ไม่ขอออกความเห็นใดๆ เชิญทุกท่านทัศนาครับ
http://manager.co.th...D=9570000023692
สามัคคี “ปาหี่ถั่งเช่า” “เทือก-ประยุทธ์-อดุลย์”ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังโศกนาฏกรรมอันนำมาซึ่งความสะเทือนใจของผู้คนทั้งแผ่นดินกับการเสียชีวิตของ “น้องเค้ก-น้องเคน” จากฝีมือ “***” ที่หน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริและ “น้องขิม-น้องฟิก” จากน้ำมือของ “******” ในเวทีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. จังหวัดตราด ทำให้ราชสีห์ผู้ที่ถนัดแต่การคำรามจนคอแหบคอแห้งชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก มีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 ปฏิกิริยาด้วยกันปฏิกิริยาแรกคือ การออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557และปฏิกิริยาที่สองคือการลงนามในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผอ.รมน.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะรอง ผอ.รมน.จังหวัดช่วยกันติดตามสอดส่องการยุยงการปลุกปั่นให้คนในสังคมเพิ่มความเกลียดชัง แบ่งฝ่าย และบางครั้งเลยเถิดถึงการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในวันถัดมาคือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557หลายคนมองว่า ทั้งสองปฏิกิริยา โดยเฉพาะปฏิกิริยาหลังในฐานะ ผอ.รมน.คือ “การแผลงฤทธิ์” ที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังเชี่ยวกรากและทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที เนื่องเพราะเป็นการใช้คำสั่งที่ข้ามหน้าข้ามตา “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น ผอ.รมน.โดยตำแหน่งขณะที่อีกจำนวนไม่น้อย ก็ยังคงมอง พล.อ.ประยุทธ์ด้วยสายตาเดิมๆ เพราะพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็สรุปได้ว่า เป็นแค่เพียง “การคำราม” ที่ไม่ได้บังเกิดผลในทางปฏิบัติแต่ประการใด รวมถึงมองเห็นเป็นเพียง “การแก้เกี้ยว” หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่ใยดีต่อสถานการณ์บ้านเมือง กระทั่งมีเด็กต้องเสียชีวิต ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม รหัสนัยที่เกิดขึ้นมิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น หากยังมีความเคลื่อนไหวของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส.ที่ออกโรงชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์อย่างออกนอกหน้า รวมถึงปรากฏการณ์พิสดารที่มวลมหาประชาชนสับสนและงุนงงกับการที่นายสุเทพทำท่าประหนึ่งหวานชื่นและคืนดีกับ “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” หลังยกขบวนไปบุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ด่ากราดกันชนิดที่เรียกว่าผีไม่เผาเงาไม่เหยียบนี่คือ ความเคลื่อนไหวที่ต้องถอดรหัสว่า แท้ที่จริงแล้วมีวัตถุประสงค์อะไร ใช่เป็น “สามัคคีปาหี่ถั่งเช่า” อย่างที่สังคมกำลังตั้งข้อสงสัยและกล่าวหากันหรือไม่?**เมื่อคนดีของลุงกำนันอยากให้มีการเจรจาความจริงต้องบอกว่า ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ตกหล่นไปจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำดีๆ เมื่อครั้งแรกรับตำแหน่งใหม่ๆ ไปตั้งนมนานกาเลแล้ว และยิ่งนานวัน สังคมก็สัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริง จนแทบไม่มีใครเชื่อถือหรือฝากความหวังเอาไว้กับผู้ชายที่มีชื่อเล่นว่า “ตู่” เสียด้วยซ้ำไปกระนั้นก็ดีด้วยความที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น “ทหารเสือราชินี” ที่ประดับสัญลักษณ์ “หัวใจสีม่วง” ภายใต้พระปรมาภิไธยย่อ “สก.” เอาไว้ที่หน้าอก ก็ยังทำให้หลายคนอดที่จะแอบหวังเล็กๆ ไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้ว ทหารใหญ่ผู้นี้จะเปลี่ยนใจหลังความเศร้าสลดใจเกิดขึ้นทั้งแผ่นดินจากการเสียชีวิตของเด็กน้อยทั้ง 4 คนจาก 2 เหตุการณ์ ทุกสายตาจับจ้องมองไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่ และในที่สุดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 ก็ปรากฏข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์จะแถลงการณ์แสดงจุดยืนของกองทัพบกผ่านช่อง 5 ซึ่งผู้คนที่แอบมีหวังลึกๆ ว่า คราวนี้ทหารเสือจอมคำรามคงจะเหลืออดถึงกับต้องใช้เวลาของช่อง 5 ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการและในวันนั้น สิ่งที่ผู้คนได้ยินได้ฟังพร้อมกันทั่วประเทศก็มีอยู่ว่า......