ผมก็เชื่อเรื่องกรรม
ผมเคยอ่านพระไตรปิฎกแล้วพบเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจ
อยากนำมาให้ช่วยกันวินิจฉัยครับ
(1) พระ ก. เข้าไปในป่าแล้วเจอกวางติดกับดักของนายพราน ท่านสงสารก็เลยปล่อยมันไป
พอปล่อยแล้วท่านก็สงสัยว่าการกระทำของท่านจะเป็นอาบัติปาราชิกหรือไม่
เพราะโดยรูปแบบแล้วก็คือทำให้นายพรานเสียทรัพย์ (กวางที่ติดกับดักแล้วต้องถือว่าเป็นทรัพย์ของนายพราน)
(**วินัยสงฆ์ระบุว่า ถ้าขโมยหรือทำให้ทรัพย์สินคนอื่นเสียหายตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป จะถูกปรับปาราชิก)
ท่านจึงไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ซักว่าตอนปล่อยคิดอย่างไร
ท่านตอบว่าสงสาร พระพุทธเจ้าเลยวินิจฉัยว่าไม่ต้องอาบัติใดๆ ทั้งสิ้น
(2) บ่ายวันหนึ่ง พระ ข. เห็นบาตรของพระ ค. สวย อยากได้ เลยตั้งใจว่าคืนนี้จะแอบไปขโมย
แต่ตอนขโมยดันทะลึ่งหยิบบาตรของตัวเองไป (เข้าใจว่าบาตรของพระทั้งสองคงวางใกล้กัน แล้วมันมืด)
พระ ข. สงสัยว่าอย่างนี้เป็นอาบัติหรือไม่ เลยไปถามพระพุทธเจ้า
พอพระพุทธเจ้าไล่เลียงแล้วก็วินิจฉัยว่าไม่ปาราชิก แต่อาบัติทุกกฏ (ความผิดสถานเบา)
ข้อสังเกตคือ ถ้าเอาสองเคสนี้มาเทียบก็จะเห็นว่ามีความลักลั่นกัน
เคส (1) เจตนาดี แต่คนอื่นเสียหาย
เคส (2) เจตนาร้าย แต่คนอื่นไม่เสียหาย
ถ้าสมมติให้คะแนนว่า
เคส (1) เจตนาดี +1 ผลเสีย -1 = 0
เคส (2) เจตนาร้าย -1 ไม่มีผลเสีย +1 = 0
ทั้งสองเคสจะคะแนนเท่ากัน แต่ทำไมเคส (1) ไม่ผิด
อย่างน้อยก็น่าจะปรับอาบัติทุกกฏเหมือนกัน ในฐานะชดเชยค่าเสียหายแก่เจ้าของทรัพย์
ผมเองก็ตอบไม่ได้ หรืออาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้
ใครอ่านแล้วมีความเห็นอย่างไรช่วยกันวินิจฉัยด้วยครับ
ขอร่วมวงสนทนาด้วย ผิดถูกไม่ว่ากันนะครับ....
กรรมนั้นเกิดได้สามทางคือ ทางกาย , ทางวาจา และทางใจ (การทวาร , วจีทวาร , มโนทวาร )
กรรมดีก็ดี กรรมชั่วก็ดี จะเรียกว่าเป็นกรรมก็ต้องประกอบด้วยความจงใจ ( มโนสัญเจตนา )
ที่พูดกันว่า “ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว “ คือใจสั่งกายและวาจาโดยเจตนา
กรรมดีเรียกว่า “ กุศลกรรม “ ก็ได้ กรรมชั่วเรียกว่า “ อกุศลกรรม “ ก็ได้
จะจัดกรรมว่าเป็นกรรมดีกรรมชั่ว ( กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ) นั้นต้องดำเนินไป
จนครบกระบวนธรรมที่เรียกว่า “ กรรมบถ “ ( คัลลองหรือทางแห่งกรรม )
กรรมบถฝ่ายดีเรียกว่า “ กุศลกรรมบถ “ กรรมบถฝ่ายชั่วเรียกว่า “ อกุศลกรรมบถ “
ขอกล่าวถึงกุศลกรรมบถก่อน กุศลกรรมบถมี ๑๐ คือ...
๑. ปาณาติบาต ๒. อทินนาทาน ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ( เกิดทางกาย )
๔. มุสาวาท ๕. ผรุสวาจา ๖. ปิสุณวาจา ๗. สัมผัปปลาป (เกิดทางวาจา )
๘. อภิชฌา ๙. พยาบาท ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ ( เกิดทางใจ )
อกุศลกรรมบถแต่ละอย่างนั้นต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนจึงจะจัดเป็นกรรมบถนั้นๆได้
ขอกล่าวถึงอกุศลกรรมบถเพียงสองอย่างนะครับ คือ ปาณาติบาต และอทินนาทาน
เพราะจะนำมาพิจารณาสองกรณีนี้ และใช้พิจารณาถึงอาบัติของพระด้วย
ปาณาติบาตมีองค์ประกอบที่จะทำให้เป็นอกุศลกรรมบถ ๕ องค์ คือ..
