ถ้ายอมทําตั้งแต่ต้นคงไม่ต้องโดนด่า ทําดีต้องชมเป๋ไป ผิดทางต้องติติงและด่า
จุดเริ่มต้นที่ดี!!
อดีต ส.ส.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้ปราศรัยเรื่องพลังงานโดยการถ่ายทอดสดผ่านบลูสกาย หลังจากที่เป็นข้อห้ามบนเวที กปปส.มาหลายเดือน สำหรับผมแล้วมีความเห็นดังนี้
1. ผมเชื่อเรื่องศักยภาพและเอกภาพของเวทีหลักนั้นจะมีส่วนเรื่องทำให้สังคมไทยตื่นรู้ได้ดีที่สุด ผมจึงเลือกที่จะผลักดัน"เวทีหลัก"มากกว่าจะไปตั้งเวทีเอง หรือนำมวลชนเองในเวทีย่อย เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็จะขัดกับหลักการที่ได้ยุติบทบาทแกนนำพันธมิตรฯไปเพื่อให้คณะบุคคลอื่นที่มีศักยภาพมากกว่าเป็นผู้ลงมือทำ จึงเลือกที่จะตั้งคำถามหรือผลักดันผ่านสื่อที่พอจะทำได้ หรือให้กำลังใจเวทีเล็กที่พูดเรื่องพลังงาน และเชื่อว่าแรงผลักดันหลายเดือนที่ผ่านมาของพี่น้องประชาชนที่ตื่นรู้แล้ว เป็นสาเหตุทำให้เกิดการพูดถึงพลังงานบนเวทีหลักของ กปปส.เมื่อคืนนี้ ซึ่งผมเห็นว่าตรงนี้เป็นสัญญาณที่ดี และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะสังเกตว่า แม้เป็นการปราศรัยของคุณ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ซึ่งไม่ใช่แกนนำหลักของ กปปส. หรือ ไม่ใช่ หัวข้อที่จะปฏิรูปของ กปปส.อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการแชร์และกล่าวถึงด้วยความดีใจเป็นจำนวนมาก (โดยแทบจะไม่สนใจเนื้อหาเสียด้วยซ้ำว่าเพียงพอแก่การปฏิรูปจริงหรือไม่) แสดงให้เห็นและพิสูจน์ว่าการผลักดันไม่ใช่การเตะตัดขา ไม่ใช่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ใช่การอิจฉา แต่กลายเป็นสิ่งถูกต้อง ได้ผล และต้องทำต่อไป โดยเอาประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
2. ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่า "ไม่อยากให้คนดีทะเลาะกัน" กับข้อห้ามในการพูดเรื่องปฏิรูปพลังงานบนเวที เพราะนิยามคนดี หรือ คนชั่วในมุมมองของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน จึงอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคนต้านระบอบทักษิณทุกคนจะเป็นคนดีเสมอไป และคนเคยดีหรือเคยชั่วในอดีตก็ไม่แน่ว่าจะต้องดีหรือต้องชั่วอย่างนั้นตลอดไป ดังนั้นคนดีหรือชั่วในอดีตก็คงไม่ได้สำคัญเท่ากับปัจจุบันว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนแล้วหรือยัง
เนื้อหาการปราศรัยรณงค์และความเห็นที่แตกต่าง ตลอดจนการถกเถียงโดยให้ประชาชนรับรู้อย่างโปร่งใสต่างหาก คือวิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาของประชาธิปไตยที่"สมบูรณ์" ไม่เช่นนั้นที่ผ่านมา กปปส.จะจัดเวทีเสวนาเรื่องการปฏิรูปประเทศในหัวข้อต่างๆโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยละเว้นการปฏิรูปพลังงานไปได้อย่างไร ดังนั้นถ้ามีเป้าหมายในการปฏิรูปพลังงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนจริง ต้องส่งเสริมให้ประชาชนได้ฟัง และรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วย
3. ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดหลายรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนเลย ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลที่จะมีจุดยืนเรื่องพลังงานอย่างจริงใจและเป็นรูปธรรม แม้กระทั่งเรื่อง"การทวงคืนท่อขนส่งปิโตรเลียม" ที่ทุกรัฐบาลเพิกเฉยไม่จริงใจมาโดยตลอด
ผมจึงเห็นด้วยกับคุณอรรถวิชช์ ในประเด็นที่ว่าท่อขนส่งปิโตรเลียมทั้งหมดทั้งบนบกและในทะเลต้องตกเป็นของรัฐทั้งหมด จึงจะเป็น"ส่วนหนึ่ง"ของการปฏิรูปพลังงานได้...
แต่ระบบท่อเพียงอย่างเดียวไม่สามารถปฏิรูปประเทศได้ !!!
เพราะ"ต้นน้ำ"คือระบบสัมปทานและผลตอบแทนของรัฐที่ไม่เป็นธรรมต่อประเทศชาติ ถ้าการสัมปทานเปิดช่องว่างทำให้ทุจริตง่าย ผลตอบแทนรัฐได้อย่างไม่คุ้มค่า ต่อให้ได้ท่อก๊าซกลับคืนมาๆด้ ผลตอบแทนรัฐก็จะยังคงไม่เป็นธรรมต่อไปอยู่ดี
และ"ปลายน้ำ" คืออุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่แย่งใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าอย่างมหาศาลเพื่อประโยชน์ของจำนวนคนไม่กี่คนจน แต่ประชาชนต้องแบกรับต้นทุนทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปด้วยอย่างไม่เป็นธรรม ต่อให้แก้เรื่องทวงคืนท่อขนส่งปิโตรเลียมให้เป็นของรัฐได้ คนไทยก็จะยังคงใช้น้ำมันและก๊าซในราคาแพงเพื่อให้กลุ่มทุนเหล่านี้รวยขึ้นต่อไปอยู่ดี
นอกจากนี้ ยังมีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่ปล่อยให้ข้าราชการไปเป็นกรรมการและมีผลตอบแทนในกิจการพลังงานเสียเอง สิ่งเหล่านี้ถ้ายังไม่แก้ไข หรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงก็จะไม่สามารถปฏิรูปพลังงานได้เลย เพราะต่อให้คืนท่อแก๊สให้กับรัฐทั้งหมดได้จริง รัฐก็จะเก็บค่าเช่าท่อจากเอกชนใราคาถูกๆต่อไป โดยที่ราคาพลังงานที่คนไทยใช้ก็จะแพงต่อไปได้อีก เพื่อเพิ่มความร่ำรวยให้กับข้าราชการและนักการเมืองที่มีผลประโยชน์ในกิจการพลังงานไมีกี่คนเหล่านี้ต่อไป
4. ผมยังเชื่อว่า ส.ส.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นนักการเมืองน้ำดีที่มีศักยภาพและยังมีอนาคตอีกไกล ผมเสนอว่าการปราศรัยรณรงค์เรื่องปฏิรูปพลังงานไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ระบบท่อขนส่งปิโตรเลียมเท่านั้น เพราะผมทราบมาว่านับตั้งแต่ภาคประชาชนตื่นรู้และเรียกร้องการปฏิรูปพลังงานทั้งระบบจนเกิดกระแสมากขึ้น กลับมีคณะบุคคลหนึ่งพยายามสถาปนาขึ้นและเชิญชวนบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน (ซึ่งยังไม่สำเร็จ)เพื่อหวังที่จะชิงการนำการปฏิรูปขแทนภาคประชาชนโดยหวังจะ "จำกัดขอบเขต" กระแสการปฏิรูปให้อยู่เพียง "ท่อขนส่งปิโตรเลียม"เท่านั้น เพื่อให้ประชาชนหลงเพียงวาทกรรมว่าได้การปฏิรูปพลังงานแล้ว ทั้งๆที่การทำเช่นนี้มันจะเป็นการปฏิรูปพลังงานปาหี่ที่คนไทยและรัฐไทยก็จะยังคงจนต่อไป (ตามที่ผมระบุเอาไว้ในข้อ 3) ดังนั้นการปราศรัยของคุณอรรถวิชช์เมื่อคืนนี้อาจจะเพราะมีเวลาจำกัดจึงพูดได้เฉพาะเรื่องท่อขนส่งปิโตรเลียมอย่างเดียว ผมยังหวังว่าในครั้งต่อไปคงได้เห็นคุณอรรถวิชช์ได้พูดเรื่องความบกพร่องในระบบสัมปทานเมื่อเทียบกับการแบ่งปันผลผลิต การใช้ทรัพยากรปิโตรเลียมมากจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ประชาชนต้อบแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐไปมีผลประโยชน์กับกิจการพลังงาน เพราะผมเชื่อมั่นว่านักการเมืองอนาคตไกล อย่างคุณอรรถวิชช์ ต้องมองเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะยอมเป็นเครื่องมือหรือรับงานคณะบุคคลที่หวังช่วงชิงและทำลายการปฏิรูปพลังงานจากภาคประชาชนอย่างแน่นอน
5. เพราะความเห็นของแต่ละคนเรื่องการปฏิรูปพลังงานอาจมีความแตกต่างกันได้ ผมเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเคลื่อนไหวให้มีเอกภาพ และถ้าจะมีโอกาสที่จะสำเร็จได้ก็ต้องทำให้ตกผลึก "อย่างโปร่งใส" เสียก่อน ผมยังคงเห็นว่า เมื่อเวที กปปส.ไม่ปิดกั้นการปราศรัยพูดเรื่องพลังงานแล้ว ผมเห็นว่าควรให้ มล.กรกสิวัฒน์ ส.ว.รสนา และคุณอิฐบูรณ์ ได้ขึ้นเวทีเรื่องการปฏิรูปพลังงานทั้งระบบด้วย หรือถ้าคิดว่าข้อมูลไม่สมดุลก็ให้จัดเวทีคนที่ไม่เห็นด้วยสลับกันพูดกันคนละรอบในเวลามากพอและเท่ากันอย่างเป็นธรรม หรือถ้าไม่พร้อมก็ขอเชิญที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ผมเชื่อว่าการแสดงความจริงใจและโปร่งใสนี้จะทำให้ประชาชนรู้สึกไว้วางใจในการปฏิรูปพลังงานได้มากขึ้น และผมเชื่อว่าประชาชนที่ตื่นรู้แล้วจะตัดสินใจได้ว่าควรจะเลือกเดินแนวทางการรณรงค์การปฏิรูปพลังงานให้เป็น"เอกภาพ"ในทิศทางใดต่อไป
6. สุดท้ายแล้วการปฏิรูปพลังงานนั้นไม่ควรจะจำกัดอยู่เพียงแค่ "การแสดงความเห็น"ของผู้ปราศรัย หรือผู้อภิปรายในเวทีเสวนา เมื่อ กปปส.ได้รับความไว้วางใจและฉันทานุมัติ ก็ควรจะประกาศหลักการที่จะรณรงค์เป็นหัวข้อที่ 6 ที่จะปฏิรูปพลังงานเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้ง 65 ล้านคน จึงจะเกิดพลานุภาพและสร้างความหวังและศรัทธาให้กับมวลมหาประชาชนได้มากขึ้น
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
https://www.facebook...123613731031938
Edited by phat21, 19 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 09:24.