“ในนามของ ผบ.ทบ. และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่บาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ วันนี้ทางกองทัพบกพยายามหารือไปยังนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และทุกกลุ่มผู้ชุมนุม ในการจะร่วมกันยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้ได้ รวมถึงหาตัวผู้กระทำความผิด ใช้อาวุธสงครามอย่างอุกอาจ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐและเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทุกภาคส่วนที่ต้องพิสูจน์ทราบ เพื่อดำเนินการป้องกันปราบปราม ตามกระบวนการทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะหากยังคงมีอยู่ นับวันสถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้น จนไม่สามารถควบคุม หรือ ยุติได้ และจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อประเทศชาติอย่างมหาศาลในโอกาสต่อไป”แปลความได้ว่า กองทัพบกพยายามหารือนายกฯ ปู พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขา กปปส. และคนเสื้อแดงเพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงคำถามมีอยู่ว่า คนระดับผู้บัญชาการทหารบกเชื่อได้อย่างไรว่าการหารือกับบุคคลดังมีรายนามข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล ตำรวจและคนเสื้อแดงจะช่วยยุติความรุนแรงได้จริง เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุความรุนแรงที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาจนถึงปัจจุบัน ตำรวจยังไม่สามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้แม้แต่รายเดียว เว้นแต่คดีนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรที่จับได้เร็วจนเหลือเชื่อนอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังตอกย้ำด้วยชุดข้อมูลเดิมๆ ว่า ...“สำหรับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จากข้อมูลงานด้านการข่าว พบว่า มีหลายกลุ่มด้วยกัน ส่วนใหญ่จะมีส่วนกับการชุมนุมในปี 2553 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ทราบ และหาหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้เร็วที่สุด กองทัพไม่กลัวการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่เกรงว่า จะเกิดการบาดเจ็บ สูญเสีย ของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เนื่องจากยังมีหลายพวก หลายฝ่ายไม่เข้าใจ และยังต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร”แปลความได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็รู้ว่า ใครเป็นคนทำ และรู้ด้วยว่าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมในปี 2553 ซึ่งก็คือการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดง แต่ยังไม่มีปัญญาหรือใช้คำที่สุภาพกว่านี้ว่า กำลังพยายามหาหลักฐานมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำคลอดชุดข้อมูลดังกล่าวออกมา แต่เวลาที่ล่วงเลยไปมิได้ช่วยทำให้อะไรกระจ่างแจ้งขึ้น แถมยังไม่สามารถสกัดกั้นการใช้ความรุนแรงได้ ทั้งๆ ที่ทหารออกมาเพ่นพ่านทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในขณะนี้ที่สำคัญกว่านั้นอยู่ตรงที่ พล.อ.ประยุทธ์รู้อยู่เต็มอกว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้เลยเถิดไปไกลถึงขั้นประกาศชัดเจนว่าจะออกมาปกป้องรัฐบาลและจะสู้เต็มที่โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ รวมทั้งจะตั้งกองกำลังและต่อสู้ด้วยอาวุธ โดยสุดท้ายหากไม่สำเร็จก็จะมีการแบ่งแยกดินแดนกันเลยทีเดียว ซึ่งหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้คือการประกาศบนเวที นปช.