จากคลิป
http://www.youtube.com/watch?v=QAI2TN6gqvk
นาทีที่ 3.35 - 5.35
พิธีกร : ฟัง ๆ ที่คุณสุเทพพูดนะครับ หลังจากที่เสร็จศึกจะตั้งสภาประชาชน 400 คน โดย 300 คนจากตัวแทนวิชาชีพ ไม่รู้จะจัดการกันอย่างไรนะครับ อีกหนึ่งร้อยกำนันขอตั้งเอง มันก็มีคำถามขึ้นมาว่าสามร้อยบวกหนึ่งร้อยและอีกหนึ่งนายกประชาชน ซึ่งก็มาจากคุณสุเทพอีกนั่นแหละ คนดีในสายตาของกปปส. ของคุณสุเทพเนี่ย
หลวงปู่พุทธะอิสระ : มันยังไม่มีบทสรุปนะคุณ นั่นมันเป็นแค่ตุ๊กตาซึ่งตั้งขึ้น เพราะถ้าคุณตามชั้นเนี่ย...
พิธีกร : วันนี้จะชิงบ้านชิงเมืองกัน วันนี้ยังไม่จบเหรอครับ พิมพ์เขียวในการจัดการประเทศ ว่าเสร็จศึกแล้วจะบริหารประเทศนี้ จะเอาประเทศนี้เดินต่ออย่างไรแบบไหน
หลวงปู่พุทธะอิสระ : โห ศึกนี้ยังอีกยาวนาน
พิธีกร : ตอนนี้ยังดีไซน์ไม่เสร็จเหรอครับ
หลวงปู่พุทธะอิสระ : ดีไซน์แล้วแต่ตอนนี้ยังไม่มีบทสรุปว่าใครจะมามีอำนาจ ดีไซน์ทุกองค์ประกอบของกฎหมายที่จะนำมาใช้กัน***เข้ามาแทรก แต่เราจะไม่เอาตัว***ใด ๆ มาบริหารจัดการแบบที่คุณยกตัวอย่างมา เพราะว่าบทสรุปเนี่ย ถ้าคุณตามเรื่องของฉันเนี่ย ฉันก็ขึ้นไปค้านบนเวทีของธรรมศาสตร์ ว่าประชาชนมีมหาศาลที่มาช่วยต่อสู้ ทำไมเราถึงกำหนดบุคคลที่เข้ามามีบทบาทแค่จำนวนยิบย่อย ควรจะให้โอกาสกับทุกภาคทุกส่วน ทุกจังหวัด ทุกสาขาอาชีพ แล้วก็มาวิเคราะห์มาตรึกกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรหรอกคุณ เป็นแค่ตุ๊กตาคร่าว ๆ ที่โยนหินถามทางว่า เอ้า สนใจไหมในประเด็นนี้ ถ้าคุณสนใจแล้วเราก็จะได้ร่วม ถ้าไม่สนใจก็ต่างคนต่างเสนอมา
พิธีกร : จะให้ประเทศไทยเป็นอย่างไรหลังจากที่จบศึกแล้วยังออกแบบไม่เสร็จ
หลวงปู่พุทธะอิสระ : อื้ม ทุกคนจะมีส่วนร่วม แต่ว่าไอ้กระบวนการที่เราจะเดินทางว่าเราต้องการอะไร เราอยากได้อะไร เราฝันอะไร แล้วเราคิดอะไร เราจะนำเสนออะไร ทุกคนคิดแล้ว คิดแล้วก็พยายามเขียนเรียบร้อย ส่วนจะมาดีไม่ดี ยอมรับไม่ยอมรับ มันก็ต้องตกผลึกอีกรอบหนึ่งหลวงปู่พุทธะอิสระ : มันยังไม่มีบทสรุปนะคุณ นั่นมันเป็นแค่ตุ๊กตาซึ่งตั้งขึ้น เพราะถ้าคุณตามชั้นเนี่ย...
พิธีกร : วันนี้จะชิงบ้านชิงเมืองกัน วันนี้ยังไม่จบเหรอครับ พิมพ์เขียวในการจัดการประเทศ ว่าเสร็จศึกแล้วจะบริหารประเทศนี้ จะเอาประเทศนี้เดินต่ออย่างไรแบบไหน
ตกลงยังไม่มีบทสรุป แล้วก็รีบออกมาปิดกรุงเทพ ยึดศูนย์ราชการกันเป็นเดือนๆ
ทำไมไม่หาข้อสรุปชัดเจนก่อน
หรือกลับไปชุมนุมที่สนามหลวงหาข้อสรุปให้ได้ก่อนค่อยมาปิดกรุงเทพ ยึดศูนย์ราชการ...
หลวงปู่พุทธะอิสระ : โห ศึกนี้ยังอีกยาวนาน
แสดงว่าคงปิดกรุงเทพฯยึดศูนย์ราชการอีกเป็นปีหรือหลายปี
ชาวบ้านคนทำมาหากินเดือดร้อนกันแย่สิพระคุณเจ้า..
