีเพลงกล่าวถึงว่า "อ้ายสุก อ้ายสี มันหนีออก ตัดสินขังคอก ให้ตลอดชีวิน" ขณะนี้ (พ.ศ.2527) ยังมีชีวิตอยู่ ติดคุกจริง 13 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475) และ พระนำ วัดสุวรรณวิชัย เป็นต้น ได้ความจริงดังกล่าวมาแล้วนั้น
4.เรื่องการสร้าง อนุสาวรีย์ดำหัวแพร ที่มีทั้งข้อเขียนและคำบอกเล่าทั่วไปนั้น ผู้เขียนได้เคยไปดูรูปปั้นที่เขาชังกั้ง เมื่อปี พ.ศ.2497 (คือรูปที่ปรากฏในหนังสือเที่ยวเมืองใต้ ของ ไสวย นิยมจันทร์) ปรากฏว่าส่วนที่เป็นพร้าหักหายไปเสียแล้ว มีจารึกที่ฐานรูปว่า "เทพดาประจำเขาชังกั้งนี้"แปลว่าคือเกะกะ
อาจารย์เทพ บุณยประสาท อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพัทลุงเล่าว่า แต่เดิมมีป้ายแขวนไว้กับพร้าว่า "อย่าเอาอย่างอ้ายชังกั้งนี้โว้ย" ไม่เคยมีข้อความใดบ่งบอกว่าเป็นอนุสาวรีย์ของดำหัวแพร และเล่าว่ารูปนี้แต่เดิมเจ้าคุณคณาศัยให้ปั้นพระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานไว้ใน ถ้ำมีปูนซีเมนต์เหลือจึงให้ปั้นรูปนักเลง หัวไม้ ตั้งไว้หน้าคุกเพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง การอ้างว่าเป็นอนุสาวรีย์โจรเป็นเรื่องว่ากันไปเอง
ยังมีรูปที่ถ้ำนาง คลอด วัดคูหาสวรรค์อีกแห่งหนึ่งมีผู้อ้างว่าเป็นรูปปั้นดำหัวแพร (ดูชัยยันต์ ศุภกิจ "อนุสาวรีย์โจร" เดลินิวส์ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2523 หน้า 7) ขอเรียนว่ารูปดังกล่าวนั้นภิกษุรูปหนึ่งดูเหมือนชื่อพระคล้าย ได้ปั้นขึ้นประมาณปี พ.ศ.2495 เป็นต้น ตอนผู้เขียนไปดูเมื่อปี พ.ศ.2497 ยังปั้นไม่สำเร็จ และรูปที่ปั้นไว้ก็ไม่ใช่รูปที่ปรากฏในหนังสือของ ไสวย นิยมจันทร์ (ดูเอนก นาวิกมูล "อนุสาวรีย์ชังกั้งอยู่ที่ไหน" เดินทางท่องเที่ยว มีนาคม พ.ศ.2523 หน้า 75)
5.เรื่องครอบครัวของดำหัว แพรรวมไปถึงรุ่งดอนทรายที่ต้องบันทึกไว้ด้วย ก็เพราะปรากฏข้อเขียนเป็นใจความว่า หัวหน้าโจรมีภรรยามากต้องการลูกใครเมียใครก็ฉุดเอาตามใจ ฯลฯ (ดูเอนก นาวิกมูล เรื่องเดิม อ้างถึงข้อเขียนของนายอำเภอชื่น ทองศิริ อดีตนายอำเภอกระบุรี) เรื่องนี้ผู้เขียนได้พยายามสอบถามจากผู้ที่เคยใกล้ชิด และตอนเด็กๆ ผู้เขียนเคยได้ยินภรรยาของรุ่งดอนทรายคนหนึ่ง (ชื่อซั่น) กล่าวถึง รุ่งดอนทรายด้วยความภาคภูมิใจ ได้รายละเอียดดังนี้
รุ่งดอนทรายมีภรรยา 4 คน คือ
นางหิ้น มีลูกด้วยกัน 4 คน
นางเริง มีลูกด้วยกัน 1 คน
นางทอง มีลูกด้วยกัน 2 คน
นาง ซั่น ไม่มีลูกด้วยกัน ทุกคนได้มาโดยสมัครใจ ไม่เคยปรากฏว่าไปฉุดเอาตามอำเภอใจ และหากมีนิสัยชอบฉุดลูกเมียเขาก็คงไม่เป็นที่เลื่อมใสของลูกน้อง ซึ่งมีอยู่มากอย่างแน่นอน
รุ่งดอนทรายนั้น มีแม่ชื่อ ด้วง มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน คือชื่อ หวัญ (หญิง) ไข่โมง รุ่ง (ดอนทราย) และ แจ้ง
ดำ หัวแพร มีภรรยา 3 คน คือ นางผลี้ นางร่ม สองคนนี้ไม่มีลูกด้วยกัน อีกคนหนึ่งชื่อจัน มีลูกสาว 1 คน ปัจจุบันลูกสาวคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ทราบเรื่องราวของพ่อเพราะตอนพ่อตายอายุเพียง 2 ขวบ


อย่าเชื่อในสิ่งที่ไอ้แม้วและไอ้พวกแกนนำ นปช. พูด
แต่ให้ดูในสิ่งที่พวกมันทำ


#14 Moo3storey

Moo3storey

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,284 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 08:46

ไทยคือไทย ไม่มีเหนือใต้

#15 คนสับปรับ

คนสับปรับ

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,410 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 09:08

ไทยคือไทย ไม่มีเหนือใต้

เวลาโมโหพวกห่านี่ คุณจะด่ามันว่าอะไร สำหรับผมจะ่าว่ำ ไอ้....



#16 nf9

nf9

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 588 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:50

ป้าธิดานกแสกเอง  ล่าสุดไปเยี่ยมญาติทางใต้  เจอชาวบ้านพากันมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมา 

 

แถมญาติเองติดก็ป้ายประกาศหน้าบ้าน  ว่าเป็นญาติจริงแต่ไม่เวลคัม 

 

 

ต่อให้เดินไปไหนมาไหนใน กทม.ก็เถอะ  นอกจากอิมพีเรียลลาดพร้าว  คนพวกนี้จะกล้าเดินเล่น 

 

CTW  Siam  Paragon ฯลฯ รึเปล่า  social sanction เหมาะกับคนพวกนี้แล้ว   อย่าให้ถึงกับรบราเลย


Edited by nf9, 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 11:51.


#17 Moo3storey

Moo3storey

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,284 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 13:37

ผมเป็นคนเหนือ ญาติผมคนนึงเป็นแกนนำแดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียระดับนึง คนในครอบครัวก็ไม่เอาเหมือนกัน อันนี้รวมญาติพี่ปู่ย่าตายายลุงป้าหมดเลยนะครับ ผมว่าเกิน 90 % ที่ไม่เอาแดงและไม่อยากนับญาติกับคนๆนั้น แต่ถึงผมจะฟ้าปชป.นะครับ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับคนในตระกูลผมว่ามันจะแตกแยกกันไปทำไม มันผิดเราก็ว่ามันผิด มันทำไม่ดีเราก็เตือนมัน สักวันมันอาจจะคิดได้ แต่ถ้าให้แตกแยกตัดพี่ตัดน้องกันผมว่ามันก็เกินไป

#18 Bookmarks

Bookmarks

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 33,617 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 18:01

ผมเป็นคนเหนือ ญาติผมคนนึงเป็นแกนนำแดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียระดับนึง คนในครอบครัวก็ไม่เอาเหมือนกัน อันนี้รวมญาติพี่ปู่ย่าตายายลุงป้าหมดเลยนะครับ ผมว่าเกิน 90 % ที่ไม่เอาแดงและไม่อยากนับญาติกับคนๆนั้น แต่ถึงผมจะฟ้าปชป.นะครับ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับคนในตระกูลผมว่ามันจะแตกแยกกันไปทำไม มันผิดเราก็ว่ามันผิด มันทำไม่ดีเราก็เตือนมัน สักวันมันอาจจะคิดได้ แต่ถ้าให้แตกแยกตัดพี่ตัดน้องกันผมว่ามันก็เกินไป