ที่จังหวัดนครราชสีมาของ “นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เด็กรับใช้ตัวเอ้ของระบอบทักษิณที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจะนำข้อเสนอการแบ่งแยกประเทศ พร้อมทั้งให้ประชาชนจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ มาปฏิวัติ รวมถึงคำให้ สัมภาษณ์ของนายวิสุทธ์ ไชยณรุณ อดีต ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทยและรองประธานสภาที่ยืนยันว่า แนวความคิดแบ่งแยกประเทศของคนเสื้อแดงเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ข่าวโคมลอยแต่สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศจะดำเนินการคือ “ให้ทุกพวก ทุกกลุ่ม มาพูดคุย หารือกันเพื่อให้เชื่อได้ว่า จะได้รับความเป็นธรรม ความชอบธรรมอย่างเท่าเทียม และช่วยกันก้าวเดินนำพาไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นระบบอย่างสันติวิธี การแก้ไขดังกล่าว ต้องอาศัยประชาชนทั้งประเทศเรียกร้องให้เกิดขึ้น อย่าคิดว่า ธุระไม่ใช่ หรือการถือพวก ถือฝ่าย ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งปัจจุบันและอนาคต มาเป็นหลักในการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ในปัจจุบันให้ได้ จนได้รับการยอมรับในข้อเท็จจริงจากคู่ขัดแย้ง และประชาชนทุกหมู่เหล่าที่เป็นคนไทย และเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง”พล.อ.ประยุทธ์ปรารถนาที่จะให้มีการเจรจาเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าสถานการณ์ ณ ขณะนี้เลยจุดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว เพราะนายใหญ่ของคนเสื้อแดงส่งสัญญาณแล้วว่า นับจากนาทีนี้ไปให้สู้แบบ “ล้มกระดาน” โดยจะไม่ยอม “นอนรอความตาย” และสั่งการให้มีการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบพล.อ.ประยุทธ์คิดถึงประเด็นเหล่านี้ก่อนที่จะพูดหรือแถลงการณ์หรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดก็มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการปัดสวะให้พ้นไปจากตัวเองและแถลงการณ์เพื่อสร้างภาพเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นเท่านั้น แล้วก็พร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า “สิ่งที่กองทัพดำเนินการในเวลานี้ จำเป็นต้องยึดถือกฎหมายรัฐธรรมนูญ” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนรับรู้อยู่แล้ว และไม่มีใครปรารถนาให้ทหารทำการรัฐประหารโดยฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แถมยังส่งสัญญาณว่าเห็นด้วยและสนับสนุนการเปิดเวทีเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างรัฐบาลและ กปปส.อีกต่างหาก ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากสิ่งที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการณ์นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์เสียด้วยซ้ำไป ราวกับนัดล่วงหน้ากันมาก่อนอย่างนั้น26 กุมภาพันธ์ 2557 นางสาวยิ่งลักษณ์ที่กำลังใช้ชีวิตเป็นสัมภเวสีไปต่างจากผู้เป็นผู้ชายให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาระบุว่า หากความขัดแย้งยังไม่ยุติและหันหน้ามาสู่การเจรจากัน อาจจะส่งผลให้เกิดคามรุนแรงทางการเมืองว่า ส่วนตัวเห็นด้วยและอยากให้เกิดการเจรจา อยากเห็นบ้านเมืองแก้ปัญหาด้วยความสงบ ไม่อยากเห็นบ้านเรามีความแตกแยกไปเรื่อยๆ และนำไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียแถมมีข้อมูลยืนยันอีกต่างหากว่า ก่อนที่จะมีการแถลงการณ์ออกไป นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์จะต่อสายไปยังผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพแล้ว ยังได้มีการทำความเข้าใจกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด เพราะแถลงการณ์ครั้งนี้มีเป้าประสงค์ประการเดียวคือ การเตือนสติทุกฝ่ายให้ระวังการเกิดสงครามการเมือง**สั่งผู้ว่าฯ รายงานตรงบิ๊กตู่ “แผลงฤทธิ์” หรือแค่ “แก้เกี้ยว”และผลของการปัดสวะที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 นั้นเอง ได้นำมาสู่ปฏิกิริยาที่สอง ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นการแก้ตัวหลังจากพบว่า การแถลงข่าวผ่านช่อง 5 นอกจากจะไม่ได้มีความหมายอะไร แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ติดลบไปกว่าเดิมอีกหลายเท่า นั่นก็คือการออกคำสั่งในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะ ผอ.รมน.จังหวัดช่วยกันติดตามสอดส่องการยุยงปลุกปั่นให้คนในสังคมเพิ่มความเกลียดชัง แบ่งฝ่าย จนเลยเถิดพาดพิงสถาบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามขยายวงกว้างฉับพลันทันทีที่ตกเป็นข่าว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังตามมาอื้ออึงว่าเกิดอะไรขึ้น การสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ในนาม รอง ผอ.รมน. เป็นไปโดยพละการหรือผ่านความเห็นชอบจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในฐานะ ผอ.รมน. โดยตำแหน่งหรือไม่ หรือมีผีอันใดเข้าสิงจึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่เล่นบทลอยตัวมาโดยตลอดถึงเกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเยี่ยงนี้บ้างก็ว่า นี่คือสัญญาณแตกหักอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลบ้างก็ว่า นี่คือการแสดงให้เห็นว่า ทหารปฏิเสธรัฐบาลยิ่งลักษณ์และต้องการท้าทายอำนาจด้วยทดลองสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงบ้างก็ว่า นี่คือความเคลื่อนไหวเพื่อสกัดกั้นขบวนการโจรเสื้อแดงที่กำลังประกาศแบ่งแยกดินแดนของราชอาณาจักรไทยมิให้เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไปเพราะนี่คือการออกคำสั่ง “ครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์ที่ รอง ผอ.รมน.ใช้อำนาจข้ามหัว ผอ.รมน.คือนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ต่างอะไรจาก “การรัฐประหารเงียบ”แต่...บ้างก็ว่า นี่เป็นแค่ละครอีกฉากหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยหาสาระสำคัญอันใดไม่ได้และเมื่อตรวจสอบเสียงสะท้อนจากเจ้าของตำแหน่งหมายเลข 1 คือนางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะ ผอ.รมน.ก็มิได้พบเห็นอารมณ์ตัดพ้อต่อว่าหรือตำหนิออกมาประการใดนายกฯ รัฐมนตรีคนสวยกล่าวว่า “การตรวจสอบคงต้องดูในทุกๆ ฝ่ายเพื่อไม่ให้มีความรุนแรง” แถมหยอดคำหวานเข้าใส่ด้วยว่า “อยากให้ใช้โอกาสนี้ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ในฐานะ ผอ.รมน.ได้ช่วยกันอำนวยความสะดวกการเลือกตั้งเพื่อให้ทุกพื้นที่มีความปลอดภัย”สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของนายจารุพงศ์ที่สนับสนุนการแยกประเทศว่า “เชื่อทหารไม่ปฏิวัติเพราะเข็ดแล้ว คุมไม่อยู่ คนปฏิวัติก็กลายเป็นหมาหัวเน่า พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยอยู่ในพื้นที่ เห็นแล้วว่ารุ่นพี่เป็นอย่างไร เขาก็จะเกษียณอยู่แล้ว เขาก็ไม่เอา นายกฯ ก็ไม่ล้ม แค่อ่อนแอ ที่สุดแล้วเกิดการปะทะกัน มีเสียงระเบิดก็เหมือนสงครามย่อยๆ ซึ่งตรงนี้จะระงับได้คือการหันหน้ามาคุยกัน”สุดท้ายคำถามจึงมาขมวดลงอยู่ตรงที่ว่า คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะรอง ผอ.รมน.นั้นจะมีผลในการปฏิบัติจริงหรือไม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศจะเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ เพราะว่ากันตามตรง ทุกวันนี้ผู้ว่าฯ ก็ใช่ว่าจะมีน้ำยาอะไรสักกี่มากน้อย แถมส่วนใหญ่ก็เป็นคนของระบอบทักษิณอีกต่างหาก ซึ่งแปลว่า คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์จะกลายเป็นคำสั่งขี้มูกที่ไม่มีใครสนใจ เพราะผู้ว่าฯ จะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายอันใดทั่วประเทศและจบลงตรงที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์เชื่อได้อย่างไรว่า คนเสื้อแดงจะเชื่อผู้ว่าฯ มากกว่าเชื่อนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรนอกจากนั้น สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องตระหนักให้มากในฐานะรอง ผอ.รมน.ก็คือ ความคิดเครื่องการแบ่งแยกประเทศที่ลุกลามบานปลายในกลุ่มคนเสื้อแดง ถึงขนาดมีการนำแผ่นป้ายไวนิลที่มีข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา” ที่จังหวัดพะเยาและพิษณุโลก ซึ่งจวบจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีความเห็นออกมาจากผู้บัญชาการทหารบกให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่นี่คือเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด แถมยังเป็นหน้าที่โดยตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ที่จะปกป้องราชอาณาจักรไทยให้เป็นหนึ่งเดียวตามรัฐธรรมนูญทั้งนี้ เชื่อว่า การเคลื่อนไหวในการแบ่งแยกดินแดนนั้น นอกจากเป็นไปตามสัญชาตญาณดิบของนายใหญ่แล้ว ยังหวังผลอีก 2 ประการคือ เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเจรจา ซึ่งก็ตรงกับเป้าประสงค์ของ พล.อ.ประยุทธ์และนางสาวยิ่งลักษณ์ รวมถึงต้องการยั่วให้ พล.อ.ประยุทธ์ทำการรัฐประหารซึ่งก็จะเข้าทางคนเสื้อแดงในการปลุกระดมมวลชนออกมาเผาบ้านเผาเมืองอีกครั้ง แต่ประการหลังนี้ ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยเมื่อเทียบกับเป้าประสงค์ที่สร้างเงื่อนไขให้เกิดการเจรจาถ้า พล.อ.ประยุทธ์ออกคำสั่งในฐานะรอง ผอ.รมน.เพื่อหยุดยั้งคนเสื้อแดง ก็ต้องประกาศออกมาให้ชัดเจน มิใช่เลียบค่ายริมเมืองเช่นนี้ เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ มิใช่เรื่องเล็กๆ ดังที่ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์นิดา ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “การที่กลุ่มเสื้อแดงกล้าเขียนป้ายแบ่งแยกประเทศติดประกาศในที่สาธารณะย่อมแสดงให้เห็นว่า ความคิดและการปฏิบัติการแยกประเทศของพวกเขาต้องมีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและมีการวางแผนอย่างดีเป็นระบบพอสมควร มิใช่เกิดจากอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจชั่ววูบแต่อย่างใด”ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังจะให้มีการเจรจาเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ประกาศจะใช้ความรุนแรงและปรารถนาจะให้มีการแบ่งแยกดินแดนอีกหรือ**“เทือก-ตู่-อู๋”สัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนถัดจากปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกประการหนึ่งก็คือ ความเคลื่อนไหวของนายสุเทพในฐานะเลขาธิการ กปปส. ซึ่งเป็นผู้นำมวลมหาประชาชนในปัจจุบัน ที่มีต่อบุคคลสำคัญ 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหลังเหตุการณ์การเสียชีวิตของเด็กทั้ง 4 คน เวลา 20.15 น. ของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 ที่เวทีปทุมวัน นายสุเทพ ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ออกมาประกาศออกมาเลือกข้างประเทศ ไม่เลือกข้างรัฐบาล ทั้งๆที่เป็นข้าราชการ ตนในนามของมวลมหาประชาชนขอใช้เวทีนี้แสดงความขอบคุณที่ได้ออกมาทำหน้าที่ สมแล้วที่คนไทยทั้งหลายคาดหวัง“หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้ดูถ่ายทอดสดอยู่ เชื่อมาตลอดว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความจงรักภักดีไม่มีวันทรยศต่อประชาชน ดังนั้นจึงขอยกย่องชื่นชมและขอขอบคุณที่ได้ออกมาทำหน้าที่ในฐาน ผอ.กอ.รมน.รักษาความมั่นคงของประเทศไทย และผมรู้ว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาพูดแบบนี้ ฝ่ายระบอบทักษิณต้องเล่นงานเต็มที่ ดังนั้นจึงขอเป็นกำลังใจให้ที่เลือกอยู่ข้างเดียวกับประชาชน ทั้งนี้อยากให้พี่น้องประชาชนพยายามระมัดระวังด้วยการให้เกียรติทหาร”พร้อมแก้ตัวด้วยว่าการที่ตนเองไม่นำมวลมหาประชาชนไปไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ไปประชุม ครม.ที่กองทัพอากาศก็เพราะ “ให้เกียรติทหาร จึงไม่ตามไปไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์”การประกาศชมอย่างออกนอกหน้าทำให้เกิดคำถามว่า นายสุเทพเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า กองทัพยืนอยู่เคียงข้างประชาชนจริงๆ ทั้งๆ ที่เมื่อไล่เรียงข้อมูลจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์เองก็เห็นได้ว่า โดยข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์มีข้อมูลเรื่องกลุ่ม “***” ที่ใช้ความรุนแรงอยู่ในมืออยู่แล้ว แต่ก็มิได้กระทำการหรือจัดการกำราบเดรัจฉานเหล่านั้นให้สิ้นซากพล.อ.ประยุทธ์ก็ยังคงทำเป็น “โลกสวย” อยู่อย่างไม่อนาทรร้อนใจ แล้วก็ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายรายวันกับผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง แถมยังแบะท่าว่ายินดีที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจากัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าคนเสื้อแดงมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการแบ่งแยกประเทศนี่หรือคือท่าทีของเหล่าทัพที่นายสุเทพชื่นชม นายสุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์มีอะไรในกอไผ่หรือไม่สำหรับท่าทีต่อตำรวจก็ต้องถือว่ามีความผิดปกติไม่น้อย ประหนึ่งว่า อาจจะมีการเจรจาความเมืองกันล่วงหน้าก่อนที่นายสุเทพจะนำมวลมหาประชาชนไปทวงถามความคืบหน้าของคดีที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะคดีการเสียชีวิตของเด็กๆ ทั้ง 4 คนทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวชื่นชม พล.ต.อ.อดุลย์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศรส.โดยยึดคำสั่งของศาลแพ่งที่ได้คุ้มครองและห้ามสลายการชุมนุม และได้ขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา โดยหลังจากี้ กปปส.ยินดีให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งเครื่องแบบเข้าไปตรวจสอบอาวุธในทุกเวทีการชุมนุม พร้อมกันนี้นายสุเทพยังได้อ่านจดหมายถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยสรุปใจความสำคัญได้ว่า ขอให้ตั้งคณะทำงานพิเศษ เรียกร้องให้ติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุบริเวณเวที กปปส.จ.ตราดและหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริจากนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ได้ลงมาพบและรับช่อดอกไม้จากตัวแทน กปปส.ด้วยตัวเอง พร้อมยืนยันว่า ทาง สตช.มิได้นิ่งนอนใจและจัดทีมคลี่คลายคดีเฉพาะกิจ ซึ่งมี พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.รับผิดชอบทุกคดี ซึ่งนายสุเทพได้ขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกครั้งและยืนยันว่าจะไม่หนีไปไหน แต่ขอเวลาต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยเคียงข้างพี่น้องประชาชนนี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างนายสุเทพและ พล.ต.อ.อดุลย์ ซึ่งเป็นที่กังขาว่าอะไรเป็นจุดทำให้นายสุเทพถึงกลับหลังหัน 360 องศาต่อตำรวจได้จากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้หรือจะเป็นเพราะคำสั่งของ พล.ต.อ.อดุลย์ที่มีถึงลูกน้องตำรวจทั่วประเทศให้งดการใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส.ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็มิได้มิได้หมายความว่า ตำรวจจะเปลี่ยนใจไม่รับใช้รัฐบาลและนายใหญ่แห่งดูไบ หากแต่เป็นเพราะต้องการ “เอาตัวรอด” ในสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจากศาลมีคำสั่งคุ้มครองการชุมนุม รวมถึงปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ตำรวจใช้อาวุธและกระสุนจริงยิงผู้ชุมนุม หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลและ ศรส.ต่างพากันลอยตัวว่า ไม่ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระสุนจริงหรือระเบิดกับผู้ชุมนุมมิใช่ดวงตาเห็นธรรมแต่ประการใดดังนั้น ท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งนายสุเทพและ พล.ต.อ.อดุลย์ในวันที่มวลชน กปปส.บุก สตช.จึงมีความน่าสงสัยว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่เช่นกันและด้วยเหตุดังกล่าว ปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นระหว่างนายสุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์ และนายสุเทพกับ พล.ต.อ.อดุลย์จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามเพราะนำมาซึ่งคำถามว่า ใช่เป็น “สามัคคีปาหี่ถั่งเช่า” หรือไม่กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์