Jump to content


Photo
* - - - - 1 votes

Shutdown Bkk สองนคราฯ ที่เปลี่ยนไป โดย ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด


  • Please log in to reply
21 replies to this topic

#1 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 22:44

Shutdown Bangkok สองนคราฯ ที่เปลี่ยนไป

Sunday, 19 January, 2014 - 00:00

 

 

 

          สถานการณ์การเคลื่อนไหวชุมนุม Shutdown Bangkok ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เข้มข้นทุกขณะ โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดเข้าใส่ขบวนประชาชนที่มีสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เป็นผู้นำเดินเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณถนนบรรทัดทอง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บทันทีรวม 38 ราย

    ปรากฏการณ์มวลมหาประชาชน-กปปส.ที่เกิดขึ้นมาเกือบ 3 เดือน มีหลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์กันไปแล้วมากมาย โดยเฉพาะนักวิชาการหลายสำนัก แต่คนหนึ่งที่จะมองปรากฏการณ์ครั้งนี้และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้เป็นอย่างดี ย่อมมีชื่อ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต-อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเป็นทั้งนักวิชาการและอดีตนักการเมือง-อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์, อดีตหัวหน้าพรรคมหาชน เจ้าของทฤษฎี "2 นครา ประชาธิปไตย" ที่มักถูกใช้อธิบายการเมืองไทยในหลายปรากฏการณ์กับบทสรุปตอนหนึ่งของทฤษฎีที่ว่า “คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล แต่คนกรุงล้มรัฐบาล”
 



#2 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 22:46

*
POPULAR

“เอนก” ยอมรับว่ายากจะประเมินได้ว่าสถานการณ์นับจากนี้จะนำพาไปเจออะไร สิ่งที่สนใจมากกว่าการคิดว่าฝ่ายไหนใครจะแพ้ ใครจะชนะ ก็คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นภาพได้ชัดว่า เวลานี้สังคมการเมืองไทย กลุ่มบุคคลที่จะมีความสำคัญ-ทรงอิทธิพลการเมืองมากขึ้นทุกขณะก็คือกลุ่ม "ชนชั้นกลาง" ที่จะเป็นกลุ่มซึ่งกำหนดความเป็นไปทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ ซึ่งการขยายตัวและความสำคัญที่มากขึ้นของชนชั้นกลางจะเป็นการบ้านข้อใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่เคยคิดว่าจะยึดกลุ่มฐานคนชนบท-คนรากหญ้าเป็นฐานเสียงใหญ่ทางการเมืองตลอดไป นับจากนี้จะคิดแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ขณะเดียวกันก็เห็นว่าการขับเคลื่อนของ กปปส.เองก็ต้องปรับท่าทีตัวเองต่อคนรากหญ้า-ชาวชนบท โดยเฉพาะคนอีสาน-ภาคเหนือ โดยต้องดึงมาเป็นพวกแทนที่จะผลักให้อยู่กันคนละฝั่ง

เริ่มสนทนา "ดร.เอนก” ยอมรับว่ากับปรากฏการณ์มวลมหาประชาชน หลายคนคงช็อกพอสมควร ไม่มีใครคาดคิด ถ้าเรายอมรับความจริงกันทั้ง 2 ฝ่าย ก็ต้องเห็นแล้วว่ามวลมหาประชาชนมันใหญ่จริงๆ มันไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ ภาพการชุมนุมที่ผ่านมาของ กปปส.หลายครั้ง ในฐานะที่เคยร่วมชุมนุมตอน 14 ตุลาคม 2516 จนถึงปัจจุบันร่วม 40 ปี ก็ไม่เคยเห็นม็อบอะไรที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้คนทั่วไปก็คิดว่าตอนมีม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 52 และ 53 มันก็ยกระดับการเมือง เพราะคนในชนบท ต่างจังหวัดที่ฐานะรายได้ไม่ค่อยจะพอกินมากันเยอะ ตอนเสื้อแดงผมก็ศึกษาติดตามด้วยความพิศวงด้วยความสนใจ

…คิดว่าการเคลื่อนไหวคราวต่อๆ ไปมันก็น่าจะมากขึ้นเรื่อยและมากเหลือเกิน สิ่งที่เกิดขึ้น สมมุติผมหลับไป 10 ปีแล้วตื่นมาอีกที แล้วเห็นภาพการชุมนุมของมวลมหาประชาชน ผมจะต้องคิดก่อนทีแรกว่าเป็นม็อบเสื้อแดง แต่ที่จริงกลับเป็นกลุ่มประชาชนใช้สัญลักษณ์ธงชาติที่ไม่เอาทักษิณ เป็นกลุ่มคนชั้นกลาง คนชั้นสูงในกรุงเทพฯ แล้วก็ชนชั้นกลางระดับล่าง ชนชั้นกลางธรรมดาจากภาคใต้เข้ามาหนุนคนกรุงเทพฯ บางคนก็บอกว่าสัดส่วนอยู่ที่คนกรุงเทพฯ 70 คนใต้ 30 บางคนก็บอกว่าคนใต้ 20 คนกรุงเทพฯ 80 เปอร์เซ็นต์
 



#3 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 22:50

...จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ได้มานั่งไตร่ตรองดูแล้วก็คิดว่า เวลาเราคิดถึงม็อบชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง ถ้าเราใช้กรอบที่ว่าพวกนี้เป็นคนส่วนน้อยของสังคม เป็นผู้ลากมากดี เป็นพวกตีนไม่ติดดิน ถ้าคิดแบบนี้คนพวกนี้น่าจะน้อยในการชุมนุม แต่ปรากฏว่ามันเยอะเหลือเกิน ผมก็เลยได้คิดว่าการเปลี่ยนมาเป็นคนชั้นกลางในประเทศไทยเอาเข้าจริงๆ ดูแล้วมันเป็นได้ไม่ยาก ยิ่งตอนนี้สภาพการเมืองมันก็กำลังเกิดขึ้นและขยายตัวมากมาย เรามีเมืองใหญ่ๆ นอกจากกรุงเทพฯ แล้วก็ยังมีอีกเป็นสิบๆ เมือง

…คิดไปคิดมาพวกรากหญ้าที่เป็นฐานของพรรคเพื่อไทยมันก็ไม่พอที่จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะไม่พอที่จะเข้ามาชุมนุมมาเดินขบวน เมื่อเทียบกับจำนวนคนชั้นกลางที่อยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงคนชั้นกลางที่ออกไปในทางคนชั้นสูงที่ 2 กลุ่มนี้เมื่อมารวมกัน ยิ่งเมื่อไปรวมกับกองหนุนที่มาจากภาคใต้ ฝ่ายของเพื่อไทยเทียบกันไม่ได้ แต่ถ้าไปหย่อนบัตร โดยประชาธิปัตย์ส่งคนลงเลือกตั้ง ผมก็ยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมาจะชนะน้อยลงหรืออาจจะเป็นคะแนน 2 พรรคเท่าๆ กัน
ในวันนี้อยากบอกไปยังเพื่อไทยและเสื้อแดงว่า อย่าไปใช้กรอบเก่าที่มองว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมคือคนรากหญ้า คนชนบท คนต่างจังหวัด แล้วจะต้องชนะแบบมั่นคงกับการเอารากหญ้าเป็นฐานทางการเมือง เพื่อไทยต้องสนใจชนชั้นกลางให้มากและต้องว่าชนชั้นกลางมีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา ไม่งั้นจะเห็นคนเป็นแสนเป็นล้านที่ไปร่วมชุมนุม กปปส.แบบนี้ได้อย่างไร

ตอนนี้ชนชั้นกลางในประเทศไทยถ้ามีการสำรวจกันจะมีอยู่มากแค่ไหน แต่คิดว่าถ้าไม่นับแบบเคร่งครัดจนเกินไป มันก็น่าจะถึงครึ่งหนึ่งของประเทศแล้ว ทางทักษิณ เพื่อไทย คนเสื้อแดง ก็ต้องปรับทั้งวาทกรรม ทฤษฎีและโลกทัศน์ครั้งใหญ่ ที่สะดุดใจผมที่สุดก็คือผมได้คุยกับพวกที่เป็นชาวนา ที่ย้ายถิ่นฐานมาทำงานในกรุงเทพฯ มาเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ขับแท็กซี่ แม่ค้า ทำงานบริการอะไรต่างๆ เขาก็มีลูก ลูกเขาก็เรียนหนังสือมีทั้ง ม.ปลาย หรือไม่ก็ระดับอุดมศึกษา เขาก็เล่าให้ฟังว่าลูกๆ ของเขาก็ไปร่วมชุมนุมเดินขบวนด้วยตอนนี้

