Jump to content


Photo
* * * * * 1 votes

ดวงเมือง

ฟองสนาน ทนง ขันทอง

  • Please log in to reply
12 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 16:31

อ่านมาจากเฟจปิดเลยลองเอามาให้อ่าน

-----

แล้วยังไง ตอนที่ 1/10 - ปฐมบท
----------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

ท่ามกลางความอึดอัด ตึงเครียด จากสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังหาทางออกอันเป็นที่ยอมรับกันไม่ได้ กับสถานการณ์โลกที่เริ่มระอุ ครุกรุ่น มีความผิดปกติเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่สังคมโลก สังคมไทย กลับถูกใส่แว่นให้มองอย่างที่เขาอยากให้เห็น ไม่ได้มองมันด้วยสองตากับการใคร่ครวญของเราเองอย่างที่มันควรจะเป็น สองครูผู้ยิ่งใหญ่จากวงการสื่อสารมวลชนจึงโคจรมาพบกันแบบ Surprise เป็นครั้งแรกบนเวทีเล็กๆ ที่จัดพิเศษเป็นวงปิดแบบนี้ เพื่อมองไทยและมองโลกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557 

ครูคนแรกคือ แม่หมอ “ฟองสนาน จามรจันทร์” ครูอีกคนคือพ่อมด “ทนง ขันทอง” ผู้ที่ได้รับอีกฉายานามว่า ศาสดามืดตัวพ่อ 

ท่านมาเพื่อถ่ายทอดผลการส่องดวงเมืองและบุคคลสำคัญชองไทย กับมองความเป็นมาและที่จะเป็นไปในโลกผ่านภูมิรู้ที่มีหลักวิชากับประสบการณ์ทางโหราศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง และการปกครอง ทั้งนี้ ต้องบอกกันก่อนว่ากระบวนการคิดของแม่หมอกับพ่อมด ล้วนแต่เป็นกระบวนการคิดอย่าง “วิทยาศาสตร์” ทั้งสิ้น ไม่ใช่ไสยศาสตร์ด้านมืดหรือความงมงายแต่ประการใด ส่วนคำเรียกว่า แม่หมอ กับ พ่อมด หรือศาสดามืดตัวพ่อนั้น เป็นชื่อที่พี่ตู่ตั้ง เพื่อให้มีสีสรรถูกจริตของผู้รับสื่อในยุคนี้เท่านั้นเอง คือทั้งสองท่านนี้ไม่ได้มาประกอบพิธีทางไสยศาสตร์มืดอย่างที่มีบางคนสงสัย

ในการเปิดฉากเสวนากลุ่มเล็กๆ ประมาณ 40 คนเป็นการภายในนั้น พี่ตู่เปิดเสวนาด้วยการดักคอผู้ฟัทุกคน ให้เขารู้ว่าเราทุกคนต่างมีกะลาในบริบทที่เราคุ้นเคยครอบอยู่ทั้งนั้น ซึ่งพี่เองก็มีกะลาครอบ พี่บอกไปว่า “อย่าเริ่มคำถามว่าให้แม่มดกับพ่อหมอฟันธงไปเลยว่าต่อไปจะเป็นยังไง เพราะมันจะคล้ายกับที่แมงเม่าชอบถามเราว่า บอกมาเลย จะให้ลงทุนอะไร ไม่ต้องบอกเหตุ บอกผล ฟันธงมาซะดีๆ”

คนที่อ่านมาถึงประโยคข้างบน ก็อย่ารีบเลื่อนบันทัดลงไปเพื่อหาคำตอบว่า แล้วยังไง ในตอนจบ เพราะมันจะทำให้เราไม่ต่างกับแมงเม่าที่ขอหวยหุ้นสักตัวสองตัว แล้ววิ่งเข้าใส่โดยไม่ใคร่ครวญเหตุผล เลยได้เพียงสิบแต่เจ๊งเป็นร้อย เพราะเมื่อสถานการณ์พลิกผัน (ซึ่งเกิดได้เสมอๆ) ก็เลยไม่รู้ตัว มัวแต่ยึดในคำที่ฟันธง ไม่กลับลำคิด ด้วยไม่สนใจที่มาแล้วจะเอาผลลัพธ์หรือที่ไป กันอย่างเดียว

