เอาเข้าไป อีกหน่อย ก็ได้มอบรางวัล
แม้วกับอีโง่ เป็นคนดีที่สุดในสามโลก ละมั้ง
โลกเรา ทุกวันนี้จะเพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว
ยิ่งลักษณ์เคยได้แล้วนะครับ..
"รัฐบาลยิ่งลักษณ์" รับพระราชทานรางวัล "เทพทอง" ชี้เป็นผู้นำความสามารถล้นเหลือทุกด้าน
หนังสือที่ระลึกพิธีพระราชทานรางวัล "เทพทอง" ครั้งที่ 13 ระบุว่า
"เป็นรัฐบาลที่เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความจริงใจ พาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาได้เสมือนปาฏิหาริย์ ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ให้ความรักใคร่ โดยไม่มีข้อแม้ โดยเฉพาะ นางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่มีความสามารถล้นเหลือในทุกด้าน จนทำให้นานาชาติทั่วโลกให้ความเชื่อถือ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกให้กับประเทศไทย เพราะได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนโดยแท้จริงระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 150 สุดยอดผู้หญิงนักสู้ของโลกที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารนิวสวีก สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำที่ได้ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างจริงใจเร่งด่วน เช่น โครงการบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยหลังแรก โครงการถยนต์คันแรก โครงการนำร่องบัตรเครดิตพลังงาน ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการปริญญาตรีเพิ่มเป็น 15,000 บาท ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จัดให้มีเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ กำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ยกระดับและเสริมศักยภาพสตรีในทุกมิติ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป ฯลฯ และที่สำคัญยึดมั่นแนวทางการปรองดองเพื่อนำความสงบสันติกลับคืนสู่สังคมไทย ฯลฯ"
http://www.matichon....atid=&subcatid=
แต่...
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยิ่งเลอะ แอบอ้างใช้ใครเป็นพรีเซ็นเตอร์?
มีการแพร่กระจายข่าวใหญ่โต กรณีสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยฯ พิจารณามอบรางวัลเทพทอง สาขาผู้นำองค์กรดีเด่น ให้แก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ได้รับรางวัลนักสื่อสารยอดเยี่ยมด้วย
1) รางวัลเทพทองเป็นรางวัลที่ “สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็นผู้จัดและดำเนินการพิจารณากันเอง
นายกสมาคมฯ ชื่อ นายวีระ ลิมปะพันธุ์
สมาคมดังกล่าวนี้ เป็นคนละองค์กรกับ “สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย” ที่มีบทบาทในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและสื่อสารมวลชนในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง
นายวีระ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทยฯ ยังเป็นประธานกรรมการอำนวยการการพระราชทานรางวัลเทพทองด้วย โดยปีนี้ พิจารณามอบรางวัลให้องค์กรดีเด่นจำนวน 21 องค์กร นักวิทยุโทรทัศน์ดีเด่น 21 ราย นักวิทยุกระจายเสียงดีเด่น 21 ราย และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงาน 21 ราย
เรียกว่า เกือบๆ ร้อยรายการ
2) ลำพังการที่สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์ฯ มอบรางวัลให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่น่าจะเป็นข่าวใหญ่โต แต่วิธีการออกข่าว หรือนำเสนอการได้รับรางวัลของสื่อเชลียร์รัฐบาล กระบอกเสียงของรัฐบาล และการให้สัมภาษณ์ของคนในรัฐบาลที่มีลักษณะแอบอ้าง สร้างภาพเกินจริงต่างหากที่น่าเป็นห่วง
ยกตัวอย่าง
นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในฐานะผู้เข้ารับรางวัลแทนนายกฯยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ในนามของรัฐบาลรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานรางวัลเทพทอง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานและเป็นเครื่องเตือนสติว่า เราจะต้องรักษาความดีงามและตั้งใจทำงานเพื่อสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมให้สมกับรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้”
สื่อมวลชนจำนวนมากก็เล่นข่าวตามไปว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ “ได้รับพระราชทานรางวัลเทพทอง ผู้นำยอดเยี่ยม”
ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสาร ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ย่อมจะเข้าใจผิดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานรางวัลแก่นายกฯ ยิ่งลักษณ์โดยตรง
รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่สมาคมฯ เป็นผู้พิจารณาเองว่าจะมอบให้ใคร กี่รางวัล อย่างไร
สมาคมฯ เป็นคนริเริ่มจัดทำและดำเนินการ โดยเมื่อตอนเริ่มแรก เมื่อปี 2540 ทางสมาคมก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่าไม่ใช่การพระราชทานรางวัล แต่เป็นการที่ทางสมาคมเป็นฝ่ายถวายหรือมอบรางวัล
กรณีรับรางวัลเทพทองนี้ จึงไม่ควรเรียกว่า “รับพระราชทาน รางวัล” แต่เป็น “การรับถ้วยหรือรางวัลพระราชทานของสมาคมฯ”
เพราะเทียบเคียงได้กับถ้วยกีฬา หรือรางวัลต่างๆ ที่ได้รับพระราชทาน จากนั้น ฝ่ายผู้ดำเนินการก็จัดการพิจารณา สรรหาผู้สมควรจะได้รับรางวัลกันเอง