ชาวบ้านไม่มีใครถวายอาหาร ไม่มีใครบริจาคเงินให้นะขอรับ ต้องทำมาหากิน...
เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังเพื่อไปเป็นนักบวชเร่ร่อน นอนกลางดิน กินกลางทราย ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรคือข้อสรุปของชีวิตตนเอง รู้แต่เพียงว่าต้องไป..และต้องไป..จากที่นี่
เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังเพื่อไปเป็นนักบวชเร่ร่อน...
(ถูกต้องแล้วครับ)..แต่ทรงละกิเลส ลาภ ยศ ไม่แกร่งแย่งชิงอำนาจ ไม่ยุให้ทหารเอารถถังยึดอำนาจ
เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้พามวลมหาประชาชนปิด กรุงกบิลพัสดุ์..
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีญาณหยั่งรู้แจ้งแทงตลอดทั่ว 3 แดนโลกธาตุ
ขนาดนั้นทรงท้อพระทัยที่จะโปรดสั่งสอนมนุษย์ที่กิเลสหนา
ทรงใคร่ครวญจนชัดแจ้งก่อนออกเทศนาสั่งสอนโปรดสรรพสัตว์...
พระพุทธเจ้าตลอดจนพระทั้งหลายต้องมีศีล (227ข้อ)จึงออกบิณฑบาตร
ไม่เหมือนใครบางคนไม่รักษาศีลๆไม่ครบ(ข้อมุสาข้อเดียวก็แย่แล้ว)
ก็ออกเดินเรี่ยไรรับเงินทอง ยึดสถานที่ราชการ
พระพุทธเจ้าไม่เคยบังคับใครให้นับถือเชื่อ ไม่เคยบังคับให้ใครเป่านกหวีด
ไม่เคยด่าทอใคร ไม่เคยบังคับใคร ไม่เคยคิดโค่นล้มเกลียดชังใคร
พระพุทธเจ้ายังเคยทรงห้ามญาติ ที่แตกแยกเข่นฆ่ากัน ไม่เคยเลือกข้างฝ่ายไหน
จนมีการสร้างพระพุทธรูปปางห้ามญาติในภายหลัง (น่าจะเอาธรรมข้อนี้มาใช้มากกว่า)
ที่สำคัญในแต่ละกัป มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวไม่ใช่ใครนึกสนุก
ก็มาแอบอ้างพระพุทธเจ้า....ยึดปิดกรุงเทพ ปิดศูนย์ราชการฟังยังไงก็ไม่เข้ากัน
ระวังแอบอ้างพระพุทธเจ้าจะตกนรก..เอา
อ่านจากบนลงล่าง...จากล่างขึ้นบน ผมก็เห็นว่ามีแต่ท่านล่ะครับที่อ้างพระพุทธเจ้า
เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังเพื่อไปเป็นนักบวชเร่ร่อน นอนกลางดิน กินกลางทราย ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรคือข้อสรุปของชีวิตตนเอง รู้แต่เพียงว่าต้องไป..และต้องไป..จากที่นี่
เจ้าชายสิทธัตถะ หมายถึงใครละครับ...?
ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรคือข้อสรุปของชีวิตตนเอง รู้แต่เพียงว่าต้องไป. .... หมายความว่ายังไง ?
ก็เพราะใครๆก็เข้าใจว่าเจ้าชายสิทธัตถะก็คือพระพุทธเจ้า(ตอนที่ยังไม่เป็นนักบวช)
การพูดจึงขยายความสิ .. ถ้าสงสัยควรถามว่า akincana ว่าทำไมเอาเจ้าชายสิทธัตถะมาเปรียบเทียบ
ทำไมไม่ใช้ คนอื่นๆหรือตัวอย่างอื่นๆมาอ้าง
โทณพราหมณ์: เราถามท่านว่าเป็นเทวดาหรือ...ท่านตอบว่าไม่ใช่, เราถามท่านว่าเป็นยักษ์หรือ...ท่านตอบว่าไม่ใช่, เราถามท่านว่าเป็นมนุษย์หรือ...ท่านก็ตอบว่าไม่ใช่,
ถ้าอย่างนั้น ท่านผู้เจริญเป็นอะไรกันแน่?
พระพุทธเจ้า: ความบังเกิดเป็นเทวดาพึงมีแก่เราด้วยอาสวะใด...เราพึงถึงความเป็นยักษ์และเข้าถึงความเป็นมนุษย์ด้วยอาสวะใด อาสวะเหล่านั้นของเราสิ้นไปแล้ว เรากำจัดเสียแล้ว,
ดอกบัวตั้งอยู่พ้นน้ำ ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำ ฉันใด เราก็ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยโลก ฉันนั้น ... ดูกรพราหมณ์ เพราะฉะนั้น จงเรียกเราว่า "พุทธะ" เถิด
(คัดจากหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นได้ครับ)