การเล่าเรื่องราวอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จิ้มๆ เอาผลมาพิมพ์ลงก็จบ เพราะต้องทำให้คนอ่านปรับกระบวนการคิด ความเชื่อที่ฝังหัวจากกระบวนการเรียนรู้ในอดีตจนถึงทุกวันนี้ให้ได้ มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นเอาแว่นอีกอันไปใส่ทับอันเดิมให้เขาเห็นอย่างที่เราอยากให้เห็น หรือทำให้คนอ่านอีกกลุ่มใหญ่หวาดระแวงหรือตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ว่างมงาย 

ดังนั้น เรื่องที่จะเล่า มันคงจะยาวสักหน่อย โดยจะแบ่งเป็น 10 ตอนจบ

10155053_10203132261574643_250748152_n.j


พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#2 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 16:33

แล้วยังไง ตอนที่ 2/10 – คำทำนายของ พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย)
-----------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

มีคำทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกให้พม่าในครั้งที่ 2 ที่พระอรหันต์ในอดีต นามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) ทำนายบันทึกไว้ในสมุดข่อยโบราณ ว่า “กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”

ทั้งนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ ได้ทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละรัชกาลของกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ล่วงหน้าไว้ ดังนี้

ทำนายว่า รัชกาลที่ 1. เป็นยุค “มหากาฬผ่านมหายักษ์”
--------------------------------------------------------
คิดว่า “ผ่าน” น่าจะหมายถึงสิ้นสุดยุคกรุงศรีอยุธยา ผ่านเข้าสู่ยุคราชวงศ์ใหม่ คือพระเจ้าตากสิน ที่ทรงขึ้นครองราชย์สมบัติ และสถาปนาเมืองหลวงใหม่ที่กรุงธนบุรี ส่วนผ่านมหายักษ์ น่าจะหมายถึง พม่าที่เข้ามาตีกรุงศรีจนราบคาบ ฆ่า เผา ทรมานผู้คนเพื่อให้บอกที่ซ่อนสมบัติ และลอกคราบสมบัติของชาติเราไปมากมาย 
เลยเรียกว่าพวกใจร้าย เหมือนมหายักษ์ 

ที่จริงแล้วผู้รุกรานทั้งหลาย ก็มักทำกันแบบนั้น จะมากกว่า จะน้อยกว่าก็แล้วแต่ยุค ซึ่งเราก็เคยทำกับบ้านเมืองอื่นเหมือนกัน ดังนั้น อย่าไปโกรธไปเกลียดพม่าเหมือนที่พี่ซึ่งเป็นคนอยุธยาเคยชิงชังด้วยอวิชชามาหลายสิบปีเลย

ทำนายว่า รัชกาลที่ 2. เป็นยุค “รู้จักธรรม”
-------------------------------------------
นี่คงเป็นเพราะรัชกาลที่ 2 ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามากมาย และทรงให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยมารวบรวมกันอีกครั้ง หลังจากที่ของเดิมถูกพม่าทำลายไปในครั้งเสียกรุงศรีฯ

ข้อสังเกตุก็คือ การจะทะนุบำรุงศาสนาและศิลปะวัฒนธรรมได้นั้น บ้านเมืองต้องว่างเว้นจากการศึก และที่ทำได้ในรัชกาลนี้ก็เป็นเพราะรัชกาลที่ 1 ชนะพม่าเด็ดขาดในมหาสงครามเก้าทัพ แม้ฝั่งเราจะมีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่า ผลพวงจากการศึกที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พม่าไม่เข้ามาวอแวกับไทยอีก และอาจจะเป็นว่าช่วงนั้นฝรั่งมังค่ากำลังคืบหน้าในการจะยึดครองประเทศอื่นในเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ 

ถ้าพูดด้วยภาษาผู้ลงทุน อาจจะเอาประโยคทองของ ลุงวอร์เรน บัฟเฟต มากล่าวได้ ลุงบอกว่า “ที่เราได้นั่งสุขสบายภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่วันนี้ เป็นเพราะมีคนปลุกต้นไม้มาให้เราเมื่อหลายปีก่อนแล้ว”