การพยายามแอบอ้างเพื่อให้คนเข้าใจผิด หลงคิดเป็นอื่น เพื่อสร้างภาพการยอมรับและกระตุ้นคะแนนนิยมทางการเมืองแก่นักการเมือง โดยอาศัยบารมีของสถาบันเบื้องสูง นับเป็นการกระทำไม่บังควรอย่างยิ่ง
3) โดยข้อเท็จจริง จะเห็นว่า งานนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ไปรับรางวัลด้วยตนเอง
ซึ่งถ้าหากได้รับพระราชทานรางวัลจริง มีหรือที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่ไปรับด้วยตนเอง
4) หากเข้าใจข้อเท็จจริงถ่องแท้ว่า การพิจารณามองรางวัลนั้น เป็นดุลยพินิจและการตัดสินใจของสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์ฯ ก็ย่อมจะเข้าใจต่อไปด้วยว่า การบรรยายคุณงามความดี การสดุดี หรือการโฆษณาเสกสรรปั้นแต่งคุณสมบัติของผู้ได้รับรางวัลนั้นก็เป็นไปตามมาตรฐาน หรือความนิยมชมชอบของคณะกรรมการพิจารณารางวัลนั่นเอง
ไม่ได้มีค่าสูงส่ง หรือเกินเลยมากไปกว่านั้น
ในครั้งนี้ ตัวแทนสมาคมฯ อุตส่าห์ให้เหตุผลในการให้รางวัลแก่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า
“เป็นรัฐบาลที่เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความจริงใจ พาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาได้เสมือนปาฏิหาริย์ ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ให้ความรักใคร่ โดยไม่มีข้อแม้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยที่มีความสามารถล้นเหลือในทุกด้าน จนทำให้นานาชาติทั่วโลกให้ความเชื่อถือ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกให้กับประเทศไทย เพราะได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนโดยแท้จริงระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 150 สุดยอดผู้หญิงนักสู้ของโลกที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารนิวสวีค สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำที่ได้ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างจริงใจเร่งด่วน เช่น โครงการบ้านเพื่อที่อยู่อาศัยหลังแรก โครงการรถยนต์คันแรก โครงการนำร่องบัตรเครดิตพลังงาน ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการปริญญาตรีเพิ่มเป็น 15,000 บาท ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จัดให้มีเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ กำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ยกระดับและเสริมศักยภาพสตรีในทุกมิติ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป ฯลฯ และที่สำคัญยึดมั่นแนวทางการปรองดองเพื่อนำความสงบสันติกลับคืนสู่สังคมไทย...”
ทั้งหมดนั้น จึงเป็นเพียงคำเยินยอที่ผู้จัดงานมอบให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์
ใครจะเขียนให้สวยงาม หวานเยิ้ม หยดย้อย หรือจะเชลียร์จนหน้าแข้งนายกฯ เยิ้มไปด้วยน้ำลายของใคร แค่ไหน อย่างไร ก็เป็นเพียงคำป้อยอของผู้จัดงานเท่านั้น
แต่ผลลัพธ์ของงาน คือสภาวะความเป็นจริงของชีวิตประชาชน ข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพแพง การแก้ปัญหาน้ำท่วมล้มเหลว ภาระหนี้สินของประเทศเพิ่มสูงขึ้น การส่งออกถดถอย ความสามารถในการแข่งขันของประเทศตกต่ำ การทำไม่สำเร็จตามนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะค่าแรง 300 บาทเท่ากันทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือการกระชากค่าครองชีพ ฯลฯ ทั้งหมดคือตัวสะท้อนผลงานของผู้นำรัฐบาลได้อย่างชัดเจนที่สุด
5) การประเมินผลงานของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ปรากฏผ่านการทำโพลล์หลายสำนัก เช่น
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 26 แห่ง ในหัวข้อ “ประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในรอบ 9 เดือน” ปรากฏว่า
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลงานการบริหารเศรษฐกิจในภาพรวมของรัฐบาล ได้คะแนนเพียง 3.83 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10)
รายละเอียดของคะแนนในแต่ละด้าน เช่น
ด้านการเติบโตของ GDP ได้ 5.00 คะแนน
ด้านการนำพาเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ได้ 4.53 คะแนน
ด้านการบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้ 3.75 คะแนน
ด้านการสร้างความเป็นธรรมในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ ได้ 3.47 คะแนน
ด้านการแก้ปัญหา/ดูแลเสถียรภาพของราคาสินค้า ได้ 3.17 คะแนน
ด้านการบริหารจัดการราคาพลังงาน 3.03 คะแนน
ในขณะที่ผลงานที่อยู่ในอันดับยอดแย่ ประกอบด้วย
1.โครงการยกเลิกกองทุนน้ำมัน 2.โครงการจำนำข้าวเปลือกเจ้าเกวียนละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิเกวียนละ 20,000 บาท และ 3.โครงการแจกแท็บเลตพีซี ให้เด็กนักเรียน และโครงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ได้คะแนนยอดแย่เท่ากัน
6) การประเมินบทบาทของผู้ใดก็ตามในฐานะ “ผู้นำองค์กร” จะต้องพิจารณา “ภาวะผู้นำ”
ลองถามประชาชนคนไทยทั้งประเทศในเวลานี้ (แม้แต่คนเสื้อแดงด้วย) ว่า เชื่อหรือไม่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสถานะเป็น “ผู้นำที่แท้จริง” ของรัฐบาลชุดนี้ โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีบทบาทหรือมีอิทธิอำนาจต่อการทำงานของรัฐบาลเลย?