ผมจะเตือน เมื่อไม่เชื่อไม่เป็นไรครับ แต่วันที่ประเทศเกิดอะไรขึ้นมา ผมจะไม่ช่วยมันสักนิดเลย 



#19 nopz

nopz

    น้องใหม่

  • Members
  • Pip
  • 25 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 19:04

ใกล้​ถึงเวลา​แล้ว​คับ​ กองทัพสีเทา​ ชั่ว​เพื่อชาติ​ ทำความสะอาด​ ตะกวดเลวก่อน​ ภาระกิจแรก​ เถ้าถุลีเท่านั้น​ สำหรับ​พวกมัน

#20 พิฆาตอสูร

พิฆาตอสูร

    พอจะทนเสื้อแดงได้นิดๆ

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,786 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 21:42

ไม่สนับสนุนความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะจากคนที่มีจิตใจดีงามต่อประเทศชาติ

 

ใจจริงตอนนี้ อยากให้ใช้ยุทธวิธีแบบกองทัพมด

จิกกัดเล็กๆน้อยๆ แต่บ่อยๆ ถี่ๆ

มันมาเราก็หายตัว  มันลืมเราโผล่

 

ส่วนตัวคิดว่า...การมีมวลชนจำนวนมาสนับสนุนกฎหมาย

ก็ทำให้ ปปช. มีกำลังใจขึ้นมา

รอแต่ กกต. ให้มีความกล้า

 

มวลชนของเราทำได้ดีหลายอย่างแล้ว

โดยเฉพาะปลุกความกล้าในคนนับล้าน

เพราะฉะนั้น ไม่ควรทำให้ตัวเองต้องเสี่ยงและตกลงในทางไม่ดีงามอีก

 

จะว่าเป็นโลกสวยหรือไม่ก็ตาม แต่ก่อนก็คิดรุนแรงแบบนี้

แต่ตอนนี้..คงเพราะแก่แล้ว  ผ่านเหตุการณ์มาหลายครั้งในช่วงชีวิตนี้

ไม่อยากเห็นลูกหลานไทยต้องบาดเจ็บล้มตายอีก

ลำพังคอยขุดความเลวของมันมาแฉบ่อยๆ

บอกให้โลกรู้ ช่วยกันกระจายความเลว

ถึงช้า..แต่ไม่เป็นชัยชนะบนความบาดเจ็บทั้งปวง


ฟ้าสีทองผ่องอำไพ  ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


#21 กระต่ายหมายจันทร์

กระต่ายหมายจันทร์

    รู้ดินรู้ฟ้า หรือจะสู้รู้คน

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,394 posts

ตอบ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 22:24

จากความเห็นของเพื่อนๆ แล้วนึกขึ้นได้อยู่เรื่องคือ เหตุการณ์ถีบลงเขา เผาลงถังแดง

 

เหตุการณ์ “ถังแดง” หรือ รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “เผาลงถังแดง” เป็นเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐที่ใช้วิธีการรุนแรงนอกกระบวนการกฎหมายเพื่อลงโทษผู้ต้องสงสัยว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการคอมมิวนิสต์ในเขตจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงเวลาของทศวรรษ 2510 ปฏิบัติการที่ถูกกล่าวถึงในแง่ลบนี้ คือ การที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐด้วยวิธีการจับกุมผู้ต้องสงสัยมาใส่ในถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งใส่น้ำมันเชื้อเพลิงเอาไว้ในก้นถังประมาณ 20 ลิตร แล้วจึงเผาผู้ต้องสงสัยเหล่านั้น โดยที่ผู้ต้องสงสัยบางส่วนถูกทรมานจนเสียชีวิตมาก่อนหน้านั้น ในขณะที่บางส่วนซึ่งยังไม่เสียชีวิตก็จะถูกเผาทั้งเป็น

การเลือกใช้ความรุนแรงของรัฐที่มีต่อผู้ต้องสงสัยในเวลาดังกล่าว เป็นผลมาจากการหล่อหลอมความคิดเรื่องความชิงชังและความเป็นศัตรูระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐกับกลุ่มประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นผุ้ปฏิเสธอำนาจของรัฐบาล สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในยุคของสงครามเย็นซึ่งการต่อสู้กันทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองและทางการทหารระหว่าง 2 ขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ คือ ประชาธิปไตย และ คอมมิวนิสต์กำลังแพร่หลายทั่วไปทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ สำหรับพื้นที่จังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงนั้นก็เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวที่สำคัญทั้งทางการเมืองและทางการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่สำคัญในการปฏิบัติการทางการเมืองและการทหารของรัฐบาลไทยเช่นกัน

นับตั้งแต่ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เริ่มมีการเคลื่อนไหวของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นซึ่งที่เริ่มตื่นตัวทางการเมืองเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและความไม่พอใจที่กองทัพญี่ปุ่นคุกคามประเทศจีนและประเทศไทยในช่วงสงคราม กลุ่มชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนเหล่านี้เริ่มรวมตัวกันอย่างลับๆเพื่อดำเนินการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อสงครามสงบลงคนเหล่านี้ซึ่งซึมซับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มากขึ้นก็เริ่มเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองตามระบอบคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ต่างๆของภาคใต้ เช่น ตรัง หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และพัทลุง เป็นต้น และเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการและมีสมาชิกของพรรคเข้ามาปฏิบัติการทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ก็ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางการเมืองดังกล่าวและเข้าร่วมดำเนินงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากปัจจัยในเรื่องความยากลำบากในการดำเนินชีวิตและความไม่พอใจต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐทั้งในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นและกดขี่ข่มเหงประชาชนในพื้นที่

ในขณะที่การดำเนินงานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในภาคใต้เริ่มเติบโตและมีอิทธิพลต่อประชาชนในพื้นที่มากขึ้น บรรยากาศของความไม่เข้าใจและหวาดระแวงระหว่างรัฐกับประชาชนที่นิยมการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ก็เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของภาคใต้ก็ค่อยเติบโตขึ้นเช่นกัน บรรยากาศเช่นนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่มีแนวโน้มถึงการต่อสู้ด้วยการใช้กำลังอาวุธในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา ซึ่งมีการตั้งค่ายฝึกอาวุธให้สมาชิกที่บริเวณเขาประ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี และในปี พ.ศ. 2508 มีการฝึกอาวุธให้แก่สมาชิกในบริเวณเขาแก้วที่เป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดตรังกับจังหวัดพัทลุง โดยในเขตนี้ มีนายประสิทธิ์ เทียนศิริ หรือ กิ้ม หรือ แทน แซ่แต้ หรือ สหายชอบ หรือ สหายชิด เลขาธิการคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ภาคใต้ในระยะนั้น เป็นผู้นำที่สำคัญ และแบ่งเขตปฏิบัติการออกเป็น 3 เขต ดังนี้ ค่ายเขตเหนือมีกำลังประมาณ 60 คน มีพื้นที่ปฏิบัติการในตำบลเกาะเต่า ตำบลป่าพะยอม [1] และตำบลพนมวังก์ ในเขต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตำบลท่างิ้ว ตำบลหนองปรือ ของอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ตำบลท่าประจะ ตำบลท่าเม็ด ตำบลชะอวด และ ตำบลวังอ่าง ของ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ตำบลสามตำบล ตำบลร่อนพิบูลย์ และตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ค่ายเขตกลางมีกำลังประมาณ 46 คน มีพื้นที่ปฏิบัติการในตำบลเขาปู่ ตำบลเขาย่า ตำบลตะแพน และตำบลปันแต ของอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และตำบลปากแจ่ม อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ค่ายเขตใต้ มีกำลังพลประมาณ 55 คน มีพื้นที่ปฏิบัติการอยู่ในตำบลบ้านนา ตำบลเขาเจียก ตำบลท่ามิหรำ ตำบลชะรัด ตำบลร่มเมือง ตำบลโคกชะงาย ตำบลปรางหมู่ และตำบลน่าท่อม อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ตำบลเขาชัยสน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ตำบลละมอง และตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง[2]

จังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมีเงื่อนไขหลายประการที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจต่อการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็เริ่มเกิดเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2507 ที่บ้านควนปลง ใกล้ตัวเมืองพัทลุง โดยเริ่มจากกลุ่มแนวร่วมของขบวนการคอมมิวนิสต์ตัดสินใจยิงเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเพื่อแย่งชิงปืนไปใช้ในกองกำลังคอมมิวนิสต์[3] และต่อมาเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นอย่างเป็นทางการมีชื่อว่า “กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย” ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2512 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตภาคใต้จึงได้ประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธประจำภาคใต้ขึ้นใช้ชื่อว่า “กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย” ทางภาคใต้จึงได้ประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธประจำภาคใต้ขึ้นใช้ชื่อว่า “กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยประจำภาคใต้”[4]

หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในพื้นที่ภาคใต้สามารถหาสมาชิกและแนวร่วมได้มากขึ้น และสามารถขยายขอบเขตความเคลื่อนไหวไปสู่การใช้กำลังอาวุธ ทำให้รัฐบาลซึ่งมีนโยบายที่แข็งกร้าวในการต่อต้านการเติบโตของแนวคิดและขบวนการคอมมิวนิสต์ ได้เพิ่มความเข้มแข็งของการดำเนินงานด้านความมั่นคงและส่งหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้ามาประจำการในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งมีการเติบโตของขบวนการคอมมิวนิสต์มากเป็นพิเศษ ดังมีหลักฐานว่ากำลังทหารตำรวจเริ่มเข้าสู่พื้นที่จังหวัดพัทลุงในภารกิจปราบปรามการเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ในราวปี พ.ศ. 2507 โดยเข้ามาในพื้นที่ ตำบลเกาะเต่า ตำบลควนขนุน และชาวบ้านไปราว 50-60 คน ในข้อหาคอมมิวนิสต์และในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2509 ก็จับชาวบ้านกว่า 40 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ตำบลเกาะเต่า และบ้านสังแกระ ตำบลป่าพะยอม[5] ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 รัฐบาลได้ส่งกำลังทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และอาสารักษาดินแดน (อส.) มาตั้งฐานปฏิบัติการในหมู่บ้านบริเวณชุมชนเทือกเขาบรรทัดหลายจุดด้วยกัน[6] ต่อมา ในปี พ.ศ. 2517 รัฐบาลได้ส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้าประจำการในพื้นที่จังหวัดพัทลุง คือ บริเวณพื้นที่บ้านคลองหมวย ตำบลบ้านนา อำเภอเมืองพัทลุง จำนวน 1 กองพัน และแยกกำลังอีกส่วนหนึ่งไปตั้งที่บ้านท่าเชียด อำเภอตะโหมด เพื่อหมายจะปราบปรามคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซาก มีการใช้อาวุธสงครามที่มีอานุภาพสูงในการปฏิบัติการ มีการจับกุมแนวร่วมและสมาชิกของขบวนการคอมมิวนิสต์ในพื้นที่[7]

ภายใต้ปฏิบัติการด้านความมั่นคงเหล่านี้ทำให้มีชาวบ้านจำนวนมากถูกจับกุม และนำตัวไปสอบสวนในเขตพื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ชาวบ้านบางส่วนที่ถูกนำตัวไปสอบสวนในค่ายทหารบางแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ค่ายเกาะหลุง” ใน ตำบลบ้านนา และ “ค่ายท่าเชียด” ใน ตำบลตะโหมดเริ่มสูญหายไปเป็นจำนวนมาก[8] และเมื่อมีผู้มาสืบถามถึงผู้ที่สูญหายหลังจากการการถูกจับกุมมาให้สอบสวน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่จับกุมชาวบ้านมาสอบสวนก็จะชี้แจงว่าได้ดำเนินการปล่อยตัวคนเหล่านั้นกลับบ้านไปแล้ว แต่ต่อมาก็เริ่มมีการร่ำลือกันถึงการ “เผาลงถังแดง” แพร่ไปทั่วพื้นที่จังหวัดพัทลุง และพื้นที่ใกล้เคียง[9] เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งขึ้นก็ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตถึงการหายตัวไปดังกล่าว และเริ่มมีการโจษจันถึงการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กระบวนการ “ถังแดง” เพื่อจัดการกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นแนวร่วมหรือสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมักจะอ้างอิงถึงการพบกลุ่มควันไฟต้องสงสัยขนาดใหญ่ที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างบ่อยครั้งในเขตพื้นที่ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

ต่อมาเมื่อข่าวการสูญหายไปของประชาชนจำนวนมากในพื้นที่กลายเป็นที่โจษจันของชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น ทำให้ประชาชนจังหวัดพัทลุงและผู้ที่เกี่ยวข้องเริ่มนำเรื่องราวเหล่านี้ออกเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยเมื่อ13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาและแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เปิดอภิปรายที่สนามหลวง และมีแถลงการณ์กรณีถังแดง โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยุบ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)โดยด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ยุติการสังหารประชาชนในการปราบปรามคอมมิวนิสต์แบบเหวี่ยงแหและให้รัฐบาลใหม่ชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายทุกครอบครัว[10] 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ชาวบ้านจากจังหวัดพัทลุง พร้อมด้วยนายพินิจ จารุสมบัติ รองเลขาฝ่ายการเมืองศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นเพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับกรณีถังแดง ซึ่ง พล.อ.กฤษณ์ ยอมรับว่า เรื่องถังแดงนั้นได้เกิดขึ้นจริง พร้อมกันนั้นได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และเตรียมเสนอให้รัฐบาลใหม่ถอนกำลังจาก กอ.รมน. ให้หมดด้วย[11] ขณะที่นายอ่ำ รองเงิน ผู้แทนราษฎรจังหวัดพัทลุง 3 สมัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำกรณีนี้ไปอภิปรายในรัฐสภาและเปิดเผยต่อประชาชนร่วมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย[12] ผลพวงจากการเปิดเผยเรื่องราวของเหตุการณ์ “ถังแดง” ยังส่งผลกระทบต่อข้าราชการในพื้นที่ คือ นายจำลอง พลเดช ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ซึ่งเห็นด้วยกับการเปิดเผยข้อเท็จจริงในกรณีถังแดง แต่กลับถูกถูกนายวิญญู อังคณารักษ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นเรียกตัวเข้าพบและตำหนิในท่าทีดังกล่าว[13]

แม้จะเชื่อกันว่ามีผู้เสียชีวิตจากปฏิบัตินี้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถระบุถึงจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างชัดเจน โดยบางแหล่งข้อมูลระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 3,008 ราย[14] ในขณะที่ข้อมูลจากพันเอกวิจักขพันธุ์ เรือนทอง นายทหารผู้รับผิดชอบภารกิจด้านการเจรจากับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ภาคใต้ในเวลาต่อมาระบุว่าจำนวนดังกล่าวเป็นยอดผู้เสียชีวิตในกรณีคอมมิวนิสต์ทั้งหมดของจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และสุราษฏร์ธานี มิใช่กรณีของถังแดงเท่านั้น[15] ในขณะที่ พ.อ.หาญ พงศ์สิฏานนท์ ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายอำนวยการและประสานงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในในขณะนั้น ยอมรับในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ว่าข่าวที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน. ได้สังหารชาวบ้านจากหลายอำเภอของจังหวัดพัทลุง ด้วยการจุดไฟเผาซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 3,000 ศพ นั้นเป็นความจริง[16] และในท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของการสังหารโหดด้วยวิธีการถังแดงก็ไม่มีการติตตามอย่างจริงจังในการเอาผิดทางกฎหมายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับเหตุการณ์รุนแรงที่สำคัญอื่นๆอีกหลายครั้งที่กระทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อประชาชนในยุคสงครามเย็น