มันก็เป็นที่เข้าใจได้ว่ารากหญ้าควรช่วยเหลือ แต่ว่ามันไม่ใช่อนาคต เพราะทุกคนในอนาคตใครก็อยากเป็นคนชั้นกลางกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเป็นรากหญ้าอยู่อย่างนั้น เพื่อไทยที่ไปยึดรากหญ้าแบบใช้ประชานิยมเพื่อดึงกลุ่มรากหญ้าไว้จะมีงานที่ต้องทำเพิ่มขึ้นอีกแล้ว มันหยุดแค่นั้นไม่ได้

มันต้องคิดต่อไปว่า ความใฝ่ฝันของคนรากหญ้าไม่ได้หยุดแค่ที่ได้ประชานิยม แต่เขาอยากเป็นชนชั้นกลาง สิ่งที่ให้ประชานิยมไปเขาก็คิดว่ามันก็ดีกว่าไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาอยากได้อะไรที่ดีกว่าประชานิยม พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เขาอยากได้เป็นชนชั้นกลาง ไม่มีใครอยากเป็นรากหญ้า น้อยคนมากที่อยากจะเป็นรากหญ้า”
 



#4 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 22:53

*
POPULAR

ชนชั้นกลาง กลุ่มทรงอิทธิพลการเมืองไทย

 “ดร.เอนก” ระบุว่า กับการขยายตัวและความสำคัญที่มากขึ้นของ "ชนชั้นกลาง" ทำให้เห็นได้ว่า ชนชั้นกลางคืออนาคต ขณะที่คนรากหญ้า-คนชนบท กำลังกลายเป็นอดีต ที่ความสำคัญในสังคม-การเมืองไทยจะเริ่มลดน้อยลงเรื่อย เพราะอะไร ดร.เอนกถึงคิดแบบนี้ เขาขยายความไว้ดังนี้

...จากที่พูดไว้ข้างต้น เป็นเรื่องที่ผมพยายามคิดพยายามถอดมันออกมา ส่วนนักวิชาการก็อย่าใช้แต่ประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ประเทศอื่นๆ มามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ นักวิชาการของเราโดยเฉพาะที่เคยผ่าน 14 ตุลา 16 มีจิตใจที่ดีงาม คือสงสารและเห็นใจคนจน ชนชั้นล่าง ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อย่าไปคิดกลับกันว่า ชนชั้นกลางเป็นตัวร้ายเป็นปฏิปักษ์กับเขา เพราะคิดอีกแง่หนึ่งชนชั้นกลางคืออนาคตของสังคม ถ้าสังคมไทยไม่พัฒนาไม่เปลี่ยนแปลงเลย ชนชั้นกลางไม่ใช่อนาคต เพราะว่าคนก็จะจมอยู่กับความจน ความเป็นรากหญ้าไปอีกนานแสนนาน คนรากหญ้าก็จะเป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตของสังคม แล้วคนชั้นกลางก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในประเทศไทยชนชั้นกลางเกิดได้ไม่ยาก

ถ้าพูดแบบไม่ระมัดระวังกันเกินไป ผมว่าที่ไหนๆ ก็กำลังเกิดชนชั้นกลาง เพราะเมื่อมีการสร้างมหาวิทยาลัยกันมากขนาดนี้ที่ไม่ว่าคุณอาจจะจบวิชาชีพ หรือจะจบมหาวิทยาลัย คุณก็จะเริ่มเป็นชนชั้นกลางแล้ว โดยเฉพาะเมื่อไปทำงานก็จะมีความเป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ยิ่งเมื่อไปดูในเกือบทุกภาคก็จะเห็นได้ว่าตอนนี้เกิดเมืองใหญ่โตขึ้นมากมายไม่ว่าภาคไหน หลายที่กำลังกลายเป็นเมือง โดยที่ชนบทกำลังเล็กลงเรื่อยๆ บางคนบอกชนบทไม่มีเสียแล้วด้วยซ้ำ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นเมืองขนาดเล็กแล้วไม่ใช่ชนบทแล้ว

 

ปัญหาใหญ่ของเพื่อไทยก็คือ ชนบทกำลังหาย กำลังหมดไปเรื่อยๆ กลายเป็นเมืองขนาดเล็ก อันทำให้คนในเมืองก็เริ่มคิดจะเป็นคนชั้นกลางมากขึ้น ชนชั้นกลางคือกลุ่มคนที่เป็นพวกคนของวันพรุ่งนี้ ส่วนรากหญ้าคือวันนี้และเมื่อวาน

นักวิชาการโดยเฉพาะที่มีพื้นฐานเรื่องลัทธิมาร์กซ์ก็ต้องสนใจกลุ่มพลังที่เกิดใหม่ แทนที่จะดูแค่ว่าฝ่ายหนึ่งเป็นทุนเก่า อีกฝ่ายเป็นทุนเกิดใหม่ แล้วบอกว่าทุนใหม่ต้องชนะทุนเก่า ผมก็อยากคิดเหมือนกันว่าการมองเรื่องคนรากหญ้ากับคนชั้นกลาง ใครใหม่ใครเก่า
ในความเห็นผม ชนชั้นกลางคือพวกใหม่เกิดใหม่ มีความคึกคักเข้มแข็ง ส่วนรากหญ้าเกิดมานานแล้วมันเก่า
ที่เอารากหญ้ามาเทียบกับชนชั้นกลาง เพราะนี่คือเนื้อหาคือปริมาณของพลัง 2 พลังที่กำลังขับเคี่ยวกัน ตรงนี้ทำให้เราต้องมีการปรับวิธีคิด ตอนปี 53 ผมเคยคิดว่า ถ้าพูดถึงการเมืองแบบมวลมหาชนต้องเป็นการเมืองของชนชั้นล่าง แต่พอมาเห็นการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าในประเทศไทยม็อบของมวลมหาชนกลายเป็นม็อบของชนชั้นกลางไป”
 

 



#5 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 22:58

*
POPULAR

- ชนชั้นกลางจะเป็นกลุ่มชี้ขาดการเมืองนับจากนี้ไป?

 

ใช่ ทำให้ต่อจากนี้ทั้ง 2 พรรค 2 ขั้ว (เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์) ต้องตระหนักและสร้างชุดความคิดใหม่ขึ้นมา ต้องบอกว่าผมรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้ใช้ชีวิตเกิดมาในประเทศไทยในยุคนี้ ซึ่งทุกอย่างเปลี่ยนเร็วเหลือเกิน ชุดความคิดหนึ่งที่เคยใช้ได้ผล ผ่านมาอีก 2 ปีก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว

 

อย่างวาทกรรมเรื่องไพร่-อำมาตย์ เมื่อปี 53 มาวันนี้ใช้ไม่ได้อีกแล้ว จะไปบอกว่าพวกที่ชุมนุมตอนนี้เป็นอำมาตย์ก็ไม่ใช่ และไม่เห็นว่าอำมาตย์มาสั่งอะไรผู้ชุมนุม แล้วก็เห็นได้ว่าผู้ชุมนุมไม่ได้เรียกหรือเชื้อเชิญทหารให้ออกมายึดอำนาจออกมารัฐประหาร แล้วก็ไม่ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

ดังนั้นทั้ง 2 ฝ่ายรวมถึงที่อาจจะมีฝ่ายที่ 3 ต้องปรับความคิดไปตามข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเพื่อไทย-เสื้อแดงจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของชนชั้นกลางให้มากขึ้น และที่เห็นอีกอย่างคนที่ออกมาร่วมครั้งนี้ส่วนใหญ่คือไม่พอใจเรื่องคอร์รัปชัน และไม่พอใจการผูกขาดอำนาจอยู่แต่ในวงศ์ตระกูล 

นอกจากนี้สิ่งที่เพื่อไทยต้องคิดให้มากขึ้นคือ อะไรที่ทำให้กับรากหญ้าอย่าประมาท อย่างกรณีที่ชาวนาที่เข้าร่วมในโครงการรับจำนำข้าวเวลานี้เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ต้องทำให้มีประสิทธิผลและซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงต้องหาวิธีให้มากกว่าการเลี้ยงคนรากหญ้าให้เป็นรากหญ้าไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่ความใฝ่ฝันของคนรากหญ้า สิ่งที่เขาต้องการคือไปเป็นชนชั้นกลาง

 

…จึงต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง เช่น จัดการศึกษาให้ดีขึ้น ต้องเริ่มคิดเรื่องปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปภาษีอากร เพราะไม่เช่นนั้นจะทำประชานิยมต่อไปได้อีกไม่นาน เพราะประชานิยมจะยั่งยืนต้องเป็นสวัสดิการนิยม คือต้องจัดเก็บภาษีมาจ่าย ไม่ใช่ไปใช้วิธีการกู้อยู่เรื่อยๆ มันไม่ได้ เพราะไม่งั้นสถานะของประเทศจะบั่นทอน

 เพราะข้อสรุปที่ผมได้มาคือคนไทยไม่โง่ เรียนรู้เร็วมาก อย่างตอนนี้ที่เสื้อแดงออกมาไม่มากอาจไม่ใช่แค่รัฐบาลไม่อยากให้มีการปะทะกันเท่านั้น แต่อาจเพราะมวลชนคนเสื้อแดงเองก็เริ่มคิดใหม่ปรับความรู้สึกใหม่ บางคนก็อาจกำลังคิดว่าคราวหน้าจะไม่เลือกมันทั้ง 2 พรรค หาพรรคใหม่ ไม่งั้นก็ทะเลาะกันไม่หยุด ผมว่ามันเริ่มจะมีคนคิดแบบนี้ตอนนี้แม้อาจไม่มาก แต่จะเริ่มคิดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อขอให้วิเคราะห์ว่า เหตุใดการชุมนุมของ กปปส. โดยเฉพาะในการนัดหมายสำคัญแต่ละครั้งคนยังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่บางข้อเสนอของ กปปส.ก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ เช่น การให้ยิ่งลักษณ์ลาออกแล้วจะให้มีรัฐบาลรักษาการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่ดูแล้วชนชั้นกลางไม่น่าจะรับแนวทางนี้ได้ แต่ทำไมกลับมีคนออกมาร่วมมาก? ประเด็นนี้ “เจ้าของทฤษฎี 2 นคราประชาธิปไตย” มองว่า เรื่องประชาธิปไตยก็ไม่ได้หมายความว่าชนชั้นกลางจะต้องชอบประชาธิปไตยเสมอไป นักวิชาการชอบประชาธิปไตย แต่คนชั้นกลางไม่ใช่นักวิชาการทั้งหมด เขาก็ต้องเห็นอะไรตามที่เขาเห็นแล้วก็อาจไม่ได้เรียนมาทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ด้วย ประชาธิปไตยที่เขาต้องการก็ไม่ได้เหมือนกับประชาธิปไตยที่เขาเห็น เขาก็เชื่อว่าประชาธิปไตยคือการปกครองที่ดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ที่นี้พอเขาเห็นประชาธิปไตยในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลสมัยไหน เขาก็อาจมองว่าไม่ใช่รัฐบาลที่ดี ไม่ใช่รัฐบาลที่เก่ง ไม่ใช่รัฐบาลที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ แล้วจะให้เขายอมรับว่าเราต้องยอมรับ เพราะมันเป็นหลักประชาธิปไตย
 

ผมก็คิดว่า เขาก็ไม่ยอมรับแล้วถ้าเราทำงานการเมืองแล้วไปบอกว่าเขาผิดเราก็คงลำบาก นักการเมืองที่ดีและรัฐบุรุษก็ต้องเอาความเข้าใจของคนชั้นกลางไปบวกด้วยว่าคนชั้นกลางต้องการประชาธิปไตยแบบนี้ เลือกตั้งไม่ขัด แต่ว่าเลือกตั้งแล้วมีรัฐบาลพรรคเดียวแล้วทำเรื่องดี ฟังความเห็นคนด้วย เก่งด้วย อันนี้ไม่ขัด แต่เมื่อเราทำให้เขาไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องคิดเช่นว่าทำให้ไม่มีฝ่ายค้านได้ไหม ทำให้ฝ่ายค้านเหลือน้อยที่สุดได้ไหม แล้วทำอะไรต่ออะไรให้เป็นรูปของทวิภาคีให้มากขึ้นได้ไหม อย่าให้ผู้นำฝ่ายค้านไปทำหน้าที่ด่าเราอย่างเดียวในสภาฯ ถ้าไม่เอาคนของฝ่ายค้าน ก็เอาคนที่ไม่เป็นที่ขัดใจของฝ่ายค้านมาอยู่ในรัฐบาลให้มากขึ้นได้ไหม แบบนี้ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ พอเข้าไปเป็นรัฐบาลก็เข้าไปล้าง ไปปลดไปเลิกกันเยอะ

 

มันก็ต้องปรับวิธีคิดต่อคนชั้นกลาง จะไปด่าไปน้อยใจคนชั้นกลาง มันเหมือนไปถ่มน้ำลายรดฟ้า เพราะมันมีเยอะ แล้วมีบทบาท ออกมาเดินบนถนนได้อะไรได้ มันก็ต้องคิดใหม่ เราจะไปให้คนชั้นกลางเปลี่ยนมันยากกว่าการที่เราจะเปลี่ยนเอง มันก็เป็นการบ้านที่ใครเป็นรัฐบาลก็ต้องเอาไปคิด ถึงในอนาคตประชาธิปัตย์หากวันข้างหน้ากลับมาเป็นรัฐบาลใหม่ ประชาธิปัตย์ก็ต้องเจอกับคนชั้นกลางแบบนี้ แล้วก็อย่าคิดว่าพวกนี้เป็นพวกประชาธิปัตย์ มันก็ถึงจุดที่ต้องคิดกับการเมืองใหม่ ก็ต้องปรับ

 

แล้วที่คุณไปคิดกันว่าประชาธิปไตยของไทยมีอำมาตย์ แต่วัฒนธรรมของคนไทย ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องต่อต้านอำมาตย์ ถ้าอำมาตย์ดี อำมาตย์ช่วยเหลือและสนใจประชาชน ก็ไม่จำเป็นอะไรต้องต่อต้านอำมาตย์ ประชาธิปไตยของคนไทยต้องมีทั้งอำนาจของประชาชน ฟังความเห็นประชาชนด้วย เวลามีม็อบอะไร ก็คนไม่กี่พันหรือจะเป็นล้านยังไง ก็ยังเป็นข้างน้อยอยู่ แต่ก็ต้องฟัง แล้วอะไรที่ปรับแก้ได้ก็ต้องปรับแก้ตาม

 

มันจะน้อยใจหรือประณามคนชั้นกลาง มันก็เป็นความคิดที่ประหลาด ในทางกลับกัน คุณจะไปโกรธคนชั้นล่าง คนรากหญ้า ไปเย้ยหยันคนรากหญ้า อันนี้ก็พิลึก คุณทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก มีแต่คุณต้องไปศึกษา เรียนรู้จากพวกเขาแล้วก็ต้องปรับการเมืองของคุณให้ตอบสนองกับคน 2 กลุ่มนี้ให้ได้ กับคนชั้นสูงอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ 2 ขั้วนี้ เพราะจำนวนมันเยอะ

 

 

 


Edited by aiwen^mei, 20 January 2014 - 23:16.


#6 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 23:06

*
POPULAR

- กระแสตอบรับ กปปส.มีต่อเนื่องเป็นเพราะประชาชนเห็นด้วยว่าปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง หรือว่าเพราะไม่เอาระบอบทักษิณ?

 

ผมก็ไม่รู้ ผมตอบแทนเขาไม่ได้ ก็คงจะไปด้วยกัน แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่ง ผมฟังคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ตอบคำถามในโทรทัศน์ที่ว่าทำไมคนกรุงเทพฯ ออกมาเยอะ คุณชูวิทย์ตอบว่า เพราะคนกรุงเทพฯ รู้น้อยไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่เช้าไปรับลูก ไปทำงาน เสร็จแล้วกลับบ้านก็นอน เขาย้ำว่าคนกรุงเทพฯ รู้น้อย รู้น้อย ก็น่าสนใจในแง่ความคิดเห็นของเขา คือบางครั้งก็อาจมองอย่างนั้นได้

 แต่ว่าการที่ประชาชนคนเป็นแสนเป็นล้านออกมาไม่หยุด ตั้ง 2 เดือนไม่หยุด มันก็ได้แง่คิดแล้วว่าเขาไม่ได้ออกมาเพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่ได้ออกมาเพราะโง่หรือถูกหลอก คนเราถูกหลอกได้ แต่มันจะถูกหลอกมา 2 เดือนได้หรือ คนเราอาจทำอะไรโดยไม่คิดได้ แต่ว่ามันไม่ได้คิดมา 2 เดือนมันไม่ได้หรอก ผมจึงคิดว่าแทนที่จะมองว่าคนกรุงเทพฯ รู้น้อย คนกรุงเทพฯ ถูกยุถูกหลอกอะไรแบบนี้ แต่มันผ่านมา 2-3 เดือนแล้ว ผมว่ามันต้องปรับความคิดแล้ว มันไม่ใช่ เพราะนี่เขาไปกันไม่หยุด แสดงว่าเขาต้องมีความมุ่งมั่นของเขา แต่จะเป็นอะไรก็ต้องไปค้นหากันเอาเอง มันไม่ใช่การถูกหลอกแล้ว เพราะเขามีความมุ่งมั่นสูงมาก

 

ก็เช่นเดียวกัน ตอนม็อบเสื้อแดงปี 53 เขาก็มีความมุ่งมั่นของเขา ขนาดยอมตายกันได้มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว ดังนั้นเรามีการเคลื่อนไหวของ กปปส.ตอนนี้ก็อย่าไปลืมตอนช่วงชุมนุมปี 53 ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เมื่อมีบทเรียนตอนชุมนุมเสื้อแดง รัฐบาลเวลานี้ก็พยายามจะไม่ใช้ความรุนแรง อันนี้ก็ต้องชมเขา แต่มันก็ไม่ใช่ความดีความชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะฝ่ายมวลมหาประชาชนก็เอาบทเรียนจากชุมนุมเสื้อแดงปี 52 และปี 53 มาคิดเหมือนกันว่า ทำยังไงไม่ให้รุนแรง แล้วก็เอาบทเรียนของปี 49 มาคิดด้วยคือว่า อย่าไปฝากความหวังไว้ที่การรัฐประหาร

 

- โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะประคองอำนาจไปเรื่อยๆ นับจากนี้เหลืออยู่แค่ไหน?

 

ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ทักษิณต้องปรับวิธีคิด กระบวนการทางความคิด เรื่องที่คิดจะกลับมาอาจต้องเลิกคิด หรือคิดให้น้อยลง คิดให้ช้าลง ไม่ต้องรีบกลับ ต้องปรับ ไม่ใช่คิดแต่จะเอาคนในตระกูลชินวัตร, ดามาพงศ์, วงศ์สวัสดิ์เท่านั้นมาเป็นนายกฯ  หรืออาจต้องคิดไปถึงขั้นที่ว่า ต้องให้อิสรเสรีกับพรรคและหรือรัฐบาลมากขึ้น คือจะดูก็ต้องดูแบบห่างๆ ไม่ใช่มาดูใกล้ชิดแบบนี้ การแต่งตั้งข้าราชการต้องให้เขาแต่งตั้งไปเลย ไม่ใช่ว่าใครอยากได้ตำแหน่งอะไรก็บินไปหานายใหญ่หมด ก็จะไม่ได้ใจของข้าราชการ ไม่ได้ใจของประชาชนที่ดูอยู่

ผมก็ยังไม่อยากบอกตอนนี้ว่าได้หรือไม่ได้ยังไง เพราะเขากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่น่าหวั่นไหว เพราะถ้าต่อสู้กับอำมาตย์หรือต่อสู้กับอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่า คือยังมีโอกาสที่จะเคลื่อนไปได้ แต่ถ้าเขาต่อสู้กับคนชั้นกลางจำนวนมากขนาดนี้ ที่เรียกว่ามวลมหาประชาชนก็ลำบาก มันจะยืดเยื้อ โดยเฉพาะถ้าที่ผมคิดวิเคราะห์ไว้มันถูกคือ คนชั้นกลางคือปัจจุบันและอนาคต พรรคเพื่อไทยต้องปรับว่าจะทำอย่างไรให้เอาชนะใจคนชั้นกลางได้ ถ้าเขายังคิดอยู่แบบทุกวันนี้ ก็ต้องปรับยุทธวิธี, ยุทธศาสตร์ การจัดตั้งใหม่เยอะ

 

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องปรับขบวน เขาต้องคิดว่าพวกประชาชนที่ออกมาร่วม กปปส. ไม่ใช่พวกประชาธิปัตย์ อาจจะมีบางส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยกขบวนอะไรกันในพรรคครั้งใหญ่ แล้วประชาธิปัตย์ก็ต้องคิดเพิ่มว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เอาชนะใจ สร้างความนิยมในหมู่ชนชั้นล่าง คนชั้นกลางระดับล่างที่อยู่ในภาคเหนือและอีสานให้ได้

 

ถ้าประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคภาคใต้กับพรรคกรุงเทพฯ แบบนี้ก็ยากที่จะเห็นชัยชนะ ยากที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล ประชาธิปัตย์ต้องปรับมาก ถ้าปรับเล็กๆ น้อยๆ  แล้วหวังว่าจะมีส้มหล่นมันไม่ชนะ ก็อยากฝากไปถึงอีกพวกหนึ่งคือ พวกที่อยากทำพรรคการเมืองขั้วที่ 3 ผมว่าต้องเริ่มทำแล้ว ต้องดึงคนที่โดดเด่นเข้ามา แล้วก็ทำตรงนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคน เพราะคนที่คิดว่าถ้าเลือกเพื่อไทยมาเรื่องก็ไม่จบ เลือกประชาธิปัตย์ไปเรื่องก็ไม่จบ เขาจะได้มีพรรคที่เขาจะเลือกได้

 

เมื่อให้ประเมินระบอบทักษิณหลังจากนี้เป็นต้นไป จะทรงอำนาจเหมือนเดิมหรือจะสั่นคลอนไปเยอะไหม? “ดร.เอนก” ชี้ว่าย่อมไม่เหมือนเดิม  แต่มันจะออกมาแบบไม่เหมือนเดิมยังไงก็ต้องเฝ้าติดดามดู มันจะเหมือนเดิมได้ยังไง  ผมว่ายาก

 เพราะอย่างเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ใครต่อใครดูสถานการณ์บ้านเมืองก็บอกว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ครบเทอม เพราะมีไม่กี่ร้อยคน โหรงเหรงที่อยู่สวนลุมพินี (กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ) แต่แล้วพอมันพรึ่บขึ้นมาที มันจุดระเบิด เลยได้รู้ว่าคนในเมืองไทยเราโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คิดยังไง  มันถูกเปิดออกมาหมด แล้วจะมาบอกว่าพวกนี้โง่ ถูกหลอก ก็อย่างที่ผมพูดไว้ตอนต้น คนจะมาถูกหลอกอะไรได้ตั้งสองเดือนแล้ว ให้ประชาชนเดินกันเป็นสิบๆ กิโลฯ มันจะถูกหลอกอะไรกันแบบนี้

 

- จากทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย (คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล แต่คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล) ในปี 2537 มาถึงเวลานี้ในปี 57 ที่มีกลุ่ม กปปส. ตอนนี้หลักคิดในทฤษฎีดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?

 

มันต้องเปลี่ยนอยู่แล้วไม่ว่าทฤษฎีอะไรก็ตาม โดยเฉพาะทฤษฎีทางสังคมมันไม่ควรจะอยู่ตลอดกาล เพราะถ้าอยู่ตลอดกาลก็แสดงว่าสังคมมันไม่เปลี่ยนเลย ถามว่าสังคมไทยเปลี่ยนไหม ก็พบว่าเปลี่ยนมากจะตาย อย่างที่บอกคือตอนนี้คนชั้นกลางมันมาก ในวงวิชาการวงปฏิบัติเราก็คิดแต่ว่าคนส่วนใหญ่คือคนจน คนส่วนใหญ่คือรากหญ้า คนบ้านนอก อันนี้มันผิดแล้ว ตอนนี้คนบ้านนอกมันแทบจะหมดไปแล้ว คนในชนบทเหลือน้อยเต็มที ชนบทเหลือน้อยแล้ว

 ถ้าพูดแบบง่ายๆ ก็คือ ชนบทมันหมดไปแล้ว แต่จะเป็นเมืองขนาดเล็ก เมืองที่อยู่ใกล้ชิดเกษตรกรรม หรือเมืองที่เราเรียกกันว่า อบต.ที่ก็มีคนรวมกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นเมืองขนาดเล็ก

 
ดังนั้น ทฤษฎีสองนคราฯ ก็ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นกลางกับชาวนาอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเรื่องของชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ในมหานคร กับชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ที่อยู่ในเมืองขนาดเล็กที่เดิมอยู่ในชนบท แต่การที่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นเมืองเป็นชาวเมือง มันก็ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าใครที่จะขึ้นมา จะต้องสนใจเมืองกับชาวเมืองหรือชนชั้นกลางให้มากขึ้น และภารกิจทางการเมืองก็คือ จะทำยังไงให้ชนชั้นกลางในเมืองและในชนบทได้กลายเป็นชนชั้นกลางแท้ๆ ชนชั้นกลางจริงๆ ได้ ไม่ต้องกลับมาเป็นชนชั้นล่างอีก

อันนี้ก็เป็นภารกิจใหญ่ที่ตัวทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยช่วยตั้งโจทย์ให้ แล้วชวนให้คนมาคิดและมาตอบคำถาม แต่ผมก็ไม่เคยไปโฆษณาว่าทฤษฎีผมมันยอดเยี่ยม มันใช้อธิบายอะไร มีแต่คนหยิบไปพูดถึง

 

- แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ออกมาก็ยังเป็นคนกรุงเทพฯ ก็ยังอยู่ในทฤษฎีนี้อยู่ว่า คนในเมืองคนกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นฝ่ายล้มรัฐบาล?

 

 แต่คนชนบทตอนนี้ก็ไม่ใช่คนชนบทแล้ว ก็เป็นคนในเมืองขนาดเล็กตั้งรัฐบาล ส่วนคนในเมืองขนาดใหญ่หรือคนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล ที่เห็นตอนนี้คือ การล้มรัฐบาลไม่ได้ล้มแบบเดิมแล้ว ล้มแบบเดิมคือเรียกทหารออกมา แต่ตอนนี้ก็เรียกยากแล้ว ล้มแบบเดิมคือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ โดยมีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองสนับสนุน แต่ตอนนี้มันจะทำแบบนั้นก็ไม่ได้แล้ว แล้วมันจะล้มหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

 มันก็ไม่ใช่ทฤษฎีที่มันขลังว่ามันจะต้องล้มได้แหงๆ มันต้องใช้ความเป็นจริงในการดู ผมก็ไม่ได้ลุ้นว่าให้ฝ่ายไหนชนะ  ไม่ได้ลุ้นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าของทฤษฎีสองนคราฯ แล้วก็จะดูถูกคนจน ดูถูกคนชนบท ไม่ใช่ ถ้าอ่านในสองนคราฯ จะเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้พยายามให้เข้ามาหากัน ปรองดอง รับรู้ความเข้าใจของแต่ละฝ่าย ไม่ใช่การดูถูกเหยียดหยามหรือเพื่อเอาชนะคะคานกัน ไม่ใช่แค่จะบอกว่าคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล

 

- ดูในบริบทการเมือง เช่นที่รัฐบาลเพื่อไทยถอยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือยิ่งลักษณ์ยุบสภาฯ ก็เพราะมีการเคลื่อนไหวของ กปปส.ที่คนกรุงเทพฯ เข้าร่วมจำนวนมาก ในแง่นี้ทฤษฎีนี้ก็ยังใช้ได้อยู่?

 

    ในแง่นี้ขณะนี้มันก็ยังใช้ได้

 

- สิ่งที่ กปปส.เรียกร้องเคลื่อนไหว Shutdown  Bangkok-ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ชนชั้นกลางจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สิ่งที่ กปปส.เรียกร้องครั้งนี้เกิดขึ้นจริง?

 

ใช่ ก็ต้องชนชั้นกลาง แต่ก็มีคนชั้นสูงด้วย แล้วคนชั้นสูงก็ไม่ได้หมายถึงอำมาตย์ไม่กี่ตระกูล ก็เห็นมีเจ้าของธุรกิจจำนวนมากก็ออกมา มันก็ไม่ได้แค่ชนชั้นกลาง คนรวยก็ไปสนับสนุน ไม่ได้มีแค่ทุนล้าหลังที่ไปสนับสนุน กปปส.อย่างเดียว

 

ที่คนไปคิดว่าคู่ต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยคือทุนล้าหลัง ก็ไม่รู้ว่าใครล้าหลัง แต่ที่เห็นก็มีพวกธุรกิจใหญ่ๆ ธุรกิจสมัยใหม่ทั้งนั้นที่ออกมาต่อต้านกันตอนนี้ แล้วฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลตอนนี้แล้วบอกกันว่าเป็นทุนก้าวหน้า ก็ไม่รู้ว่าก้าวหน้าจริงหรือเปล่า เพราะถ้าจ่ายใต้โต๊ะหรือใช้ความเป็นพรรคพวกลูกน้องในการหาโอกาสจากรัฐบาลมาทำ ก็ไม่ใช่ทุนก้าวหน้าหรอก ก้าวหน้าตรงไหน

 

"เจ้าของทฤษฎี 2 นครา ประชาธิปไตย" ยอมรับว่า เวลานี้ความเห็นทางการเมืองของคนในเมืองกับคนต่างจังหวัดยังคงขัดแย้งกันอยู่ แต่ถ้ามันไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายมากเกินไป ความเห็นที่ไม่ตรงกันนี้มันจะเข้าใกล้กันเรื่อยๆ มันจะปรับเข้าหากันเรื่อยๆ เพราะมันจะเป็นชนชั้นกลางกันหมด สภาพที่มันเป็นสองนคราฯ มันจะคล้ายกันมากเข้า มันจะกลายเป็นเมืองหมด เพียงแต่ตอนนี้ชนบทเดิมมันเป็นเมืองขนาดเล็ก แล้วกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ  มันเป็นกรุงเทพฯ บวกเมืองใหญ่ๆ ก็ยังเป็นเมืองอยู่ สองอันนี้ที่มันยังเห็นอะไรต่างกัน แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นชนชั้นกลางด้วยกัน ผมก็เชื่อว่าความคิดความอ่านมันจะเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม มากกว่าสมัยที่มันเป็นชนบทกับกรุง.

 

            โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร


Edited by aiwen^mei, 20 January 2014 - 23:15.


#7 พ่อไอ้ตอม

พ่อไอ้ตอม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,823 posts

Posted 20 January 2014 - 23:11

คนเก่งไม่เก่งเขามองกันที่ว่าใครคิดใครมองด้วยสายตายาวไกลว่ากัน

แต่อ.แกแค่พูดเอามันสองนคราห่าแดก ใช้มาไม่กี่ปีก็ผิดแล้ว คราวนี้ดันมาออกความเห็นอะไรอีก

แล้วมันจะเชื่อได้มั้ยว่ามองทะลุจริงๆไม่ใช่เดี๋ยวก็เปลี่ยนอีก

 

ไม่ให้เครดิตครับคนนี้ แค่รับฟังไว้เท่านั้น


*** ช่วยกันไม่ตอบกระทู้ป่วน เพราะมันไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือเหตุผล แค่มายั่ว

ปล่อยให้ตกๆไป...การที่ไม่มีใครสนใจ  เป็นการทำลายจิตใจพวกมันมากที่สุด เดี๋ยวกระทู้ก็หล่นแล้ว


#8 aiwen^mei

aiwen^mei

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,150 posts

Posted 20 January 2014 - 23:11

เสียงกระตุกเตือน กปปส.

 

กับกระแสปฏิรูปประเทศ-ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งในเวลานี้ "ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์" คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เสนอแนวคิดไว้ว่า กปปส.น่าจะเสนอแนวคิดทางการเมืองต่อประชาชนในเรื่องสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเปิดพื้นที่ให้มีตัวแทนเกษตรกร-กรรมกรเข้าไปนั่งเป็น ส.ส. 1 ใน 4 ด้วย ขณะเดียวกันก็มีเสียงเตือนถึงการเคลื่อนไหวของ กปปส.ดังนี้

 

…ฝ่าย กปปส.-มวลมหาประชาชนก็คิดว่าต้องระมัดระวังให้มากขึ้นไปอีก ที่ผ่านมาถือว่าดีแล้ว ที่สำคัญต้องอย่าให้เกิดความรุนแรง อย่าไปกำหนดเส้นตายอะไร แล้วถ้าอะไรที่ทำแล้วจะเสี่ยงชีวิตของคนก็อย่าทำ อีกทั้งไม่ต้องไปคาดการณ์หรอกว่าเรื่องจะจบอย่างไร การที่ กปปส.ได้เคลื่อนไหวแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่ามันชนะอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็สะสมชัยชนะอยู่ทุกวัน ขออย่าให้เกิดความรุนแรง อย่าให้เกิดการยึดอำนาจหรือไปดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นลบกับกลุ่มเอง

 

 กปปส.จึงต้องอดทน ใจเย็น เฝ้าดูสถานการณ์และปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้ามันจะมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ผมว่ามันก็ต้องให้เลือกตั้งไป แต่จะไปประท้วงหรือกีดกันอะไรก็ทำได้บ้าง แต่ว่าอย่าทำจนกระทั่งยอมตายยอมเจ็บ แล้วก็ทำให้คนอื่นเจ็บตายด้วย ก็อย่าทำ วิธีแบบนี้การเคลื่อนไหวที่ดีแบบนี้อาจจะเหนื่อย แต่ก็เหนื่อยมาเยอะแล้ว หากจะเหนื่อยอีกต่อไปก็น่าจะทำได้ ก็ถือเป็นการฝึก การเรียนรู้ไปด้วยในขบวนของ กปปส.

ที่สำคัญ กปปส.ต้องไม่ดูถูกคนชั้นล่าง คนชั้นกลางระดับล่าง ต้องไม่ดูถูกคนภาคเหนือ-อีสานเป็นอันขาด ต้องเอาพวกเขามาเป็นพวกให้ได้ คุณต้องยอมรับพวกเขาและเห็นปัญหาของพวกเขา แล้วก็ต้องดูว่าจะช่วยเขาอย่างไรให้ขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางกับพวกคุณ ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้คนทุกคนได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นคนชั้นกลาง คำพูดประเภทควายแดงอะไรแบบนี้อย่าไปใช้ มันน่าเกลียด การพูดกันเองในหมู่คนด้วยกันเองมันเจ็บแสบ แต่คนอื่นมาฟังเข้ามันไม่ใช่แค่เจ็บแสบ แต่มันขมขื่นด้วย อยากให้คำนึงเรื่องพวกนี้มากขึ้น แล้วก็ต้องเสนออะไรที่ทำให้คนรากหญ้าและอยู่ห่างไกลได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด

 

ถ้าเหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ ก็น่าจะเสนอไปเลยว่า สภาผู้แทนราษฎรจะให้ 1 ใน 4 อย่างน้อยต้องมาจากเกษตรกรและชาวนาเลือกกันเอง สภาฯ ทุกวันนี้ไม่มีเกษตรกรและชาวนาเข้าไปอยู่เลย มีแต่นักการเมืองที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของเกษตรกรและชาวนา ถ้าฝ่าย กปปส.เสนอได้จะทำให้สภาฯ มีที่มาจากเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้เขาเข้ามาได้เลย เลือกกันเอง แต่วิธีการและรายละเอียดทำอย่างไรก็ต้องไปคิด รวมถึงควรให้มีสัดส่วนของกลุ่มกรรมกรเข้าไปด้วยที่เลือกกันเอง โดยให้เกษตรกร  กรรมกรไม่สังกัดพรรค วิธีการทุกวันนี้ทำให้ไม่มีเกษตรกร  กรรมกรเข้าไปในสภาฯ เลย ที่ผ่านมาน้อยมาก ก็จะทำให้มีการปรองดองได้มากขึ้น

 

เราก็รู้อยู่ว่ากรรมกร ชาวนา ไม่ใช่อะไรที่ใครอยากเป็น  ทุกคนก็อยากเป็นคนชั้นกลาง เราต้องให้พวกเขาได้มีตัวแทนอยู่ในสภาฯ แล้วให้พวกเขาเสนอปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการ แล้วพอเสนอแล้วก็ให้ต้องทำอย่างเร่งรีบ มันก็จะทำให้ทุกคนมีโอกาสเป็นคนชั้นกลาง สิ่งที่เสนอนี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดกันเพ้อฝัน  อย่างที่ประเทศเกาหลีใต้ ประชากร 85 เปอร์เซ็นต์เป็นคนชั้นกลาง มาเลเซีย 50 กว่าเปอร์เซ็นต์คือคนชั้นกลาง จีน 40 เปอร์เซ็นต์เป็นคนชั้นกลาง สหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่น  90 เปอร์เซ็นต์เป็นคนชั้นกลาง  ไทยเราไม่ใช่ว่าต้องไปเทียบกับสหรัฐหรือญี่ปุ่นหรือในตะวันตก แต่เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ เขาก็ยังทำได้ ทั้งที่เมื่อช่วงปี พ.ศ.2490 ไทยยังส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้ ตอนนั้นเขายังจนกว่าเราอีก แต่ทุกวันนี้ 85 เปอร์เซ็นต์เป็นคนชั้นกลาง

 

ส่วนของเราคนชั้นกลางก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอน 14 ตุลา 16 คือช่วงที่คนกำลังจะเป็นคนชั้นกลาง ตอนนั้นนักศึกษายังไม่มีอาชีพ ยังไม่เรียกคนชั้นกลาง พอจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงหน่ออ่อนของคนชั้นกลางได้ลงมาสู่ถนน พอช่วงพฤษภาทมิฬ  35 เป็นช่วงที่คนชั้นกลางแท้ๆ ลงมาสู่ถนน แต่เป็นพวกชนชั้นกลางรุ่นที่ 1 คือพ่อแม่ยังไม่ใช่คนชั้นกลาง พอมาการเคลื่อนไหวของ กปปส.ปี 56 และ 57 เราได้เห็นทั้งคนชั้นกลางที่อายุเกือบ 60 และคนชั้นกลางรุ่นที่ 2 ที่อายุระหว่าง 30-40 ปี รวมถึงรุ่น 20 กว่าปี

 

ดังนั้น การเมืองไทยตอนนี้แตกต่างจากการเมืองไทยเมื่อช่วง 40 กว่าปีที่แล้วเยอะ เมื่อก่อนยังไม่มีคนชั้นกลาง มีน้อยมาก มีแต่ข้าราชการกับทหาร แต่ตอนนี้มีคนชั้นกลางแล้ว ก็ทำให้การเมืองไทยเหมือนประเทศที่พัฒนาหรือกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ

 

- โอกาสที่ กปปส.จะชนะมีไหม หรือก็ต้องยื้อกันไปแบบนี้?

 

ก็ไม่อยากคิดตรงส่วนนี้มาก ก็อยากพูดถึงคนชั้นกลางดีกว่า กปปส.ก็ไม่ได้ว่าจะผูกขาดคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางก็ไม่ได้อยู่ใต้ กปปส. ตอนนี้ก็ไปด้วยกันได้เท่านั้นเอง ถ้ากปปส.ทำอะไรโดยเป็น กปปส.เองก็ไม่ดีเท่ากับที่ กปปส.คิดตลอดเวลาว่าจะนำพา จะประคับประครองแล้วก็รับฟังคนชั้นกลางไปเรื่อยๆ

 

อยากให้คิดด้วยว่า ถ้าจบเหตุการณ์นี้แล้วก็อย่าให้ กปปส.ละลายหายไปจากสังคมหมด โดยไม่มีการทำอะไรต่อเนื่อง ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก ไม่มีการจัดตั้งอะไรเลย อันนี้ก็น่าเสียดาย ถ้าคุณยังรวมคนกันมาเป็นล้านได้ ก็ทำให้เขากลายเป็นผู้อภิวัฒน์การเมืองไทยไปได้เรื่อยๆ ก็น่าสนใจ ส่วนว่ามันจะชนะหรือจะแพ้หรือจะยังไง ผมไม่ได้ไปดูตรงนั้นมากนัก

 

แล้ว กปปส.ก็ต้องไม่คิดว่าตัวเองกำลังสู้กับคนอีสาน-คนเหนือ-คนจน อย่าไปคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เขาจะต้องแสดงอะไรออกมาเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคนเหล่านี้ให้มากขึ้นในการเคลื่อนไหว ถ้าทำได้ในโอกาสที่เหลืออยู่ ผมว่าเขาต้องพยายามพูดเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้น มันจะได้ส่งสัญญาณอะไรไปให้กับคนที่กำลังดูเขาอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับคนชั้นล่างคนต่างจังหวัด.
 


Edited by aiwen^mei, 20 January 2014 - 23:13.


#9 ปุถุชน

ปุถุชน

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 27,531 posts

Posted 20 January 2014 - 23:55

ผมมีความเห็นว่า "ฝ่าความจริง"นั้นมีส่วนเปลี่ยนแปลงอย่างมาก....

 

เริ่มต้นจาก"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" "ฝ่าความจริง"  จนถึง"กปปส.".....

ช่วงเวลาระหว่าง"ฝ่าความจริง" ถึง "กปปส" มีการให้ความรู้การเมือง ระบอบประชาธิปไตย การทุจริต และความไม่เป็นธรรมในสังคม และการเมือง....!

 

ความล้มเหลวของโครงการจำนำข้าว ที่ไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่ชาวนาทันเวลา จะทำให้คนยากจน คนจน ลุกขึ้นขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ร่วมกับ กปปส.....!


เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...


#10 MuuSang

MuuSang

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,604 posts

Posted 21 January 2014 - 00:09

ก็แค่ปรากฏการณ์ ที่นำไปสู่ความล่มสลายของระบอบโกงกินอย่างมูมมาม เท่านั้นเอง

คนที่ไม่ออกมาไล่รัฐบาล ก็แค่หวังว่า ตนจะได้อะไรบ้าง จากซากของระบอบทักษิณ


แม้นใครรัก รักมั่ง ชัง ชังตอบ

#11 Maratiraj_

Maratiraj_

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 826 posts

Posted 21 January 2014 - 03:07

ล่าสุดเห็นพวกแดงมันสร้าง วาทะกรรม ชนชั้นกลางเก่า กับ ชนชั้นกลางใหม่ ด้วยนะว่า

 

ชนชั้นกลางเก่าคือ พวกผู้สนับสนุนขั้วอำนาจเก่าคนส่วนน้อยที่ควบคุมปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ใน กทม และ ภาคใต้

 

ชนชั้นกลางใหม่คือ พวกที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากรากหญ้า และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยในอนาคต


Edited by Maratiraj_, 21 January 2014 - 03:12.


#12 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

Posted 21 January 2014 - 03:38

เป็นบทความที่เป็นประโยชน์ และได้ความรู้มากเลยครับ

 

ขอบคุณคุณ aeiwen มาก  อุตส่าห์พยายามอดทนตัดและไฮไลท์บทความยาวมากๆ ค่อยทะยอยลงให้เราอ่านกันครับ

เหนื่อยแทนเลย


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#13 หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม

หงส์เฒ่าเสาร์ธรรม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,408 posts

Posted 21 January 2014 - 05:18

คนต่างจังหวัด เรียนรู้การแสดงออกทางการเมืองจากคนเมืองหลวง

 

 ถ้าสื่อทีวี วิทยุออกข่าวมากกว่านี้ คนต่างจังหวัด จะร่วมมือกับคนกรุงมากขึ้น และเร็วขึ้น


จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ... ศีลธรรม เป็นกรอบรักษาจินตนาการให้ดำรงอยู่ด้วยความดีงาม... -_- 


#14 silence

silence

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 641 posts

Posted 21 January 2014 - 06:04

"ก็เช่นเดียวกัน ตอนม็อบเสื้อแดงปี 53 เขาก็มีความมุ่งมั่นของเขา ขนาดยอมตายกันได้มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว"

 

 

อันนี้ไม่เห็นด้วยนะคะ ว่าคนเสื้อแดงยอมตาย   เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ มีแต่บอกว่า โดนกักกัน โดนหลอกมากักไว้ ไม่ให้กลับบ้าน

 

พวกที่ยอมตาย ก็เป็นแค่พวกการ์ด ที่นิยมความรุนแรงเท่านั้นเอง ก็เหมือนพวกนักเลงอันธพาลที่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย

 

 

 

ผิดกับผู้ชุมนุมของ กปปส.  เอาแค่คุณตะนิ่นตาญีก็พอ ^^   ตรงไหนแรงวิ่งเข้าใส่เลย ^_____^

 

อย่างเหตุการณ์ที่ไทยญี่ปุ่น หรือแจ้งวัฒนะ ชมัยมรุเชษฐ หรือคืนที่มีข่าวการจะบุกจับกำนันที่กระทรวงการคลัง

 

เหล่านี้น่าจะคือการไม่กลัวตายของจริงค่ะ

 

 

 

 

แก้ไขชื่อคุณตะนิ่นค่ะ พิมพ์ผิดค่ะ


Edited by silence, 21 January 2014 - 06:05.

10403293_1426562117609834_23021669286491
 

 


#15 kritz

kritz

    เกรียนบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,388 posts

Posted 21 January 2014 - 11:14

เขียนอย่างไม่มีอคติใดๆ เลยนะ นับเนื่องตั้งแต่ปี 53 หลังกบฏไพร่แดงมาเผาเมืองหลวง คุณอภิสิทธิ์กับกำนันสุเทพก็มีส่วนร่วมในการเดินเกมที่ผิดมาตลอดเกี่ยวกับนโยบายจิตวิทยามวลชน แกออกจะหน่อมแน้มเกินไปที่เสียเวลาไปกับการเอาใจมวลชนฐานเสียงฝั่งกบฏไพร่แดงจนละเลยฐานมวลชนฝั่งตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนการยุบสภา ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยฟังการข่าวฝ่ายทหารกัน ณ ห้วงเวลานั้น แต่กลับเป็นฝั่งเนวินเองเสียอีกที่ฟังและเตรียมการถอนตัวได้อย่างเพลย์เซฟสุดๆ ปลอดภัยสุดๆ ...

 

คุณอภิสิทธิ์และกำนันสุเทพมุ่งเน้นนโยบายประชานิยม(แบบเพลย์เซฟ รัฐไม่เจ็บตัวมาก)จนละเลยกับจิตวิทยามวลชน ที่ต้องหาทางกระจายข่าวสารและชี้ให้เห็นถึงความชั่วช้าสามานย์ของปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มกบฏไพร่แดงที่เป็นผลพวงมาจากคำสั่งไอ้แม้ว ที่ควรต้องเข้าถึงในระดับกลุ่มชาวบ้านซื่งน้อยมากๆ แต่ไปหวังพึ่งแต่ฟรีทีวีให้แพร่ภาพข่าวแทน ซึ่งสื่อกลุ่มนี้ไม่ตอบสนองให้เท่าที่ควร ในทางตรงกันข้ามฝั่งตรงข้ามเข้าถึงได้มากกว่า ถึงขั้นเอาจานเอาเคเบิ้ลไปลงให้ในหมู่บ้านเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุให้การเจือจางสลายสีแทบเป็นไปไม่ได้เลยในฐานเสียงกลุ่มทุนสามานย์กลุ่มนี้ ...

 

จึงมีวันนี้ที่หัวฝีหนองที่เน่าเหม็นมันแตกหลังจากบ่มเพาะนับเนื่องมานานหลังการกลับเข้ามายึดครองอำนาจของฝั่งกบฏไพร่แดง-ปัจจุบัน ความชั่วช้า ความสามานย์มันแตกระเบิดด้วยตัวของมันเอง เพราะย่ามใจเกินไปที่คิดว่าควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ จึงเป็นที่มาของนาทีนี้ นาทีแห่งการนับถอยหลังการตัดสินชี้ชะตาระหว่าง ความชั่วช้าสามานย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย กับพลังความดีที่พิสูจน์ชัดเจนแล้วในทุกสมรภูมิว่าเป็นพลังแห่งยุคคนดีร่วมกันปฏิรูป ...

 

*** ผมเขียนในมุมมองของผม ขอสงวนสิทธิ์งดโต้แย้งกรณีคุณอภิสิทธิ์กับกำนันสุเทพนะครับ ไม่ใช่ว่าคิดด่าแล้วลอยตัว แต่ผมมองว่ามันผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว ผมละวางอคติทิ้งไปหมดแล้ว จึงเขียนให้เห็นในภาพรวมถึงข้อผิดพลาดบางประการ จนนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้ วันที่กบฏไพร่แดงมันแผลงฤทธิ์ของหัวฝีหนองเน่าเหม็น-แตกโพล๊ะ ...



#16 annykun

annykun

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,567 posts

Posted 21 January 2014 - 11:20

นักวิชาการบางคนอาจโชคดี  ค้นพบสิ่งใหม่ๆ  เป็นที่ยอมรับนับถือ  เป็นที่ฮือฮา  แต่หลังจากนั้น  พวกเขาก็ไม่ได้ค้นพบอะไรอีกเลย

สิ่งที่พวกเขาค้นพบ  อาจเป็นประโยชน์อยู่ได้แค่ระยะเวลานึง  แต่มันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวของความจริงเล็กๆ  ในสังคม  หาใช่  ทั้งหมด

เมื่อเวลาเปลี่ยนไป  สุดยอดทฤษฎี  อาจถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์มากกว่า  หรือ  อาจถูกล้มไปเลยก็ได้

คนบางคนก็เข้าใจผิด  ยึดติด  ทฤษฎีเล็กๆ นั้น  ราวกับมันเป็นสุดยอดคัมภีร์อธิบายได้ทั่งดินฟ้า  จักรวาล

พลอยให้คนคนนั้น  มีความคิดที่ยิ่งคับแคบลงไปเรื่อยๆ  ยิ่งผสมกับมิจฉาทิฐิด้วยแล้ว  ยิ่งไปกันใหญ่  

จากนักปราชก็กลายเป็นคนบ้าในบัดดล 


คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม  คือ   ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

คุณธรรมที่พร้ำสอน  ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา   ส่วน  ประชาธิปไตยน่ะรึ  เอาเข้าจริงๆ  สำคัญอันใด?? 

 


#17 ธีรเดชน้อย

ธีรเดชน้อย

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,659 posts

Posted 21 January 2014 - 11:33

น่าสนใจตรง จะมีการสร้างวาทกรรม สำหรับชนชั้นกลางขึ้นมาแทน คนรากหญ้าครับ 

 

กปปส.ต้องเตรียมการรับมือไว้  :)


" จุดเริ่มของการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 หลังจากรัฐบาลเพื่อไทยได้บริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด 2 ปีเศษ มีการทุจริตคอรัปชั่นมากมาย มีการนำพรบ.นิรโทษกรรมมาอนุมัติผ่านสภาฯเพื่อช่วยเหลือ น.ช. ทักษิณ ทำให้มวลมหาประชาชนลุกขึ้นประท้วงต่อต้าน แม้จนกระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญและปปช. ได้ตัดสินและชี้มูลความผิดจนต้องพ้นออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม ทำให้ประเทศชาติต้องหยุดนิ่ง สุดท้ายเมื่อ พลเอก ประยุทธ ผบ.ทบ.ได้เรียกทุกฝ่ายเข้ามาคุยเพื่อหาทางออกแล้ว โดยขอให้ ครม.ที่ยังคงเหลือลาออกเพื่อตั้งนายกฯเพื่อการปฎิรูปประเทศ แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองและการเสียสละ ทำให้พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา จำเป็นต้องประกาศยึดอำนาจ   "

 

 


#18 ธีรเดชน้อย

ธีรเดชน้อย

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,659 posts

Posted 21 January 2014 - 11:37

เขียนอย่างไม่มีอคติใดๆ เลยนะ นับเนื่องตั้งแต่ปี 53 หลังกบฏไพร่แดงมาเผาเมืองหลวง คุณอภิสิทธิ์กับกำนันสุเทพก็มีส่วนร่วมในการเดินเกมที่ผิดมาตลอดเกี่ยวกับนโยบายจิตวิทยามวลชน แกออกจะหน่อมแน้มเกินไปที่เสียเวลาไปกับการเอาใจมวลชนฐานเสียงฝั่งกบฏไพร่แดงจนละเลยฐานมวลชนฝั่งตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนการยุบสภา ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยฟังการข่าวฝ่ายทหารกัน ณ ห้วงเวลานั้น แต่กลับเป็นฝั่งเนวินเองเสียอีกที่ฟังและเตรียมการถอนตัวได้อย่างเพลย์เซฟสุดๆ ปลอดภัยสุดๆ ...

 

คุณอภิสิทธิ์และกำนันสุเทพมุ่งเน้นนโยบายประชานิยม(แบบเพลย์เซฟ รัฐไม่เจ็บตัวมาก)จนละเลยกับจิตวิทยามวลชน ที่ต้องหาทางกระจายข่าวสารและชี้ให้เห็นถึงความชั่วช้าสามานย์ของปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองของกลุ่มกบฏไพร่แดงที่เป็นผลพวงมาจากคำสั่งไอ้แม้ว ที่ควรต้องเข้าถึงในระดับกลุ่มชาวบ้านซื่งน้อยมากๆ แต่ไปหวังพึ่งแต่ฟรีทีวีให้แพร่ภาพข่าวแทน ซึ่งสื่อกลุ่มนี้ไม่ตอบสนองให้เท่าที่ควร ในทางตรงกันข้ามฝั่งตรงข้ามเข้าถึงได้มากกว่า ถึงขั้นเอาจานเอาเคเบิ้ลไปลงให้ในหมู่บ้านเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุให้การเจือจางสลายสีแทบเป็นไปไม่ได้เลยในฐานเสียงกลุ่มทุนสามานย์กลุ่มนี้ ...

 

จึงมีวันนี้ที่หัวฝีหนองที่เน่าเหม็นมันแตกหลังจากบ่มเพาะนับเนื่องมานานหลังการกลับเข้ามายึดครองอำนาจของฝั่งกบฏไพร่แดง-ปัจจุบัน ความชั่วช้า ความสามานย์มันแตกระเบิดด้วยตัวของมันเอง เพราะย่ามใจเกินไปที่คิดว่าควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ จึงเป็นที่มาของนาทีนี้ นาทีแห่งการนับถอยหลังการตัดสินชี้ชะตาระหว่าง ความชั่วช้าสามานย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย กับพลังความดีที่พิสูจน์ชัดเจนแล้วในทุกสมรภูมิว่าเป็นพลังแห่งยุคคนดีร่วมกันปฏิรูป ...

 

*** ผมเขียนในมุมมองของผม ขอสงวนสิทธิ์งดโต้แย้งกรณีคุณอภิสิทธิ์กับกำนันสุเทพนะครับ ไม่ใช่ว่าคิดด่าแล้วลอยตัว แต่ผมมองว่ามันผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว ผมละวางอคติทิ้งไปหมดแล้ว จึงเขียนให้เห็นในภาพรวมถึงข้อผิดพลาดบางประการ จนนำมาสู่เหตุการณ์ในวันนี้ วันที่กบฏไพร่แดงมันแผลงฤทธิ์ของหัวฝีหนองเน่าเหม็น-แตกโพล๊ะ ...

 

สำหรับผม กรณีคุณอภิสิทธิ์ในยุคนั้น โลกสวยครับ ขยายความคือ คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นมันดี มันถูกต้อง

 

คน สื่อจะเข้าใจเอง ไม่ต้องสร้างภาพ แต่ณ เวลานี้ หากคุณอภิสิทธิ์ได้กลับเป็นนายกฯอีกครั้ง 

 

ผมเชื่อว่า เราจะเห็นภาพใหม่ ที่เข็มแข็ง เด็ดขาด ประสบการณ์ ชั้นเชิงที่สูง ผมรอวันนั้นอย่างใจจดจ่อครับ  :wub:


" จุดเริ่มของการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 หลังจากรัฐบาลเพื่อไทยได้บริหารประเทศล้มเหลวมาตลอด 2 ปีเศษ มีการทุจริตคอรัปชั่นมากมาย มีการนำพรบ.นิรโทษกรรมมาอนุมัติผ่านสภาฯเพื่อช่วยเหลือ น.ช. ทักษิณ ทำให้มวลมหาประชาชนลุกขึ้นประท้วงต่อต้าน แม้จนกระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญและปปช. ได้ตัดสินและชี้มูลความผิดจนต้องพ้นออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม ทำให้ประเทศชาติต้องหยุดนิ่ง สุดท้ายเมื่อ พลเอก ประยุทธ ผบ.ทบ.ได้เรียกทุกฝ่ายเข้ามาคุยเพื่อหาทางออกแล้ว โดยขอให้ ครม.ที่ยังคงเหลือลาออกเพื่อตั้งนายกฯเพื่อการปฎิรูปประเทศ แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองและการเสียสละ ทำให้พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา จำเป็นต้องประกาศยึดอำนาจ   "

 

 


#19 kritz

kritz

    เกรียนบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,388 posts

Posted 21 January 2014 - 11:39

วาทกรรมแบ่งชนชั้นวรรณะ เป็นนโยบายหลักของจิตวิทยามวลชนในระบอบลัทธิคอมมิวนิสต์ครับ

ผมถึงไม่แปลกใจที่ไอ้พวกคอมมิวนิสต์หลงยุค ถึงได้ผันตัวมาเป็นแกนนำอำมาตย์ในฝั่งกบฏไพร่แดง แต่แอ๊บมาเรียกร้องประชาธิปไตย

และยิ่งไม่แปลกใจเข้าไปใหญ่ที่พวกระดับด๊อกเตอร์ ด๊อกแ..ด ถึงได้งมงายกับลัทธินี้จริงๆ จังๆ ถึงขั้นลงทุนมาเป็นตัวหมาก เดินกระดานกันเลยทีเดียว ...ฮ่าๆ
:rolleyes: :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes: :rolleyes:



#20 พ่อไอ้ตอม

พ่อไอ้ตอม

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,823 posts

Posted 21 January 2014 - 11:41

แบ่งแยกชนชั้นอีกแล่ะ เป็นห่าไรว่ะ พวกนี้ มาคนชั้นกลางคนชนบทอีก

เดี๋ยวอีก2ปี มาคนชั้นกลางค่อนข้างสูง

กับคนชั้นกลางค่อนข้างต่ำอีกหรือเปล่า นี่แหล่ะนักวิชาการที่อยู่แต่ในตำราบ้าชนชั้น

 

 

กูไม่เอาคนโกงมาบริหารแค่นั้นโว๊ยยยยย


*** ช่วยกันไม่ตอบกระทู้ป่วน เพราะมันไม่ได้ต้องการคำตอบ หรือเหตุผล แค่มายั่ว

ปล่อยให้ตกๆไป...การที่ไม่มีใครสนใจ  เป็นการทำลายจิตใจพวกมันมากที่สุด เดี๋ยวกระทู้ก็หล่นแล้ว


#21 kritz

kritz

    เกรียนบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,388 posts

Posted 21 January 2014 - 11:47

จริงๆ บทความที่ผมอยากแนะนำให้อ่านให้ได้ ให้จบ ในวันนี้ คือ บทความในไทยโพสต์ คอลัมน์ป๋าเปลวสีเงิน กับบทส่งท้ายทฤษฎี "หุ้มไส้ดินสอ" นี่แหละครับ

ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันที่สุด มองภาพรวมการเมืองได้ถ้วนทั่วจริงๆ ...

 

การจะสร้างสรรค์งานจิตรกรรมชั้นยอดได้ ต้องเริ่มจากดินสอก่อนทั้งนั้น พิมพ์เขียวก็เช่นเดียวกัน ...ฮ่าๆ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:



#22 หนูอ้อย

หนูอ้อย

    นักเขียนหน่อมแน้ม

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,215 posts

Posted 21 January 2014 - 11:58

ทฤษฏืชนชั้นของมาร์กซและเหมา เรียกนักเรียน นิสิตนักศึกษา ว่า "ชนชั้นนายทุนน้อย"

 

ในเมืองไทยชนชั้นนี้เติบโตอย่างเงียบๆในรอบ 40 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16

แทบทุกครอบครัว..เป้าหมายอย่างน้อยๆคือปริญญาบัตรแปะข้างฝา แต่ละครอบครัวมีลูกกันน้อยที่สุด(ถ้าไม่เผลอ)

เพราะใช้เงินในเรื่องการศึกษาเพื่อปั้นลูกคนหนึ่งๆสูงมากๆ อย่างน้อยก็ระดับอาชีวะเป็นใบเบิกทางขั้นต่ำสู่ชนชั้นกลาง

ไม่แปลกที่ชนชั้นกลางซึ่งจะว่าไปแล้วคือนายทุนน้อยยุคมาร์กซิสจะทวีจำนวนในเมืองหลักของไทยในยุคพ.ศ.นี้  ..


 AMAZING  coup d'etat  , THAILAND ONLY ..  :ph34r:  





1 user(s) are reading this topic

0 members, 1 guests, 0 anonymous users