การจะปรับ ครม. หรือใครอยากเป็นรัฐมนตรี อยากได้โครงการ ไม่เคยมีใครวิ่งเข้าไปคุยกับยิ่งลักษณ์ แต่พากันบินไปพบทักษิณ
ประชาชนจะเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร ในเมื่อทักษิณ ชินวัตร ประกาศเองว่า ยิ่งลักษณ์เป็น “โคลนนิ่ง” ของตนเอง และ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” พร้อมตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ทักษิณเป็นคนคิดแผนการหรือนโยบายทั้งหลายทั้งปวง แล้วสั่งการหรือกำหนดให้คนอื่นๆ ในพรรคเพื่อไทยทำตามเท่านั้น (รวมถึงยิ่งลักษณ์)
เรียกว่า คนคิดไม่ต้องทำ คนทำไม่ต้องคิด
ผู้นำรัฐบาลที่ทำเหมือนหุ่นยนต์ ทำตามที่คนอื่นเขากดรีโมท แบบนี้จะมีภาวะผู้นำได้อย่างไร
ยิ่งในอดีต ยิ่งลักษณ์เคยถูกทักษิณใช้เป็นเครื่องมือซุกหุ้นมาแล้ว ยิ่งสลัดภาพผู้นำหุ่นเชิดไม่หลุด
โดยทักษิณเคยซุกหุ้นไว้ในชื่อของยิ่งลักษณ์ 20 ล้านหุ้น กระทั่งถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาให้เห็นว่าเป็นนิติกรรมอำพราง อ้างยืมเงินซื้อหุ้น 20 ล้านบาท แต่เงินปันผลที่ได้รับในชื่อของเธอก็ได้จ่ายเช็คไปให้ทักษิณ เมื่อถูกตรวจสอบค่อยอ้างว่าเขียนเช็คใช้หนี้ -ครั้งแรก 9 ล้านบาท ตรงกับเงินปันผล ครั้งที่สอง เงินปันผล 13.5 ล้านบาท ก็เขียนเช็คให้เจ้าของหุ้นตัวจริงอีก 13.5 ล้าน แต่กลายเป็นว่ายอดรวมของเงินเกินจำนวนหนี้ที่อ้างไว้เสียแล้ว จึงได้มีการแก้เช็ค ขีดฆ่าเหลือ 11 ล้าน (เพื่อให้พอดีกับยอดหนี้) แล้วนำเงินไปให้ลูกสาวทักษิณแทนอีก 2.5 ล้านบาท โดยอ้างว่าเคยซื้อนาฬิกามาให้ - ข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ศาลฎีกาฯ จึงไม่เชื่อคำให้การของยิ่งลักษณ์ พิพากษายึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน
นี่เป็นตัวอย่างข้อเท็จจริงที่สะท้อนว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ด้อยภาวะผู้นำ
7) พิจารณาจากผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของตัวนายกรัฐมนตรีที่ตกต่ำ
พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อม และพ่ายแพ้เลือกตั้งท้องถิ่นหลายสนาม
ประเมินได้ว่า ขณะนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็คล้ายกับสินค้าเสื่อม
เสื่อมความนิยม กำลังจะตกรุ่น
ประชาชนจำนวนมากพากันเอือมระอา เบือนหน้าหนี
แทนที่ผู้นำรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” จะปรับปรุงความสามารถในการทำงาน เอาเวลาที่ใช้ไปกับการแต่งตัวให้สวยงาม หันไปศึกษาหาความรู้ใส่ตัว เติมความงดงามให้กับสมอง กลับพยายามใช้กลวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ หวังใช้การตลาดเข้ามาสร้างกระแสให้กับผู้นำรัฐบาล
กลวิธีโฆษณาอย่างหนึ่งที่สินค้าในท้องตลาดนิยม คือ การหาพรีเซ็นเตอร์มาช่วยโฆษณา หรือสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า
แต่การแอบอ้างรางวัล โฆษณาชวนเชื่อว่า “รับพระราชทานรางวัลผู้นำยอดเยี่ยม” ทั้งๆ ที่ “ได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์ฯ” ส่อเจตนาจะใช้บารมีของสถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่นักการเมือง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะแอบอ้างใช้ใครเป็น “พรีเซ็นเตอร์” ให้ตัวเอง?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
http://www.naewna.co.../columnist/1338