ผลจากกรณี “ถังแดง” ทำให้ชาวบ้านในเขตจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงก็ดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก เพราะประชาชนไม่กล้าเข้าเขตป่าเขาเพื่อหาของป่าหรือล่าสัตว์ รวมถึงไม่กล้าเข้าไปทำไร่ ทำสวนในเขตป่าลึก เนื่องจากเป็นเรื่องต้องห้ามจากทางการที่เกรงว่าชาวบ้านจะเข้าป่าเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของขบวนการคอมมิวนิสต์ ในทางกลับกันชาวบ้านจำนวนมากก็ไม่กล้าติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐเนื่องจากเกรงว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเพ่งเล็งว่าตนเป็นศัตรู[17] อย่างไรก็ตามพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ดังกล่าวก็เลือกใช้เรื่องราวของกรณี “ถังแดง” เพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนที่ไม่พอใจการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐให้หันมาเข้าร่วมดำเนินงานทางการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังกรณีของเพลง “ถังแดง” ที่ประพันธ์คำร้องและทำนองขึ้นโดย แสง ธรรมดา นักดนตรีใน “วงจรยุทธ์” ซึ่งมีหน้าที่เคลื่อนไหวทางด้านศิลปวัฒนธรรมและการเมืองให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ในเขตเทือกเขาบรรทัด

ถังแดง [18] ปังๆโวยว้าย เสียงเจ้านายรบกวน ค่ำมืดลมหวน เสียงมันชวนครางครัน

กระโดดลงใต้ถุนหลบกระสุนนาย กลิ่นควายตายโชยมา

เขาว่าพัทลุงสบาย ฉันว่าอันตรายแท้เชียว

จะไปทางไหนให้หวาดเสียว มันโกรธเรานิดเดียวก็ตาย

จับไปลงถัง ราดน้ำมันแล้วจุดไฟ ข้อหาคอมมิวนิสต์ มันคิดไป

จับเราใส่เตา แล้วเผาไฟ แล้วมันก็ป้ายสีแดง

บ้างเมียก็เสียผัว ถูกตัดหัวเสียบประจาน

มันขี้หกลูกหลาน ว่าสันดานเป็นคอมฯ

แท้จริงมันคือเจ้านาย หัวหน้าตัวร้ายไอ้สอพลอ

มึงต้องออกไปไอ้หัวหมอ ไอ้พวกสอพลอต้องออกไป

ชีวิตคนไทย มันขาย เป็นทาสรับใช้ไอ้กัน

พรากลูกเมียเขาเพื่อเอาเงิน แร่ไทยมันขนกัน สุดประเมิน แล้วยังสรรเสริญเยินยอ

อาจกล่าวได้ว่ากรณี “ถังแดง” อันเป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดของฝ่ายรัฐได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังได้สร้างความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในหมู่ประชาชนในเขตจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย ขณะเดียวกันกรณี “ถังแดง” ยังเป็นแรงขับให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายเกิดความรู้สึกหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ และนำไปสู่ความเกลียดชังที่มีต่อฝ่ายรัฐ และที่สุดแล้วผู้คนเหล่านี้ก็หันไปเข้าร่วมกับขบวนการคอมมิวนิสต์ โดยในบางครอบครัวได้อพยพครอบครัวไปเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับขบวนการคอมมิวนิสต์ในบริเวณเทือกเขาบรรทัด ทำให้ขบวนการคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ดังกล่าวมีจำนวนผู้ปฏิบัติงานมากขึ้นในเวลาต่อมา

