- กระแสตอบรับ กปปส.มีต่อเนื่องเป็นเพราะประชาชนเห็นด้วยว่าปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง หรือว่าเพราะไม่เอาระบอบทักษิณ?
ผมก็ไม่รู้ ผมตอบแทนเขาไม่ได้ ก็คงจะไปด้วยกัน แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่ง ผมฟังคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ตอบคำถามในโทรทัศน์ที่ว่าทำไมคนกรุงเทพฯ ออกมาเยอะ คุณชูวิทย์ตอบว่า เพราะคนกรุงเทพฯ รู้น้อยไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่เช้าไปรับลูก ไปทำงาน เสร็จแล้วกลับบ้านก็นอน เขาย้ำว่าคนกรุงเทพฯ รู้น้อย รู้น้อย ก็น่าสนใจในแง่ความคิดเห็นของเขา คือบางครั้งก็อาจมองอย่างนั้นได้
แต่ว่าการที่ประชาชนคนเป็นแสนเป็นล้านออกมาไม่หยุด ตั้ง 2 เดือนไม่หยุด มันก็ได้แง่คิดแล้วว่าเขาไม่ได้ออกมาเพราะเป็นเรื่องของอารมณ์ ไม่ได้ออกมาเพราะโง่หรือถูกหลอก คนเราถูกหลอกได้ แต่มันจะถูกหลอกมา 2 เดือนได้หรือ คนเราอาจทำอะไรโดยไม่คิดได้ แต่ว่ามันไม่ได้คิดมา 2 เดือนมันไม่ได้หรอก ผมจึงคิดว่าแทนที่จะมองว่าคนกรุงเทพฯ รู้น้อย คนกรุงเทพฯ ถูกยุถูกหลอกอะไรแบบนี้ แต่มันผ่านมา 2-3 เดือนแล้ว ผมว่ามันต้องปรับความคิดแล้ว มันไม่ใช่ เพราะนี่เขาไปกันไม่หยุด แสดงว่าเขาต้องมีความมุ่งมั่นของเขา แต่จะเป็นอะไรก็ต้องไปค้นหากันเอาเอง มันไม่ใช่การถูกหลอกแล้ว เพราะเขามีความมุ่งมั่นสูงมาก
ก็เช่นเดียวกัน ตอนม็อบเสื้อแดงปี 53 เขาก็มีความมุ่งมั่นของเขา ขนาดยอมตายกันได้มันก็ไม่ธรรมดาแล้ว ดังนั้นเรามีการเคลื่อนไหวของ กปปส.ตอนนี้ก็อย่าไปลืมตอนช่วงชุมนุมปี 53 ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เมื่อมีบทเรียนตอนชุมนุมเสื้อแดง รัฐบาลเวลานี้ก็พยายามจะไม่ใช้ความรุนแรง อันนี้ก็ต้องชมเขา แต่มันก็ไม่ใช่ความดีความชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะฝ่ายมวลมหาประชาชนก็เอาบทเรียนจากชุมนุมเสื้อแดงปี 52 และปี 53 มาคิดเหมือนกันว่า ทำยังไงไม่ให้รุนแรง แล้วก็เอาบทเรียนของปี 49 มาคิดด้วยคือว่า อย่าไปฝากความหวังไว้ที่การรัฐประหาร
- โอกาสที่ยิ่งลักษณ์จะประคองอำนาจไปเรื่อยๆ นับจากนี้เหลืออยู่แค่ไหน?
ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ทักษิณต้องปรับวิธีคิด กระบวนการทางความคิด เรื่องที่คิดจะกลับมาอาจต้องเลิกคิด หรือคิดให้น้อยลง คิดให้ช้าลง ไม่ต้องรีบกลับ ต้องปรับ ไม่ใช่คิดแต่จะเอาคนในตระกูลชินวัตร, ดามาพงศ์, วงศ์สวัสดิ์เท่านั้นมาเป็นนายกฯ หรืออาจต้องคิดไปถึงขั้นที่ว่า ต้องให้อิสรเสรีกับพรรคและหรือรัฐบาลมากขึ้น คือจะดูก็ต้องดูแบบห่างๆ ไม่ใช่มาดูใกล้ชิดแบบนี้ การแต่งตั้งข้าราชการต้องให้เขาแต่งตั้งไปเลย ไม่ใช่ว่าใครอยากได้ตำแหน่งอะไรก็บินไปหานายใหญ่หมด ก็จะไม่ได้ใจของข้าราชการ ไม่ได้ใจของประชาชนที่ดูอยู่
ผมก็ยังไม่อยากบอกตอนนี้ว่าได้หรือไม่ได้ยังไง เพราะเขากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่น่าหวั่นไหว เพราะถ้าต่อสู้กับอำมาตย์หรือต่อสู้กับอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่า คือยังมีโอกาสที่จะเคลื่อนไปได้ แต่ถ้าเขาต่อสู้กับคนชั้นกลางจำนวนมากขนาดนี้ ที่เรียกว่ามวลมหาประชาชนก็ลำบาก มันจะยืดเยื้อ โดยเฉพาะถ้าที่ผมคิดวิเคราะห์ไว้มันถูกคือ คนชั้นกลางคือปัจจุบันและอนาคต พรรคเพื่อไทยต้องปรับว่าจะทำอย่างไรให้เอาชนะใจคนชั้นกลางได้ ถ้าเขายังคิดอยู่แบบทุกวันนี้ ก็ต้องปรับยุทธวิธี, ยุทธศาสตร์ การจัดตั้งใหม่เยอะ
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องปรับขบวน เขาต้องคิดว่าพวกประชาชนที่ออกมาร่วม กปปส. ไม่ใช่พวกประชาธิปัตย์ อาจจะมีบางส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยกขบวนอะไรกันในพรรคครั้งใหญ่ แล้วประชาธิปัตย์ก็ต้องคิดเพิ่มว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เอาชนะใจ สร้างความนิยมในหมู่ชนชั้นล่าง คนชั้นกลางระดับล่างที่อยู่ในภาคเหนือและอีสานให้ได้
ถ้าประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคภาคใต้กับพรรคกรุงเทพฯ แบบนี้ก็ยากที่จะเห็นชัยชนะ ยากที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล ประชาธิปัตย์ต้องปรับมาก ถ้าปรับเล็กๆ น้อยๆ แล้วหวังว่าจะมีส้มหล่นมันไม่ชนะ ก็อยากฝากไปถึงอีกพวกหนึ่งคือ พวกที่อยากทำพรรคการเมืองขั้วที่ 3 ผมว่าต้องเริ่มทำแล้ว ต้องดึงคนที่โดดเด่นเข้ามา แล้วก็ทำตรงนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคน เพราะคนที่คิดว่าถ้าเลือกเพื่อไทยมาเรื่องก็ไม่จบ เลือกประชาธิปัตย์ไปเรื่องก็ไม่จบ เขาจะได้มีพรรคที่เขาจะเลือกได้
เมื่อให้ประเมินระบอบทักษิณหลังจากนี้เป็นต้นไป จะทรงอำนาจเหมือนเดิมหรือจะสั่นคลอนไปเยอะไหม? “ดร.เอนก” ชี้ว่าย่อมไม่เหมือนเดิม แต่มันจะออกมาแบบไม่เหมือนเดิมยังไงก็ต้องเฝ้าติดดามดู มันจะเหมือนเดิมได้ยังไง ผมว่ายาก
เพราะอย่างเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ใครต่อใครดูสถานการณ์บ้านเมืองก็บอกว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ครบเทอม เพราะมีไม่กี่ร้อยคน โหรงเหรงที่อยู่สวนลุมพินี (กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ) แต่แล้วพอมันพรึ่บขึ้นมาที มันจุดระเบิด เลยได้รู้ว่าคนในเมืองไทยเราโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ คิดยังไง มันถูกเปิดออกมาหมด แล้วจะมาบอกว่าพวกนี้โง่ ถูกหลอก ก็อย่างที่ผมพูดไว้ตอนต้น คนจะมาถูกหลอกอะไรได้ตั้งสองเดือนแล้ว ให้ประชาชนเดินกันเป็นสิบๆ กิโลฯ มันจะถูกหลอกอะไรกันแบบนี้
- จากทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย (คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล แต่คนกรุงเทพฯ ล้มรัฐบาล) ในปี 2537 มาถึงเวลานี้ในปี 57 ที่มีกลุ่ม กปปส. ตอนนี้หลักคิดในทฤษฎีดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?
มันต้องเปลี่ยนอยู่แล้วไม่ว่าทฤษฎีอะไรก็ตาม โดยเฉพาะทฤษฎีทางสังคมมันไม่ควรจะอยู่ตลอดกาล เพราะถ้าอยู่ตลอดกาลก็แสดงว่าสังคมมันไม่เปลี่ยนเลย ถามว่าสังคมไทยเปลี่ยนไหม ก็พบว่าเปลี่ยนมากจะตาย อย่างที่บอกคือตอนนี้คนชั้นกลางมันมาก ในวงวิชาการวงปฏิบัติเราก็คิดแต่ว่าคนส่วนใหญ่คือคนจน คนส่วนใหญ่คือรากหญ้า คนบ้านนอก อันนี้มันผิดแล้ว ตอนนี้คนบ้านนอกมันแทบจะหมดไปแล้ว คนในชนบทเหลือน้อยเต็มที ชนบทเหลือน้อยแล้ว
ถ้าพูดแบบง่ายๆ ก็คือ ชนบทมันหมดไปแล้ว แต่จะเป็นเมืองขนาดเล็ก เมืองที่อยู่ใกล้ชิดเกษตรกรรม หรือเมืองที่เราเรียกกันว่า อบต.ที่ก็มีคนรวมกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นเมืองขนาดเล็ก
ดังนั้น ทฤษฎีสองนคราฯ ก็ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นกลางกับชาวนาอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเรื่องของชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ในมหานคร กับชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ที่อยู่ในเมืองขนาดเล็กที่เดิมอยู่ในชนบท แต่การที่ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นเมืองเป็นชาวเมือง มันก็ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าใครที่จะขึ้นมา จะต้องสนใจเมืองกับชาวเมืองหรือชนชั้นกลางให้มากขึ้น และภารกิจทางการเมืองก็คือ จะทำยังไงให้ชนชั้นกลางในเมืองและในชนบทได้กลายเป็นชนชั้นกลางแท้ๆ ชนชั้นกลางจริงๆ ได้ ไม่ต้องกลับมาเป็นชนชั้นล่างอีก
อันนี้ก็เป็นภารกิจใหญ่ที่ตัวทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยช่วยตั้งโจทย์ให้ แล้วชวนให้คนมาคิดและมาตอบคำถาม แต่ผมก็ไม่เคยไปโฆษณาว่าทฤษฎีผมมันยอดเยี่ยม มันใช้อธิบายอะไร มีแต่คนหยิบไปพูดถึง
- แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ออกมาก็ยังเป็นคนกรุงเทพฯ ก็ยังอยู่ในทฤษฎีนี้อยู่ว่า คนในเมืองคนกรุงเทพฯ ก็ยังเป็นฝ่ายล้มรัฐบาล?
แต่คนชนบทตอนนี้ก็ไม่ใช่คนชนบทแล้ว ก็เป็นคนในเมืองขนาดเล็กตั้งรัฐบาล ส่วนคนในเมืองขนาดใหญ่หรือคนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล ที่เห็นตอนนี้คือ การล้มรัฐบาลไม่ได้ล้มแบบเดิมแล้ว ล้มแบบเดิมคือเรียกทหารออกมา แต่ตอนนี้ก็เรียกยากแล้ว ล้มแบบเดิมคือ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ โดยมีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองสนับสนุน แต่ตอนนี้มันจะทำแบบนั้นก็ไม่ได้แล้ว แล้วมันจะล้มหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
มันก็ไม่ใช่ทฤษฎีที่มันขลังว่ามันจะต้องล้มได้แหงๆ มันต้องใช้ความเป็นจริงในการดู ผมก็ไม่ได้ลุ้นว่าให้ฝ่ายไหนชนะ ไม่ได้ลุ้นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าของทฤษฎีสองนคราฯ แล้วก็จะดูถูกคนจน ดูถูกคนชนบท ไม่ใช่ ถ้าอ่านในสองนคราฯ จะเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้พยายามให้เข้ามาหากัน ปรองดอง รับรู้ความเข้าใจของแต่ละฝ่าย ไม่ใช่การดูถูกเหยียดหยามหรือเพื่อเอาชนะคะคานกัน ไม่ใช่แค่จะบอกว่าคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาล
- ดูในบริบทการเมือง เช่นที่รัฐบาลเพื่อไทยถอยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือยิ่งลักษณ์ยุบสภาฯ ก็เพราะมีการเคลื่อนไหวของ กปปส.ที่คนกรุงเทพฯ เข้าร่วมจำนวนมาก ในแง่นี้ทฤษฎีนี้ก็ยังใช้ได้อยู่?
ในแง่นี้ขณะนี้มันก็ยังใช้ได้
- สิ่งที่ กปปส.เรียกร้องเคลื่อนไหว Shutdown Bangkok-ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ชนชั้นกลางจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สิ่งที่ กปปส.เรียกร้องครั้งนี้เกิดขึ้นจริง?
ใช่ ก็ต้องชนชั้นกลาง แต่ก็มีคนชั้นสูงด้วย แล้วคนชั้นสูงก็ไม่ได้หมายถึงอำมาตย์ไม่กี่ตระกูล ก็เห็นมีเจ้าของธุรกิจจำนวนมากก็ออกมา มันก็ไม่ได้แค่ชนชั้นกลาง คนรวยก็ไปสนับสนุน ไม่ได้มีแค่ทุนล้าหลังที่ไปสนับสนุน กปปส.อย่างเดียว
ที่คนไปคิดว่าคู่ต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยคือทุนล้าหลัง ก็ไม่รู้ว่าใครล้าหลัง แต่ที่เห็นก็มีพวกธุรกิจใหญ่ๆ ธุรกิจสมัยใหม่ทั้งนั้นที่ออกมาต่อต้านกันตอนนี้ แล้วฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลตอนนี้แล้วบอกกันว่าเป็นทุนก้าวหน้า ก็ไม่รู้ว่าก้าวหน้าจริงหรือเปล่า เพราะถ้าจ่ายใต้โต๊ะหรือใช้ความเป็นพรรคพวกลูกน้องในการหาโอกาสจากรัฐบาลมาทำ ก็ไม่ใช่ทุนก้าวหน้าหรอก ก้าวหน้าตรงไหน
"เจ้าของทฤษฎี 2 นครา ประชาธิปไตย" ยอมรับว่า เวลานี้ความเห็นทางการเมืองของคนในเมืองกับคนต่างจังหวัดยังคงขัดแย้งกันอยู่ แต่ถ้ามันไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายมากเกินไป ความเห็นที่ไม่ตรงกันนี้มันจะเข้าใกล้กันเรื่อยๆ มันจะปรับเข้าหากันเรื่อยๆ เพราะมันจะเป็นชนชั้นกลางกันหมด สภาพที่มันเป็นสองนคราฯ มันจะคล้ายกันมากเข้า มันจะกลายเป็นเมืองหมด เพียงแต่ตอนนี้ชนบทเดิมมันเป็นเมืองขนาดเล็ก แล้วกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ มันเป็นกรุงเทพฯ บวกเมืองใหญ่ๆ ก็ยังเป็นเมืองอยู่ สองอันนี้ที่มันยังเห็นอะไรต่างกัน แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นชนชั้นกลางด้วยกัน ผมก็เชื่อว่าความคิดความอ่านมันจะเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม มากกว่าสมัยที่มันเป็นชนบทกับกรุง.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
Edited by aiwen^mei, 20 มกราคม พ.ศ. 2557 - 23:15.