๑. ปาโณ ( สัตว์มีชีวิต ) ๒. ปาณสัญญิตา ( ความเป็นผู้รู้ว่าสัตว์มีชีวิต )
๓. วธกเจตนา ( เจตนาคิดจะฆ่า ) ๔. อุปักกโม ( ลงมือฆ่าด้วยความพยายาม )
๕. เตนะ มรณัง ( สัตว์ตายด้วยความพยายามลงมือนั้น )
อทินนาทานมีองค์ประกอบที่จะทำให้เป็นอกุศลกรรมบถ ๕ องค์เหมือนกัน คือ..
๑. ปรปริคคหิตัง ( วัตถุมีเจ้าของหวง ) ๒. ปรปริคคหิตสัญญิตา ( รู้ว่าวัตถุนั้นมีเจ้าของ)
๓. เถยยจิต ( มีความคิดที่จะลัก ) ๔. อุปักกโม ( ลงมือลักวัตถุนั้น )
๕. เตนะ หรณัง ( ลักวัตถุนั้นมาได้สำเร็จ )
อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เพราะเราต้องตั้งองค์ประกอบเหล่านี้ไว้เป็นหลักเพื่อพิจารณา
กรณีที่ ๑ พระ ก. เข้าไปในป่าแล้วเจอกวางติดกับดักของนายพราน ท่านสงสารก็เลยปล่อยไป
พอปล่อยแล้วท่านก็สงสัยว่าการกระทำของท่านจะเป็นอาบัติปาราชิกหรือไม่ ?
กวางตัวนั้นโดยสมมติทางโลกว่าเป็นสมบัติของนายพราน แต่โดยสัจจะแท้จริงแล้วไม่ใช่
เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใครได้ เราเองยังไม่ใช่เจ้าของชีวิตของเราเลย
มีแต่กระบวนธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่เมื่อถือว่ากวางที่ติดบ่วงเป็นของนายพราน
ก็มาพิจารณาถึงองค์ประกอบของอทินนาทานข้อที่ ๓ คือจิตคิดจะลักมาเป็นของตน
พระท่านไม่มีไถยยจิต ท่านปล่อยกวางไปเพราะกรุณาธรรม ไม่ได้คิดจะครอบครองกวาง
อกุศลกรรมบถว่าด้วยอทินนาทานจึงไม่ครบองค์ประกอบ พระท่านจึงไม่ต้องอาบัติปาราชิก
พิจารณากันตรงๆตามนี้ล่ะครับง่ายๆ ส่วนจะมีผลที่เกิดจากการกระทำของท่านขอไม่กล่าวถึง
เพราะมันมีเหตุปัจจัยที่เป็นตัวแปรได้หลายอย่าง แต่ขอเล่าเรื่องๆหนึ่งนะครับ....
ครั้งหนึ่งเจ้าชายเทวทัตใช้ธนูยิงนกตัวหนึ่งที่บินอยู่ตกลงมา นกนั้นตกลงเบื้องพระพักต์เจ้าชาย
สิทธัตถะๆทรงเก็บนกตัวนั้นไปรักษาบาดแผลและทรงดำริจะปล่อยไป เจ้าชายเทวทัตมาทวงถาม
โดยอ้างว่ายิงนกได้นกนั้นต้องเป็นของตน เจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิเสธไม่ให้นกแก่เจ้าชายเทวทัต
ทรงให้เหตุผลว่า เจ้าชายเทวทัตเป็นผู้ทำลายชีวิต แต่พระองค์เป็นผู้ช่วยชีวิต เจ้าชายเทวทัตจึง-
ไม่มีสิทธิ์ในชีวิตนกนั้น พระองค์ต่างหากที่มีสิทธิ์เพราะทรงให้ชีวิตมัน....
กรณีที่ ๒ พระมีไถยยจิตคิดจะลักบาตรของเพื่อนภิกษุ เกิดอภิชฌาคือความโลภอยากได้ในใจ
จัดเป็นอกุศลกรรมบถทางมโนทวารแล้ว ครั้นพอลงมือลักด้วยความพยายาม และลักสำเร็จด้วย
แต่เป็นการลักบาตรผิดใบ คือบาตรของตนเองซึ่งไม่ใช่วัตถุที่ผู้อื่นหวง จึงขาดองค์ประกอบแรก
( ปรปริคคหิต = วัตถุที่เป็นของผู้อื่นและผู้อื่นหวงไม่ให้ ) พระรูปนี้ยังไม่ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ก็เกิดโทษทั้งทางกายวาจาใจแล้ว กายลงมือลักแต่โทษไม่ถึงอันติมะวัตถุเพราะไม่ใช่ของผู้อื่น
วาจาเป็นวจีทุจจริตเพราะด่าที่ลักบาตรมาผิดใบ แต่ทั้งหมดก็มาจากมโนทุจริตคือความโลภ...
พระพุทธเจ้าทรงตัดสินชอบธรรมแล้วครับ ขอแสดงความความคิดเห็นเพียงเท่านี้ก่อนครับ....