เมื่อวานนี้ กลุ่มนักธุรกิจ ที่เป็นกลุ่มทุนสนับสนุนเสื้อแดง 10 คน ได้เข้าฝากเงินธนาคารออมสินรวม 1,000 ล้านบาท วันนี้ เราจะชำแหล่ะให้ดูสักหนึ่งบริษัทเป็นตัวอย่าง นั่นก็คือ "คาร์มาร์ท" (KARMART) ที่ได้นำเงินเข้าไปฝาก 70 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ประธานกรรมการ บริษัท คาร์มาร์ท (KARMART) เป็นบริษัทที่นำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์จากเกาหลี ที่มาที่ไปของบริษัทนี้ ในอดีต ก็คือ บริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น (Distar) ซึ่งเป็นของ นายกมล เอี้ยวศิวิกูล นักปั่นหุ้นคนหนึ่งในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนท่านใดเคยสัมผัสกับหุ้นเลว หุ้นปั่น อย่างเช่น MIDA คงรู้ซึ้งเป็นอย่างดี
ความเลวมิได้เป็นแค่การปั่นหุ้นเท่านั้น แต่ทว่า นายกมล เอี้ยวศิริกูล ก็เป็นเครือข่ายร่วมขบวนการปั่นหุ้นอีกหลายตัว ให้กับนักการเมืองขี้ข้าในระบอบทักษิณ แล้วมาวันนึงก็ได้พานพบกับ นายฉาย บุนนาค นักปั่นหุ้นหน้าใหม่ ดีกรีปริญญาโท จากรั้วศศินทร์ รุ่นน้องกิตติรัตน์ ณ ระนอง แต่ระดับความ***เรื่องการปั่นหุ้น จัดเป็น***ที่มีการก้าวกระโดดรวดเร็วมาก ซึ่งนายฉาย บุนนาค ก็เป็นเพื่อนกับหลายชายทักษิณ นั่นก็คือ นายรัตนะ วงศ์นภาจันทร์ (ซัน) ลูกชายของ นางเยาวเรศ ชินวัตร ได้ใช้กำลังภายในทางการเมือง เพื่อให้ได้โครงการรถเมล์ NGV อันอื้อฉาว แล้วมีการต่อรองจนกระทั่งลดจำนวนรถเมล์เหลือ 4,000 คัน มูลค่าโครงการกว่า 67,000 ล้านบาท โดยใช้ "ไดสตาร์" (Distar) เข้าไปทำดิวในโครงการนี้ แต่สุดท้ายปรากฎว่า ล่ม จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนหัวบริษัท เปลี่ยนแนวธุรกิจมาเป็น "คาร์มาร์ท" (KARMART) เพื่อปั่นราคาหุ้นรอบใหม่
เมื่อเปลี่ยนมาเป็น "คาร์มาร์ท" (KARMART) ถือเป็นการอ่านแนวทางธุรกิจเทรนเกาหลีได้ดี จึงทำให้บริษัทพลิกฟื้นกลับขึ้นมา กลุ่มทุนเหล่านี้ จึงต้องหาเงินมาชดเชยกับที่เสียเงินใต้โต๊ะกับโครงการรถเมล์ NGV ในช่วงก่อนหน้านี้ ก็เร่งหากลุ่มทุนทางการเมืองมาร่วมลงขัน อย่างเช่น คนในตระกูล "ลีลาปัญญาเลิศ" หรือ คนในตระกูล สามีเจ๊หน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และอีกหลายคน ครั้งนี้ ยังรวมไปถึง นักปั่นหุ้นรายใหญ่อีกคนหนึ่ง ก็คือ นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายานามว่า "เสี่ยปู่" ผู้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ซึ่งก็โบรกเกอร์ในเครือข่ายขี้ข้าทักษิณ ซึ่งมีความสนิทสนมกับ ประชา มาลีนนท์ ผู้บริหารช่อง 3 ที่ตอนนี้หนีคดีอยู่นั่นเอง
กระบวนการปั่นราคาหุ้น KARMART เริ่มต้นจากราคาหุ้น 0.40 บาท มูลค่าราคาตลาดรวมประมาณ 150 กว่าล้านบาท ใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง ลากราคาหุ้นขึ้นไปที่ระดับ 12 บาท มูลค่าราคาตลาดรวมประมาณ 4,500-4,600 ล้านบาท หากทำการหักจำนวนหุ้นที่อยู่ในมือรายใหญ่เหล่านี้ ขายทำกำไรในช่วงล่อนักลงทุนรายย่อย ประเภท แมงเม่าไม่กลัวไฟ ซึ่งได้เข้ามารับหุ้นไปกว่า 48% ของทุนจดทะเบียน เบ็ดเสร็จแล้ว กลุ่มปั่นราคาหุ้น KARMART รับทรัพย์เข้ากระเป๋าตังค์ไปเรียบร้อย เป็นมูลค่า 2,000 กว่าล้านบาท
ฉะนั้น เอาเงินไปฝากธนาคารออมสิน เพียงแค่ 70 ล้านบาท เค้าเรียกว่า เศษเลือดเนื้อของนักลงทุนรายย่อย ประเภท แมงเม่าไม่กลัวไฟ แค่นั้นเอง
เห็นประวัติของแต่ล่ะตัวที่เป็นแดงนี่แล้วสุดตรีนทั้งนั้นขอรับ คนดีสีสังคังล้วนๆ ไม่โจรก็พวกสิบแปดมงกุฎ... ไม่มีตะกวดปนเลย