อ่านมาจากเฟจปิดเลยลองเอามาให้อ่าน
-----
แล้วยังไง ตอนที่ 1/10 - ปฐมบท
----------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557
ท่ามกลางความอึดอัด ตึงเครียด จากสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังหาทางออกอันเป็นที่ยอมรับกันไม่ได้ กับสถานการณ์โลกที่เริ่มระอุ ครุกรุ่น มีความผิดปกติเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่สังคมโลก สังคมไทย กลับถูกใส่แว่นให้มองอย่างที่เขาอยากให้เห็น ไม่ได้มองมันด้วยสองตากับการใคร่ครวญของเราเองอย่างที่มันควรจะเป็น สองครูผู้ยิ่งใหญ่จากวงการสื่อสารมวลชนจึงโคจรมาพบกันแบบ Surprise เป็นครั้งแรกบนเวทีเล็กๆ ที่จัดพิเศษเป็นวงปิดแบบนี้ เพื่อมองไทยและมองโลกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557
ครูคนแรกคือ แม่หมอ “ฟองสนาน จามรจันทร์” ครูอีกคนคือพ่อมด “ทนง ขันทอง” ผู้ที่ได้รับอีกฉายานามว่า ศาสดามืดตัวพ่อ
ท่านมาเพื่อถ่ายทอดผลการส่องดวงเมืองและบุคคลสำคัญชองไทย กับมองความเป็นมาและที่จะเป็นไปในโลกผ่านภูมิรู้ที่มีหลักวิชากับประสบการณ์ทางโหราศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง และการปกครอง ทั้งนี้ ต้องบอกกันก่อนว่ากระบวนการคิดของแม่หมอกับพ่อมด ล้วนแต่เป็นกระบวนการคิดอย่าง “วิทยาศาสตร์” ทั้งสิ้น ไม่ใช่ไสยศาสตร์ด้านมืดหรือความงมงายแต่ประการใด ส่วนคำเรียกว่า แม่หมอ กับ พ่อมด หรือศาสดามืดตัวพ่อนั้น เป็นชื่อที่พี่ตู่ตั้ง เพื่อให้มีสีสรรถูกจริตของผู้รับสื่อในยุคนี้เท่านั้นเอง คือทั้งสองท่านนี้ไม่ได้มาประกอบพิธีทางไสยศาสตร์มืดอย่างที่มีบางคนสงสัย
ในการเปิดฉากเสวนากลุ่มเล็กๆ ประมาณ 40 คนเป็นการภายในนั้น พี่ตู่เปิดเสวนาด้วยการดักคอผู้ฟัทุกคน ให้เขารู้ว่าเราทุกคนต่างมีกะลาในบริบทที่เราคุ้นเคยครอบอยู่ทั้งนั้น ซึ่งพี่เองก็มีกะลาครอบ พี่บอกไปว่า “อย่าเริ่มคำถามว่าให้แม่มดกับพ่อหมอฟันธงไปเลยว่าต่อไปจะเป็นยังไง เพราะมันจะคล้ายกับที่แมงเม่าชอบถามเราว่า บอกมาเลย จะให้ลงทุนอะไร ไม่ต้องบอกเหตุ บอกผล ฟันธงมาซะดีๆ”
คนที่อ่านมาถึงประโยคข้างบน ก็อย่ารีบเลื่อนบันทัดลงไปเพื่อหาคำตอบว่า แล้วยังไง ในตอนจบ เพราะมันจะทำให้เราไม่ต่างกับแมงเม่าที่ขอหวยหุ้นสักตัวสองตัว แล้ววิ่งเข้าใส่โดยไม่ใคร่ครวญเหตุผล เลยได้เพียงสิบแต่เจ๊งเป็นร้อย เพราะเมื่อสถานการณ์พลิกผัน (ซึ่งเกิดได้เสมอๆ) ก็เลยไม่รู้ตัว มัวแต่ยึดในคำที่ฟันธง ไม่กลับลำคิด ด้วยไม่สนใจที่มาแล้วจะเอาผลลัพธ์หรือที่ไป กันอย่างเดียว
การเล่าเรื่องราวอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จิ้มๆ เอาผลมาพิมพ์ลงก็จบ เพราะต้องทำให้คนอ่านปรับกระบวนการคิด ความเชื่อที่ฝังหัวจากกระบวนการเรียนรู้ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ให้ได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นเอาแว่นอีกอันไปใส่ทับอันเดิมให้เขาเห็นอย่างที่เราอยากให้เห็น หรือทำให้คนอ่านอีกกลุ่มใหญ่หวาดระแวงหรือตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ว่างมงาย
ดังนั้น เรื่องที่จะเล่า มันคงจะยาวสักหน่อย โดยจะแบ่งเป็น 10 ตอนจบ