ฉะนั้น เมื่อประชาชนเห็นด้วยกับแนวทางการต่อต้านและการขับไล่รัฐบาลที่มีพฤติกรรมในทางการใช้อำนาจบริหารเพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง การไม่เคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ประชาชนจึงมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะรวมตัวกันตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในการต่อต้านการขับไล่รัฐบาลตามธรรมเนียมการปฏิบัติของประชาคมทั่วโลก ในการแสดงออกของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่รับรองไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง
และในประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็น บรรทัดฐานในการแสดงออกทางด้านการเมือง โดยได้รับรองการใช้สิทธิของประชาชนไว้โดยถูกต้องตามที่มีผู้ขอให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามเรื่องพิจารณาที่ 66/2556 ซึ่งโดยสรุป ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และเป็นการกระทำในนามประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ ส่วนการยึดสถานที่ราชการก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว... จึงยังไม่มีมูลกรณีที่เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย...” ดังนั้นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการยึดสถานที่ราชการ จึงเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้รัฐบาลอาจจะกล่าวหา แกนนำและเลขาธิการ กปปส. ในเรื่องการกระทำผิดหลายข้อหาหลายกระทง แต่การบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลนั้น รัฐบาลต้องทราบว่า เป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระ การกระทำความผิดในข้อหากบฏที่ได้มีการกล่าวหาแล้วนั้นก็เป็นเรื่องของการกระทำที่ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในขณะที่รัฐบาลได้ขอให้ศาลวินิจฉัย เท่านั้น ซึ่งก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามข้อเท็จจริงเป็นการ เฉพาะในสำนวนนั้นเท่านั้น และเป็นการเสนอข้อเท็จจริงของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว
แม้จะมีหมายจับออกมาจากศาลตามคำร้องของรัฐบาลนั่น ก็เป็นหมายจับตัวบุคคลตาม ข้อเท็จจริงเดิม ที่กล่าวหาว่า กระทำความผิด ซึ่งเป็นคนละกรณี รัฐบาลจึงไม่อาจนำหมายจับดังกล่าวมารวมเหมาเข่งถือว่า การที่ประชาชนที่ออกมา เดินขบวนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน กับขอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งที่ดูว่าไม่สุจริตยุติธรรมต่อรัฐธรรมนูญ นั้นมาถือว่า เป็นการสนับสนุนหรือเป็นตัวการในคดีข้อหากบฏทั้งหมดได้ เพราะความผิดตามกรรมเดิมนั้นได้จบไปตามพยานหลักฐานในชั้นนั้นแล้ว หากจะมี การกล่าวหาประชาชนว่าเป็นกบฏสนับสนุนการกบฏ รัฐบาลต้องสรุปพฤติกรรมของประชาชนให้เห็นชัดเจนและต้องนำข้อเท็จจริงนั้นไป เสนอต่อศาลให้ครบองค์ประกอบความผิด จะกล่าวหาอย่างกว้าง ๆ เพื่อปรามประชาชนไม่ให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการแปลความที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์รวมตัวกัน เพื่อแสดงออกซึ่งความเห็นและต่อสู้ความไม่เป็นธรรมได้โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่อย่างสำคัญในการที่ต้องเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนูญข้างต้น ไม่พึงแสดงออกถึงการไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่ 2 เพราะที่ผ่านมารัฐบาลก็ยังไม่มาชี้แจงแสดงเหตุผลให้ชัดเจนว่าการไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่อย่างไร หากรัฐบาลยังดื้อดึงดำเนินการกล่าวหาประชาชนที่ใช้สิทธิโดยสุจริตภายในกรอบของรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐบาลเองจะเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระด้างกระเดื่องต่อรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง ทั้งต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลก็ยังไม่เคยตอบประชาชนในเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริต เรื่องของการไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญแล้วอีกมากมายหลายกรณี เช่น การออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การที่พรรคร่วมรัฐบาลใช้สิทธิออกเสียงแทนกัน การปลอมแปลงเอกสาร เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง ความจริงรัฐบาลควรจะออกคำชี้แจงแสดงเหตุผลตอบข้อสงสัยของประชาชนในประเด็นต่างๆ ให้ครบถ้วน
เมื่อรัฐบาลไม่ทำประชาชนจึงมีสิทธิที่จะออกมารวมตัวกัน เพื่อแสดงพลังต่อต้านความไม่สุจริตไม่ซื่อสัตย์ของรัฐบาล โดยเฉพาะการไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของบรรดาผู้บริหารประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีกรณีใดที่จะมีกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลจะมาแถลงการณ์ข่มขู่ประชาชนที่มาใช้สิทธิประท้วงขับไล่โดยปราศจากอาวุธว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการสมคบกับผู้ก่อการกบฏ การใช้สิทธิของประชาชนดังกล่าวจึงชอบด้วยรัฐธรรมนูญและหลักกฎหมายสากล
http://www.thairath....tent/pol/394410
ทำอะไรระวังๆ ไว้บ้างเน้อ
ทำผิดแล้วจะมานิรโทษกรรมตัวเองอีกก็ไม่ได้แล้วนะโว๊ยย