.....เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง
.....คำแถลงการณ๋มี 6 ข้อ แต่จะขอพูดเฉพาะข้อ 4 ที่มีข้อความว่า พรรคเห็นว่าที่มาและทัศนคติของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ มีปัญหาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีกำเนิดมาจากการแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ตุลาการหลายท่านไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 หลังจากนั้นได้สร้างผลงานที่ส่งผลกระทบต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองฝ่ายพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อไปตั้งพรรคพลังประชาชนก็ถูกยุบพรรคอีกพร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด การตัดสินคดีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างน่ากังขา ฯลฯ นั้น
.....ที่อ้างว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ชุดกำเนิดมาจากการแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการเอาความเท็จมาอ้าง เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดได้รับการคัดเลือกมาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด คณะกรรมการสรรหา ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 204 ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารดังที่พรรคเพื่อไทยอ้าง รวมทั้งกลุ่มคนที่ยอมตัวเป็นขี้ข้่าทักษิณมักชอบเอามาอ้างหลอกประชาชนที่ยังขาดความรู้เข้าใจผิดตลอดมา
.....ที่อ้างว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ก็เป็นเอาความเท็จมาอ้างเช่นเดียวกัน เพราะความจริงคือพรรคไทยรักไทยมีคำวินิจฉัยให้ยุบโดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (ไม่ใช่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) ที่ประกอบประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธาน และคณะตุลาการที่เลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด
.....พรรคพลังประชานถูกยุบ เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง พิพากษาว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งโดยการซื้อเสียง จึงให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และนายยงยุทธเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน จึงเข้าข่ายที่่พรรคจะต้องถูกยุบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 237 เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญต้องฟังตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่พิพากษาว่า นายยงยุทธทุจจริตในการเลือกตั้ง จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกประการ
.....เรื่องนายสมัคร สุนทรเวช นั้น เนื่องจากที่หล้งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังคงเป็นพิธีกรในรายการ“ชิมไป บ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า" ให้แก่บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง โดยได้รับค่าตอบแทน จึงเป็นการกระทำท่ีต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช จึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วรรคหน่ึง (7) ซึ่งก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กรณีนี้ผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็คือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตวุฒิสมาชิกที่ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้สมัคร ส.ส. แบบส่วนสัดของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
.....จึงเห็นได้ว่า พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเชื่อและนำมาพูดกันตลอดมา
.....อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไม เมื่อพรรคเพื่อไทยหรือคนของพรรคเพื่อไทยถูกดำเนินคดีไม่ว่าในชั้นศาลหรือในองค์กรอิสระ จึงถูกวินิจฉัยให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้บ่อย ๆ
.....นอกจากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยยังไม่สนใจที่จะใฝ่รู้ว่า รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติว่าอย่างไร ทั้งข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะนำมาต่อสู้คดีก็ยังไม่สนใจอีกด้วย
....สงสัยอาจติดนิสัยของทักษิณ ชินวัตร ที่คิดว่าใช้เงินซื้อได้หรือนำเงินใส่ถุงไปวางไว้แล้วจะทำให้ชนะคดี ครับ
...........................................................................................
เห็นมีความพยายามบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ศาลรธน.กันมากขึ้น โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงจึงขอนำความเห็็นของท่านชูชาติ ศรีแสง
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา มาลงให้อ่านครับ https://www.facebook...468417729951125