http://www.kpi.ac.th...เขา_เผาลงถังแดง


อย่าให้ความชั่วร้ายครอบงำเรา  จนไม่รู้จักผิดชอบดีชั่ว


#22 ethanhunt

ethanhunt

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 213 posts

ตอบ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:31

คนเลวๆอย่างไอ้แม้วและบริวาร กระทืบตายคาตรีนมันง่ายไป
ผมชอบหนังเรื่อง Saw มาก

จับพวกมันทั้งหมดมารวมไว้ในห้องปิดตาย แล้วให้พวกมันฆ่ากันเอง ใครรอดเป็นคนสุดท้ายก็รอดชีวิต
ไอ้แม้วตายคนแรกแน่นอน 55

Edited by ethanhunt, 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 14:33.


#23 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 22:01

ผมเป็นคนเหนือ ญาติผมคนนึงเป็นแกนนำแดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียระดับนึง คนในครอบครัวก็ไม่เอาเหมือนกัน อันนี้รวมญาติพี่ปู่ย่าตายายลุงป้าหมดเลยนะครับ ผมว่าเกิน 90 % ที่ไม่เอาแดงและไม่อยากนับญาติกับคนๆนั้น แต่ถึงผมจะฟ้าปชป.นะครับ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับคนในตระกูลผมว่ามันจะแตกแยกกันไปทำไม มันผิดเราก็ว่ามันผิด มันทำไม่ดีเราก็เตือนมัน สักวันมันอาจจะคิดได้ แต่ถ้าให้แตกแยกตัดพี่ตัดน้องกันผมว่ามันก็เกินไป

 

 

แต่ถ้าญาติกระทำการที่เนรคุณต่อชาติบ้านเมือง เนรคุณต่อในหลวง ผมตัดนะครับ

แม่ผมเองแม้ "ใจคิด" (เพราะหลงเ้ชื่อทักษิณล้างสมอง) แต่ "การกระทำ"ของแกยังไม่มี

ผมก็เลยรับแม่ได้

 

สาเหตุที่ผมเลือก "ตัดญาติขาดมิตร" กับคนที่กระทำการเนรคุณต่อชาติบ้านเมือง ต่อในหลวง มีเหตุผลครับ

 

1. คนที่แม้แต่แผ่นดินแม่ยังทำร้ายได้  คนประเสริฐอย่างในหลวงยังทำลายได้

คิดหรือว่าญาติพี่น้องของเขา เขาจะทำลายไม่ได้?

 

แล้วคิดหรือว่าวันหนึ่งตัวเราขัดใจเขา เขาจะทำลายเราไม่ได้?

 

2. เป็นการประกาศหลักการของตระกูลว่าอย่าได้มีใครประพฤติเยี่ยงนี้อีก

ผมว่าทุกครอบครัวทุกวงศ์ตระกูล ต้องมีจุดยืนของตัวเอง

 

ภิรมย์ภักดียังประกาศจุดยืนมาแล้วเลยว่าไม่เอาธุรกิจไปยุ่งการเมือง

สุดท้ายน้องตั๊นต้องเปลี่ยนนามสกุลเลยคิดดู

นี่ขนาดน้องตั๊นทำความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน ยังโดนเลย

แล้วพวกเนรคุณชาติ ทรพีต่อในหลวงจะปล่อยไว้ทำไมหรือ?

 

3. เ็ป็นการ disassociate คือ "ตัดความเกี่ยวข้อง" จากวงศ์ตระกูลออกไป ทั้งนี้เพื่อ damage control-ป้องกันความเสียหาย

เหมือนที่ ณ ระนองออกมาประกาศว่าสิ่งที่กิตติรัตน์ทำ ไม่เกี่ยวกับวงศ์ตระกูล

ไม่อย่างนั้นใครเห็นนามสกุลก็เสียหายกันไปหมดครับ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 





ผู้ใช้ 2 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 2 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน