Jump to content


Photo
- - - - -

ผ่าแผนม็อบ “คณะเสนาธิการร่วม” รอจังหวะป่วน-ก่อวินาศกรรม


  • Please log in to reply
ยังไม่มีผู้แสดงความเห็นในกระทู้นี้

#1 เจ้าพระยาหน้าตาดี

เจ้าพระยาหน้าตาดี

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,127 posts

ตอบ 28 มกราคม พ.ศ. 2557 - 04:03

วิเคราะห์การเมือง : by นพคุณ ศิลาเณร

ปัดโถ่....กลุ่มนายทหารนอกราชการ วัยแก่ๆ ค่อนเกือบ 70 ปี ยังมีเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายประกาศตั้ง

“กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” เพื่อไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

นายกรัฐมนตรี ให้พ้นไปจากอำนาจบริหารประเทศ...(อีกเหรอ)

นายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ

ประธานองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี

ช่างเหมาะสมกับชื่อใหม่ที่เรียกว่า “คณะเสนาธิการร่วม”

เพราะมีครบทุกเหล่าทัพ ทั้งทัพบก เรือ และอากาศ...ย่อมน่าสนใจอย่างยิ่ง

น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อลากโยงความสัมพันธ์ในระดับ “บุคคล”

ของนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้ เพราะความสัมพันธ์ย่อมเชื่อมโยงไปสู่ “ผลึก”

แนวคิดทางการเมืองและดุลอำนาจอยู่ไม่น้อย

พล.ร.อ.ชัย เป็นนายทหารรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี

กับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ผู้ก่อการม็อบสนามม้านางเลิ้ง

เมื่อ เสธ.อ้าย ก่อม็อบและพ่ายแพ้ช่วงเพียงเวลาดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน

เขาประกาศเลิกกิจการก่อม็อบ แล้วสลายสถานะผู้นำที่ชื่อเสธ.อ้าย

ด้วยการประกาศว่า “เสธ.อ้ายตายแล้ว” นั่นหมายความว่า เสธ.อ้ายจะไม่ได้นำม็อบ

เกณฑ์ชาวบ้านไม่รู้เหนือรู้ใต้มาชุมนุมไล่รัฐบาลอีกแล้ว

เสธ.อ้าย วางมือจากม็อบ เขาลาออกจากประธาน อพส. ส่งไม้ต่อให้พล.ร.อ.ชัย

มารับภารกิจโค่นระบอบทักษิณแทน โดยมี พล.อ.ท.วัชระ เป็นโฆษก อพส.

พล.อ.ท.วัชระ ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯอย่างสม่ำเสมอ

เขาจับมือกับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เรียกร้องดินแดนเขาพระวิหาร

โจมตีรัฐบาลในระบอบทักษิณว่า ขายชาติ ขายผืนดิน เพื่อแลกผลประโยชน์ด้านพลังงานจากเขมร

พล.อ.ชูเกียรติ เป็นนายทหารคนสนิทของ พล.ต.มนูญกฤต รูปจขร

อดีตผู้นำทหารยังเติร์ก จปร.7 เขาเป็นกลุ่มพันธมิตรตัวยง

และไม่ชอบหน้าระบอบทักษิณเข้ากระดูกดำ

เนื่องจากชิงชังการเมืองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน ที่มีบทสรุปการทุจริตคอร์รัปชั่น

เหนืออื่นใด แนวคิดหลักของกลุ่มนายทหารนอกราชการกลุ่มนี้

ยังมีสูตรสำเร็จทางการเมืองแบบประชาธิปไตยว่า

นายทุนลงทุนทางการเมือง ต้องเข้ามาถอนทุนกลับคืน

ดังนั้น ประชาธิปไตยของนายทหารนอกราชการจึงมีแนวคิด

กระเดียดไปในทางประชาธิปไตยของคนดี

ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากประชาชนด้วยกระบวนการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง

กล่าวกันตรงๆ ก็คือ ประชาธิปไตยของชนขั้นนำสูงสุด

ที่ให้เฉพาะเสรีภาพทางร่างกายและเศรษฐกิจกับประชาชนข้างล่างเท่านั้น

ด้วยแนวคิด “คนดี” เมื่อนำมาประสานกับประชาธิปไตยชนชั้นนำแล้ว

จึงทำให้เห็นกลุ่มทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมที่ติดอาวุธความคิดแบบ

“พวกขวาสุดโต่ง” คือ ความคิดแบบเอาแต่ได้ ไม่เดินสายกลาง ตึงตัวเฉพาะกลุ่มก้อนตัวเอง

แน่นอน...แนวคิดแบบขวาสุดโต่ง จึงเข้ากันไม่ได้สนิทกับลักษณะทางสังคมที่หลากหลายในสังคมไทยปัจจุบัน

ไม่เพียงเท่านั้น แนวคิดขวาสุดโต่งยังเข้าไม่ได้กับหมู่มิตรการเคลื่อนไหวของพรรคพวกตัวเองด้วย

พวกเขาเข้าไม่ได้กับกลุ่มชุมนุมสนามหลวงที่เรียกว่าเครือข่ายประชาชน

เพราะพวกขวาสุดโต่งต้องการเข้าไปครอบงำการเคลื่อนไหวทั้งหมด

โดยมีแนวทางนำไปสู่การสร้างเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

ดังนั้น แนวคิดกลุ่มขวาสุดโต่งจึงมีส่วนสำคัญในการยกระดับการต่อสู้ของกลุ่มสนามหลวง

ไปสู่การสร้างกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เพื่อทำลายรัฐบาลภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์

แต่ด้วยแนวคิดขวาสุกโต่ง กลับกลายเป็นการทำลายกลุ่มชุมนุมที่สนามหลวงอย่างเด่นชัด

จนขาดพลังในการเคลื่อนไหวเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของประชาชน

บัดนี้ กลุ่มชุมนุมที่ปักหลักสนามหลวง ถูกกลุ่มขวาสุดโต่งทำลาย “เอกภาพ”

จนหมดสิ้น และแตกตัว แยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

และที่สำคัญทั้ง 3 กลุ่มไม่ยอมรับการนำของกันและกัน นั่นบ่งบอกว่า

ฐานะการทำ “แนวร่วม” ทางการเคลื่อนไหวต่อกันและกันก็ไม่เกิดขึ้นด้วย

ทั้ง 3 กลุ่มของม็อบสนามหลวงนั้น แยกออกเป็น หนึ่ง

กลุ่มสภาเกษตรกรไทยที่ขับเคลื่อนในประเด็นการเสียดินเขาพระวิหารเป็นหลัก

สองกลุ่มพลังธรรมมาธิปไตย ซึ่งเป็นมิตรสหายทหารป่าดาวแดงภายใต้การนำของ

“ปรีชา 505” ยังเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยพลังของประชาชนเป็นด้านหลัก

โดยไม่อาศัยการเปลี่ยนแปลงที่มาจาก “ทหารยึดอำนาจ”

ดังนั้นกลุ่มนี้จึงเข้าไปสนิทกับกลุ่มหน้ากากขาว

และแทบทุกครั้งพวกเขาก็อาสาเป็นการ์ดให้กลุ่มหน้ากากขาวด้วย

ทั้งกลุ่มที่หนึ่ง และกลุ่มที่สอง ยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สนามหลวง

ในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน และเส้นแบ่งพื้นที่ไม่สัมพันธ์กันนั้นอยู่ที่

“รั้วเหล็ก” มากั้นกำหนดเขตแดนกันและกัน

พัฒนาแห่งความ “แตกแยก” กันเช่นนี้ในบางครั้งถึงกับบาดหมางราวลึกกัน

จนใช้กำลัง “ชกต่อย” ตาบวม ปากแตก และแจ้งความดำเนินคดีกันที่สถานีตำรวจพระราชวังมาแล้ว

ความจริงก็คือ ความแตกแยกทั้งหมดมาจากแนวคิดการทำลายของกลุ่มที่สาม

คือ กลุ่มขวาสุดโต่ง ที่ต้องการผลักดันให้ม็อบสนามหลวงเกิดการปะทะกับตำรวจถึง 2 ครั้ง

เริ่มตั้งแต่มาล้อมกรอบทำเนียบรัฐบาล และครั้งล่าสุดในเหตุการณ์ปิดล้อมกระทรวงกลาโหม

ไม่ให้ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้เข้ากระทรวงได้

ปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยกับแนวทาง “ปะทะ” ภายใต้การชี้นำของกลุ่มขวาสุดโต่งนั้น

เกิดจากกลุ่มพลังธรรมาธิปไตยไม่ปฏิบัติตาม จนเกิดวิวาทะด้วยอารมณ์รุนแรง

แล้วก็แยกตัวออกจากกันไปตามแนวทางใคร แนวทางมัน

และแล้ว กลุ่มขวาสุดโต่ง และนายไชยวัฒน์

จึงแยกวงมาปักหลักอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “13 สยามไท”

สร้างเครือข่ายทางความคิด กระทั่งแปรรูปเป็น “ขบวนการคณะเสนาธิการร่วม”

ประกาศโค่นระบอบทักษิณในขณะนี้

คณะเสนาธิการร่วม ไม่มีความจัดเจนทางการเคลื่อนไหวของประชาชน

ไร้วิธีการจัดตั้งมวลชน ดังนั้นนายพิเชษฐ์ พัฒนาโชติ และนายไทกร พลสุวรรณ

จึงมาสวมทัพด้วย และมีนายสมศักดิ์ โกสัยสุข ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจ

และหัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย (เปลี่ยนชื่อจากพรรคการเมืองใหม่)

มาร่วมวางและสร้างเครือข่ายมวลชน

ทั้ง “พิเชษฐ์ และไทกร” ล้วนเป็นคนสนิทกับ “พล.ต.มนูญกฤต”

เช่นเดียวกับกลุ่มนายทหารนอกราชการ นั่นเท่ากับลากชื่อ “มนูญกฤต”

มาพัวพันกับการเคลื่อนไหวโค่นระบอบทักษิณ

พลังสนับสนุนของกลุ่มเสนาธิการ่วมที่มีแนวคิด "ขวาสุดโต่ง” แทบไม่มีเป็นกอบเป็นกำ

กลุ่มนี้ประเมินสถานการณ์การเปิดสภาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ว่า

อยู่ในภาวะเติมเชื้อความรุนแรงให้พัฒนาไปสู่การล้มรัฐบาลและโค่นระบอบทักษิณได้

กำลังส่วนหนึ่งของพวกเขามาจากต่างจังหวัด ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวระดมกำลังกันที่จังหวัดเลย

ภายใต้การนำของ “พล.อ.กิตติศักดิ์ รัตนประเสริฐ หรือ เสธ.อู๊ด” และ “ผู้กองปูเค็ม

หรือ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล” โดยแผนปฏิบัติการสร้างกำลังได้เริ่มขึ้นเมื่อ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

ด้วยการประกาศสร้าง “กองทัพนิรนาม” ขึ้นมาโค่นระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์

แน่ละ....ในขณะนี้หากพิจารณาในด้านร้ายแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพ

ที่จะโค่นล้มอย่างน้อย 2 กองทัพ คือ “กองทัพประชาชน”

ในรหัสของกลุ่มหน้ากากขาวและคณะเสนาธิการร่วม กับ “กองทัพนิรนาม”

ทีผู้กองปูเค็มเร่งฝึกกำลังพลขนาดใหญ่

แผนปฏิบัติการของกลุ่มขวาสุดโต่งและกองทัพโค่นล้มทั้งหลายทั้งปวงนำ นำไปสู่เป้าหมาย

“สร้างสถานการณ์ให้ทหารออกมายึดอำนาจ”

ทหารจะออกมาได้ ด้วยยุทธวิธีการเคลื่อนไหวมวลชนให้นำไปสู่การปะทะกับเจ้าหน้าตำรวจ

แล้วลามไปสู่การ “ก่อวินาศกรรม” แบบ เผาโน่น ทุบนี่ อะไรประมาณนั้น

รวมทั้งการสร้างความปั่นป่วนในสังคม แล้วลงท้ายด้วย “กำจัด” นักการเมืองในพรรคเพื่อไทย

นี่คือ แผนการที่ถูกวางไว้เพื่อการจัดสร้างในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน

เป็นช่วงที่กฎหมายสำคัญๆ ของรัฐบาลเข้าสู่สภา โดยเฉพาะกฎหมายนิรโทษกรรม

กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะ “เรียกแขก” ให้มาชุมนุมประท้วง

เมื่อกองทัพ กองกำลัง ของกลุ่มขวาสุดโต่งเข้าแทรกซึม ผสมส่วนในม็อบรายรอบสภาแล้ว

จินตนาการความปั่นป่วน และเหตุการณ์รุนแรงย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที

เพียงหลับตานึก สังคมที่อันตรายย่อมลอยเด่นขึ้น

สอดประสานกับเสียงข่มขู่ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ

แผนการของกลุ่มขวาสุดโต่งว่างไว้เช่นนี้ จะบรรลุเป้าหมายเพียงไร

ทหารคงเป็นคำตอบสถานการณ์เดียวเท่านั้น

 

 

http://www.siamturak...php?nt=3&nid=45

 


จะด่าใคร  “โง่” กรุณาโชว์ความ    “ชาญฉลาด”  วิพากษ์วิจารณ์อย่างน้อย 3 บรรทัด

 

 

 

 

 





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน