ขอนำมาขยาย ช่วยกระจายแบ่งปันกันอ่านครับ ...
บวชล้างบาป อย่าหลอกตัวเอง (สารส้ม)
คนเรา เมื่อก่อกรรมทำชั่ว กระทำตัวเลวทรามต่ำช้า ทรยศคิดคดแผ่นดินเกิด ปลุกระดมเผาบ้านเผาเมือง ร่วมสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธฆ่าทหารฆ่าประชาชน ทำให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมบนแผ่นดินแม่ คนถูกฆ่าตาย บ้านเมืองวอดวาย ไฟลุกท่วมประเทศชาติ...
บาปกรรมชั่วช้าเช่นนี้ จะสามารถชำระล้างได้ด้วยการห่มผ้าเหลือง จริงหรือ?
1) บางคนเชื่อว่า บาปกรรมสามารถชำระล้างให้พ้นๆ ไปจากตนเองได้
ในบ้านเรา นักการเมืองหลายคนถึงกับลงทุน "บวชล้างบาป"
ก่อกรรมทำเข็ญ โกงบ้านกินเมือง กระทำเลวทรามเอาไว้แล้ว ก็ทำพิธีบวช
ถ้าจะให้ขลัง ก็มักเดินทางไปจาริก แสวงบุญที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย
ทำราว "พุทธคยา" เป็นสถานที่แห่งการล้างบาป เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีนักการเมืองหลายคน เดินทางไปสะเดาะเคราะห์ล้างบาปที่นั่นอยู่เป็นประจำ
2) ความเชื่อเช่นนี้ สะท้อนวิธีคิดตื้นเขิน
มองว่า การทำบาป เสมือนเป็นการเอาตัวเองไปคลุกกับโคลนตมที่สกปรก เมื่อต้องการจะกลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้ง ก็สามารถล้างมลทินพ้นตัว ชำระล้างบาปให้สะอาดได้ด้วยการซักล้าง
ง่ายๆ เหมือนซักผ้า
เพียงแค่เอาผ้าเหลืองมาห่มคลุมร่างกาย
นอนวัดสักเดือนสองเดือน
แค่นี้ ก็จะสามารถ "ล้างบาป" ลาสึกออกมาเป็น "คนใหม่" ที่ไร้มลทินติดตัว
เป็นการพยายามหลอกตัวเองที่คนโง่ที่สุด หรือไม่ก็ชั่วที่สุดเท่านั้น ที่จะกระทำได้อย่างแนบเนียน
3) เมื่อหลายปีมาแล้ว พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม เคยเทศนาธรรมไว้ว่า "ทำบุญเท่าไรก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป"
ขอเก็บความบางส่วนบางตอน นำมาเล่าไว้เป็นอนุสติ ดังนี้
3.1 การทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ไหว้พระสวดมนต์ ไม่ใช่เป็นการล้างบาป
บาปเป็นสิ่งที่ล้างไม่ได้
บาปที่ได้ทำไปแล้ว ย่อมมีผลตามมาไม่ช้าก็เร็ว
การทำบุญทำทาน การรักษาศีล ไม่ใช่เป็นการชำระบาป แต่เป็นการชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด
จิตใจที่สกปรกเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากในกาม ความอยากมีอยากเป็น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น ล้วนเป็น สิ่งที่สร้างความเศร้าหมองให้กับชีวิต
3.2 การทำบาปไว้มากๆ ผลที่จะตามมา มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ
ก.ผลที่ปรากฏขึ้นในใจ เมื่อทำไปแล้วก็จะเกิดความไม่สบายอกไม่สบายใจ
ข.ผลที่เกิดจากภายนอก เกิดจากบุคคลอื่นที่จะตอบแทนสิ่งที่เราทำกับเขา
เราสร้างความทุกข์ สร้างความเดือดร้อนให้กับเขา ย่อมสร้างความอาฆาตพยาบาท สร้างเวรสร้างกรรมไว้ เมื่อเขามีโอกาส เขาย่อมตอบแทนบาปกรรมที่เราทำไว้กับเขา การตอบแทนนี้ อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หรือช้า ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย บางอย่างอาจจะไม่เกิดขึ้นในชาตินี้เลย แต่จะตามไปในภพหน้าชาติหน้า บาปที่เคยทำไว้แล้วในอดีต แต่ยังไม่ได้มีโอกาสแสดงผล ก็อาจจะตามมาปรากฏผลขึ้นในชาตินี้ก็เป็นได้
ค.จะเป็นนิสัยไม่ดีติดตัวไป
เวลาพูดโกหก ลักขโมย ฯลฯ ก็จะติดนิสัยไป ทำให้ง่ายต่อการกระทำบาปครั้งต่อไป จึงยากต่อการเลิกกระทำ เช่นเดียวกับการกระทำความดีหรือทำบุญ ก็มีผลแบบเดียวกับบาป เพียงแต่ว่าเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือเป็นผลดี เวลาทำดีในใจเราก็มีความสุข เวลาทำดีต่อผู้อื่น ผู้อื่นย่อมมีความชื่นชมยินดีในตัวเรา เวลาเห็นเราเดือดร้อน มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือ เขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ มันก็จะติดตัวไป ทำให้ทำความชั่วได้ยาก
3.3 เมื่อบาปล้างไม่ได้แล้ว คนเราควรทำอย่างไรกับบาปที่มีอยู่?
เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ต้องเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้ทำแต่ความดี ละเว้นจากการกระทำชั่ว ละความอยากมีอยากเป็น จิตใจเราก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าอยากจะชำระ ก็ขอให้ชำระกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจของเรา อย่าไปชำระบาป
บาปนั้นชำระไม่ได้ ถ้าไม่อยากจะรับผลของบาป ก็อย่าไปทำเสีย ตั้งแต่วันนี้
ส่วนผลของบาปในอดีต ก็จะค่อยๆ แสดงออกมา แล้วจะค่อยๆ หมดไป
เหมือนกับการใช้หนี้
เรามีหนี้ ถ้าเราไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ หนี้เก่าเราก็ทยอยใช้คืนไปเรื่อยๆ ผ่อนไปทีละเดือน เดี๋ยวหนี้เก่ามันก็หมดไปเอง แต่ถ้าทำบาปทำกรรมอยู่ หนี้สินใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก เวรใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าไม่ต้องการรับผลบาปต่อไป ก็ต้องละเว้นจากการกระทำบาป
สารส้ม
วันที่ 17/1/2012
http://www.naewna.co...s.asp?ID=296834
"คนพูดโกหก ไม่ทำชั่วอื่นไม่มี"
สำหรับบางคนแล้ว แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำหรือกำลังจะทำนั่น เป็นความชั่ว
แต่ก็ยังคิดจะทำ แม้จะเป็นการเบียดบัง เอาความศรัทธาในศาสนาบังหน้า...
เพื่อสนองตอบ ต่อกิเลส ตัณหา ความอยากมี อยากได้ อยากเปนของตนเอง...
นรกกินกบาลไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ๆ
