http://www.dailynews...นตามยุคปัจจุบัน
“การค้าขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) สังคมไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง เพราะปัจจุบันรูปแบบของจีทูจีเปลี่ยนไปเยอะ แต่หลักการเดิมคือการค้าขายลอตใหญ่ ๆ ขณะนี้รัฐบาลทุกประเทศทำมาค้าขายกันทั้งนั้น ทั้งรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ในบางมณฑลของประเทศจีน ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยก็ค้าขายอย่างอิสระ มีการซื้อข้าวเข้าไปขาย เดี๋ยวนี้นักการทูตทุกประเทศพูดเรื่องการค้าขายหมดแล้ว ในส่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ส่งออกข้าว ถ้ายังไม่ปรับตัวจะอยู่กันลำบาก”
นายยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ รมช.พาณิชย์ กล่าวกับ “เดลินิวส์” ถึงโครงการรับจำนำข้าว และการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ทั้งนี้นายยรรยงมองว่าผู้ส่งออกข้าวของไทยยังยึดติดกับการส่งออกในระบบเก่าเมื่อ 30-50 ปีที่แล้ว พ่อค้าบางรายยังรู้สึกมีความสุขอยู่กับการผูกขาด แต่ปัจจุบันผูกขาดไม่ได้แล้ว เพราะมีการแข่งขันมากขึ้น มีการเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น ทุกรัฐบาลของแต่ประเทศทำมาค้าขายกันหมดแล้ว
ดังนั้นการค้าแบบจีทูจีจะได้เปรียบกว่าเอกชน ถ้าเป็นเอกชนจะถูกบี้ราคา มีโอกาสถูกเบี้ยว และขายลอตใหญ่ไม่ได้ พ่อค้าเอกชนขายข้าวได้ 5 หมื่นตัน เปิดแชมเปญฉลองกันแล้ว แต่จีทูจีขายกันครั้งละหลายแสนตัน หรือเป็นล้านตัน โดยที่ผ่านมาภาวการณ์ค้าขายข้าวหอมมะลิทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศไม่ค่อยมีปัญหา ราคาข้าวหอมมะลิที่พ่อค้าคนกลางซื้อจากชาวนา กับราคาข้าวหอมมะลิในโครงการรับจำนำไม่ต่างกันมากนัก ชาวนาจำนวนไม่น้อยจึงนำข้าวหอมมะลิไปขายให้พ่อค้าคนกลาง เพราะได้ราคาที่ไม่แตกต่างจากการรับจำนำ
แต่ที่มีปัญหา คือ ข้าวขาวคุณภาพกลาง-ต่ำ ซึ่งข้าวไทยมีคุณภาพมากกว่าข้าวอินเดีย และข้าวเวียดนาม แต่ผู้ส่งออกไม่ยอมปรับตัว กลับไปดัมพ์ราคาแข่งกับอินเดีย และเวียดนาม ทั้งที่คุณภาพข้าวของเราดีกว่า ราคาข้าวจึงไม่ปรับตัวขึ้นเลยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สุดท้ายก็ไปบี้กับชาวนา ไปกดราคาข้าวของชาวนา มีตัวอย่างรัฐบาลในอดีตราคาข้าวขาว 5% ตกไปอยู่ที่ 280-290 ดอลลาร์/ตัน แต่รัฐบาลนี้ราคาข้าวขาว 5% เคยขึ้นไปสูงถึง 600 ดอลลาร์/ตัน แต่หลังจากนั้นมีการเล่นกันเละเทะ โจมตีโครงการรับจำนำข้าว โจมตีการขายแบบจีทูจี เล่นกันไม่เลิกเละเทะไปหมด ตอนนี้หล่นมาอยู่ที่ 400-500ดอลลาร์/ตัน
“วันนี้ผู้ส่งออกโดยเฉพาะรายเล็ก ๆต้องปรับตัว ต้องปรับโครงสร้าง เพราะประเทศต่าง ๆ กลายเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรายใหญ่ไปแล้ว ดังนั้นรายเล็กจะสู้รายใหญ่ไหวมั้ย ส่วนผู้ออกรายใหญ่ของไทย 5-6 ราย ยังพอไปได้ แต่ต้องเน้นขายปลีกมากขึ้นแทนการขายส่ง ถ้าส่งข้าวออกไปเป็นกระสอบ หรือเป็นตัน จะสู้ข้าวถุงได้หรือไม่ ในพม่ามีข้าวถุงขายแล้ว”
รมช.พาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการผลิตข้าวทั่วโลกว่า ทั่วโลกมีผลผลิตข้าวประมาณ 470 ล้านตัน/ปี เป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับการบริโภคในแต่ละปี บางปีมีภัยธรรมชาติรุนแรงผลผลิตจะน้อยกว่าการบริโภค บางประเทศจึงต้องนำข้าวในสต๊อกกลางออกมาใช้ เช่น จีนมีข้าวในสต๊อกกลางถึง 100 ล้านตัน อินเดียประมาณ 50 ล้านตัน ส่วนประเทศไทยมีข้าวสำรองแค่ 2-3 ล้านตันก็พอแล้ว เพราะไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีการผลิตข้าวได้มากกว่าปริมาณการบริโภค 1 เท่า โดยประเทศจีนยังมีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณปีละ 2.5 ล้านตัน เพื่อใช้บริโภคในประเทศหรืออาจนำไปช่วยเหลือประเทศที่ 3 ที่จีนเข้าไปลงทุน
ส่วนข้าวไทยถือเป็นข้าวที่มีคุณภาพ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ ประเทศไหนเศรษฐกิจดี ประชาชนมีรายได้ดีมีฐานะดีขึ้น ก็กินข้าวคุณภาพดีราคาแพง โดยรัฐบาลจะเน้นขายข้าวแบบจีทูจีมากขึ้น กับประเทศคู่ค้าหลัก ๆ เช่น จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์มาเลเซีย อิรัก อิหร่าน รวมทั้งประเทศอื่น ๆที่อยู่ระหว่างการเจรจากัน
“การค้าข้าวแบบจีทูจีในยุคสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีปริมาณข้าวน้อยกว่าของรัฐบาลนี้ แต่จีทูจีมีความคล้ายคลึงกัน แตกต่างกันตรงที่รัฐบาลชุดนี้จะรอบคอบรัดกุมและกระชับกว่า คือเราจะตรวจสอบว่ารัฐวิสาหกิจจากต่างประเทศที่มาซื้อข้าวจากเรา ว่าเป็นจี (Government ) มากน้อยแค่ไหน อาจจะเป็นจีมาจากส่วนกลาง หรือในระดับมณฑล ถ้าใช่ก็มีการซื้อ-ขายข้าว แล้วชำระเงินกัน ส่วนจะนำข้าวไปทำอะไรเป็นเรื่องของเขา ไม่ต้องสนใจว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ ถ้ามีการตกลงซื้อ-ขาย แล้วชำระเงินครบ ผมถือว่าจบ ไม่ต้องสนใจว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี”
วันนี้จึงอยากขอร้องให้ผู้ส่งออกข้าวต้องปรับตัวเอง ต้องปรับโครงสร้างให้เข้ากับยุคสมัย ถ้ายังไม่ปรับตัวเองก็ต้องไปทำอาชีพอื่น เพราะปัจจุบันการค้าขายแบบจีทูจีมีอำนาจการต่อรองมากกว่า ไม่ถูกบี้ราคา และขายกันเป็นลอตใหญ่ ๆ
วันนี้รัฐบาลดำเนินโครงการรับจำนำข้าวมาแล้ว 5 ฤดูกาลผลิต (2 ปีครึ่ง) ถือว่าทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยหมดแล้ว มีการปิดช่องโหว่ต่าง ๆ และมีการระบายข้าวที่กระชับ
มากขึ้น
นายยรรยงกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าโครงการรับจำนำข้าว รัฐบาลคือคนกลาง โดยโครงการนี้ทำให้ชาวนามีเงินเพิ่มในกระเป๋าปีละ 150,000-160,000 ล้านบาท ชาวนามีรายได้มากขึ้น จึงมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นวันนี้ข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ส่งออกข้าว จึงไหลทะลักไปยังสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จากทีดีอาร์ไอก็ไหลไปสู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทีดีอาร์ไอมีบทบาทในการทำวิจัย แต่รู้เรื่องทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวดีไปหมด โดยส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจที่โครงการรับจำนำข้าวจะถูกตรวจสอบอย่างหนักหน่วง เพราะเป็นเรื่องของหลักการที่จะต้องพิสูจน์ความจริงกันต่อไป.
Edited by 55555, 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 17:02.