นั่นไง พี่ยังอดอ้างอิงแบบคนที่ยังอยู่ในกะลาครอบไม่ได้เลย

ทำนายว่า รัชกาลที่ 3. เป็นยุค “จำต้องคิด”
-------------------------------------------
น่าจะเป็นได้ว่า ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 นั้น ชาวต่างชาติ ต่างภาษา ล้วนเข้ามาติดต่อเจริญสัมพันธไมตรี ทำการค้าขายกับกรุงรัตนโกสินทร์กันมากมาย และพระองค์ก็ทรงมีกองเรือค้าขายกับชาวจีนอยู่แล้วก่อนจะขึ้นครองราชย์ ทำให้มีทรัพย์สินจากการค้ามามากมายในขั้นเจ้าสัว จะว่าทรงสนิทชิดเชื้อกับชาวจีนมากกว่ากาขาวก็ว่าได้ 

แต่เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ต้องทรงคิดว่าจะดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างไร โดยที่ข้าราชสำคัญในสำนักต่างก็ถือหางคนต่างชาติคนละข้างกัน ต้องทำอย่างไรถึงจะให้สยามอยู่รอดปลอดภัยจากกาขาวทั้งหลายในยุคที่ฝรั่งเรืองอำนาจแทรกแซงกิจการภายในมากขึ้นทุกที

ทำนายว่า รัชกาลที่ 4. เป็นยุค “สนิทธรรม”
-------------------------------------------
ยุคนี้การคาดเดาความหมายของคำทำนายให้สอดคล้องกับเรื่องที่เกิดจริงไม่ยากเท่าการแปลคำทำนายสำหรับยุครัชกาลที่ 3 เพราะรัชกาลที่ 4 ทรงผนวชถึง 27 พรรษา จนรู้ซึ้งในพระธรรมวินัย และพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และเล่ากันว่าทรงสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ถึงขั้นที่เล่าขานกันว่าเป็นคู่บารมีกันและกันเลยทีเดียว 

รัชกาลนี้จึงทรงปรับปรุง ทำนุบำรุงการศาสนา แบบยกเครื่องกันครั้งใหญ่

ทำนายว่า รัชกาลที่ 5. เป็นยุค “จำแขนขาด”
--------------------------------------------
เรื่องนี้ก็ชัดเจนยิ่ง เพราะในยุครัชกาลที่ 5 เราสูญเสียแผ่นดินและทรัพยากรสยามให้แก่กาขาวผู้รุกรานไปหลายครั้งหลายหน เพื่อจะได้ไม่เสียทั้งสยาม เรียกว่าตัดแขนให้ขาด มอบแขนให้ศัตรูผู้เข้มแข็ง ก็ยังดีกว่าเสียทั้งหมด นี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เรารักษาเอกราชของชาติไว้ได้ โดยไม่เคยเป็นทาสฝรั่ง

ทำนายว่า รัชกาลที่ 6. เป็นยุค “ราษฎร์ราชาโจร”
-------------------------------------------------
มีคนสงสัยกันมาก ว่าทำไม พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) ถึงทำนายว่ายุคของรัชกาลนี้จะเป็นโจร เรื่องนี้จะคิดเองก็จนใจยิ่ง จึงขอนำคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาให้พิจารณา หลวงพ่อบอกว่า ....

“เป็นเพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก”

ทำนายว่า รัชกาลที่ 7. เป็นยุค “นั่งทนทุกข์”
-------------------------------------------
ที่ว่านั่งทนทุกข์นั้น เราเข้าใจได้ง่าย เพราะต่างเรียนรู้ถึงเรื่องที่พระองค์โดนคณะราษฎร์ซึ่งประกอบไปด้วยข้าราชบริพารที่ราชสำนักส่งไปเรียนต่างประเทศส่วนหนึ่ง แต่กลับมาแล้วก็สมคมกันไปบีบบังคับให้สละพระราชอำนาจในการปกครองระบอบกษัตริย์ โดยอ้างถึงความศิวิไลซ์ของประชาธิปไตยในดินแดนที่ตนเองไปร่ำเรียนมาด้วยเงินหลวง ประกอบกับอ้างถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ เพราะเงินในท้องพระคลังหมดสิ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 6 แล้ว จนถึงกับต้องดุล (Lay Off) ข้าราชการออกจากภาระของราชสำนักไปเป็นจำนวนมาก

รัชกาลที่ 7 จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ โดนข้าราชบริพารยังเติร์ก หักดิบ และสิ้นสุดด้วยการสละราชสมบัติไปทนทุกข์อยู่ต่างแดนจนสิ้นพระชนม์

ทำนายว่า รัชกาลที่ 8. เป็นยุค “ยุคทมิฬ”
-----------------------------------------
ยุคนี้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนอพยพ หลบภัย จากกองบินสัมพันธมิตรที่หย่อนระเบิดลงมาถล่มกรุงเทพฯ เพราะมีกองทัพศัตรูคือญี่ปุ่นตั้งฐานอยู่ (แทนที่จะหย่อนข้าวปลาอาหารและหยูกยามาให้คนไทย) เรียกว่าเราบ้านแตก สาแหรกขาด เลยทีเดียว

คุณยายเคยเล่าให้พี่ฟังตอนเล็กๆ ว่าลำบากมากในการดูแลความอยู่รอดของครอบครัวใหญ่เพราะคุณตามีลูกเมียและบริวารหลายคน คุณลุงที่เป็นพี่ชายคนโต ซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัย 10 ขวบกว่า ต้องพายเรือให้คุณยายนั่งเพื่อออกไปหาข้าวปลาอาหาร หยูกยา มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องน้องๆ ในครอบครัว ย่ำแย่กันไปหมดทุกชนชั้นไม่ว่าไพร่ว่านาย เพราะสงครามซึ่งเราไม่ได้ก่อเลยนั้นมาทำให้ผู้คนอดอยากยากแค้นแสนสาหัส 

นอกจากนี้ ก็มีเรื่องที่รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคตด้วย ทำให้หัวใจชาวไทยต้องปลิดปลิวไปกับที่พึ่งทางใจสุดท้ายไปด้วย

ทำนายว่า รัชกาลที่ 9. เป็นยุค “ถิ่นกาขาว”
-------------------------------------------
ทุกวันนี้พวกเราซึ่งเป็นคนในยุคนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าฝรั่งผิวขาวพากันมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง บางพวกก็ตั้งแก๊งค์มาเฟียในถิ่นต่างๆ เช่น พัทยา ภูเก็ต เกาะเต่า ฯลฯ คอนโดที่พี่อยู่ก็มีฝรั่งจากสถานทูต และ NGO มาอยู่สักครึ่งได้ แถมยังส่งลูกเล็กๆ อายุสัก 4 ขวบมากวนประสาทถีบประตูบ้านเรียกพี่ไปเล่นด้วยบ่อยๆ นับเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติเอามากๆ เพราะมองจากขนาดตัวพี่เองแล้ว พี่คิดว่าตนเองคือความมั่นคงของชาติ 55555+

นอกจากนี้ เรายังมีคนชาติอื่นจากทั่วทุกทวีปในโลกมาอาศัยทำมาหากินกันมาก ล่าสุดก็มีคนจีนที่เริ่มตั้งก๊วนอิทธิพลของตนในที่ต่างๆ ซึ่งต่างกับคนจีนรุ่นเสื่อผืนหมอนใบ หรือคนอินเดีย ที่ทำมาค้าขาย สร้างเศรษฐกิจ สร้างชาติไทย (บางคนบอกเรื่องสร้างชาติเป็นเรื่องบังเอิญจากผลพวงที่เศรษฐกิจขยายได้เพราะมีการทำมาค้าขาย) จนเป็นเจ้าสัวกันมากมายในแผ่นดินนี้ บางเจ้าสัวก็รักและกตัญญูต่อแผ่นดินไทย ต่อในหลวง และคนไทย จนจะโดนเนรเทศ บางเจ้าสัวก็กตัญญูได้จนถึงขั้นจะกินรวบประเทศไทยเป็นการสนองคุณ

ทำนายว่า รัชกาลที่ 10. เป็นยุค “ชาววิไล”
-------------------------------------------
เรื่องนี้ต้องขอนำคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาลงไว้ เพราะเป็นการมองไปข้างหน้า หลวงพ่อบอกว่า “ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย”

ที่สำคัญคือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำยังบอกว่า ...

“ที่พระพุทธโฆษาจารย์ทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง 10 รัชกาลนั้น เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ 

ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ 10 พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่า เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ 10 เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”

“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมือง”

“ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี เด็ดเดี่ยว ไม่ประมาท กล้าหาญ และพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด

ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุข เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว”

“เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”

นั่นคือสิ่งที่หลวงพ่อฤาษีองค์ดำ กล่าวไว้ในหลายสิบปีก่อน

-----

 

แล้วยังไง ตอนที่ 3/10 - ไม่ใช่บ้านเมืองแตกแยก หากแต่บ้านเมืองกำลังแตกยอด

------------------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

ขอหยิบยกบทกลอนที่เขาว่ากันว่าเป็นคำทำนายชะตาเมืองมาให้อ่านกันก่อน ส่วนใครเป็นผู้ทำนาย ผู้ร้อยเรียงมาเขียนเป็นบทกลอนนั้น จนใจว่าหาที่มาที่แน่ชัดไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ใช่คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อย่างไรก็ตาม ขอให้อ่านด้วยความตั้งใจ แล้วใคร่ครวญเองว่ามันใช่หรือไม่ และเรากำลังอยู่ตรงไหน

........ เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่ ‘อกไหม้หนอนกินข้างใน’ สิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ‘ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา’ ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

‘ข้าราชการตงฉินถูกประณาม’ สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

‘ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว’ ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

‘พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ’ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

‘แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน’

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

“จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ”

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

จากบทกลอนทำนายข้างต้น เรากำลังอยู่ในยุคของ “นารีขี่ม้าขาว” ใช่หรือไม่ เพราะคำกลอนก่อนหน้านั้นล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่องเป็นสิบสิบปี (ไม่ว่ากลอนนี้ใครเขียน และเขียนเมื่อไหร่) และเรากำลังเข้าสู่ไคลแม็กซ์ของเรื่องราวในรอยต่อของยุคมวลมหาประชาชน หรือเปล่า 

เพราะขณะนี้เหตุการณ์ในบ้านเมืองล้วนปรากฏชัดว่ากำลังขยับเขยื้อนเพื่อสู่วงรอบใหม่

อย่างที่ลุงเปลว สีเงิน เคยเขียนไว้ว่า ....

“ภายใต้ภาพที่เรียกกันว่า ไม่ปกติสุข ทุกท่านก็คงมีทุกข์ครองใจ ทุกข์ทั้งวิถีชีวิตไม่สุข และทุกข์ที่บ้านเมืองขุกเข็ญ มองอย่างไร ก็ยังไม่เห็นทางออก 

แต่ผมอยากจะบอกว่าสงครามสังคมครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดีสู่อนาคตใหม่ของไทยมากกว่า เพราะว่าเป็นสงครามความคิด 

ไม่ใช่บ้านเมืองแตกแยก หากแต่บ้านเมืองกำลังแตกยอด 

แตกกิ่งปัญญาสู่ความเป็นไม้ใหญ่ 

เพราะทั้งหลายที่เห็นว่าแตกแยกนั้น แท้จริงคือปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าของมนุษย์ร่วมสังคม 

วันนี้ รูปแบบ-กติกา สังคมโลกาภิวัตน์ อันมีหัวใจที่ นับเงิน-เป็นสุข แทนการ นับใจ-เป็นสุข มันล่มสลาย ไปต่อไม่ได้แล้ว สังคมทุนวัตถุจึงเป็นหนึ่งในตัวร่วมการเมืองทาส ผลักดันให้สังคมไทยถึงจุดต้องขยายแนวคิด เพื่อแสวงหาจุดลงตัวใหม่”

------


พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#3 พิฆาตอสูร

พิฆาตอสูร

    พอจะทนเสื้อแดงได้นิดๆ

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,786 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 17:07

รออีก 8 ตอนครับ


ฟ้าสีทองผ่องอำไพ  ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


#4 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 22:59

แล้วยังไง ตอนที่ 4/10 – พ่อมด เริ่มชี้ให้เห็นว่า จักรวรรดิยังมีในโลก 
----------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2557 พี่ฟอง หรือแม่หมอฟองสนาน คนตัวเล็กๆ ที่แสนจะน่ารัก จริงใจ และเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน มาผ่าดวงเมืองให้เราฟังแบบสุดๆ จนปากอ้า ตาค้าง ทั้งหัวเราะดีใจ และร้องไห้เพราะกังวล แต่ตอนที่ทำนายบั้นปลายของเขาและเธอแล้ว คนฟังยิ่ง เฮๆๆๆๆๆๆๆ ......

โดย พ่อมดทนง ขันทอง หรือคุณป๋าศาสดามืดตัวพ่อ บรรณาธิการอาวุโสเครือเนชั่น คนที่ร้อยปีจะมีสักคนหนึ่ง ได้ช่วยผ่าโลก ผ่าความจริง ผ่านการมองไปที่ภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจการเงิน การลงทุน สังคม และการเมือง ในมุมมองที่เอาแว่นตาออกจากหน้าเรา หรือยกกะลาที่ครอบเราออกไปแล้ว บอกได้คำเดียวว่า อึ้ง ทึ่ง เสียว 

ไอ้ที่เสียวนั้น คือ เสียวว่าพ่อมดจะโดน มาเฟียโลกตัวจริง จับยัดสายการบินมาเลไปดำน้ำเล่นเป็นการถาวร ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ 

เอาละ จะเล่าเรื่องจากพ่อมดก่อน ทั้งๆ ที่แม่มดเป็นคนเปิดเวทีก่อนพ่อมด เพราะจะได้ลำดับเรื่องให้เข้าใจโลกกว้างที่มีส่วนทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้ แล้วค่อย Boil Down ลงมาเป็นดวงเมืองเราโดยแม่มด 

ใครจะเรียกว่าเป็นการเล่าเรื่อง “พ่อมด กับ แม่หมอ โดยนังหมู” ก็ไม่ว่ากัน ถ้าไม่มาพูดกันต่อหน้า เข้าใจ๋ ?

พ่อมด ฉายภาพแผนที่โลกขึ้นจอปั้งๆๆๆ เป็นการเปิดฉากให้เราเห็นที่ตั้ง ขนาด และความเชื่อมโยงของดินแดนต่างๆ ทั้งนี้ พ่อมดได้ส่งบทความมาให้แจกผู้ฟังได้ ชื่อว่า “ความเสื่อมของจักรวรรดิสหรัฐอเมริกา และความเป็นไปได้ของสงครามโลกครั้งที่ 3” ดังต่อไปนี้ ..... 

“จักรวรรดิสหรัฐอเมริกา รุ่งเรืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เพราะเป็นผู้ชนะสงคราม เป็นจ้าวของระเบียบโลกปัจจุบัน ผ่านแสนยานุภาพทางทหาร ทุนนิยมการเงินโลก และเงินดอลล่าร์ในฐานะเงินสกุลหลักของโลก

กลุ่มแองโกล-อเมริกัน ครองโลกปัจจุบันนี้ผ่านอุดมการณ์ Washington Consensus หรือฉันทามติวอชิงตัน อันประกอบด้วย เสรีนิยมประชาธิปไตย การค้าเสรี การเงินเสรี ไร้พรมแดน ไร้ความเป็นประเทศ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ”

อ่านของ พ่อมด มาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งถอนหายใจ แล้วบอกว่า ‘ว่าแล้ว ... พวก Conspiracy Theory’ เพราะมันไม่ใช่อย่างที่คิด ก็บอกแล้วไงว่าทุกคนมีกะลา ลองเปิดใจอ่านก่อนจะดีไหม อย่าให้ทฤษฎีมุมคิดอันจำกัด กับข่าวสารด้านเดียวจากโลกภายนอกที่เราเสพย์ มาปิดกั้นเราอีกต่อไปเลย นี่ละ การที่เราไปร่ำเรียนเมืองนอกในถิ่นกาขาวมา อะไรที่เราถูกปลูกฝัง มันก็บดบังความตื่นรู้ของเราไปได้มาหลายสิบปี

พ่อมด เล่าต่อว่า ....

“แต่ G-3 คือ อเมริกาเหนือ ยุโรป และญี่ปุ่น หรือเสาหลักของเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุคเสื่อม เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่มีโอกาสฟื้น เพราะว่าไม่ได้มีการปรับโครงสร้างอะไรในช่วงที่ผ่านมา มีแต่พิมพ์เงิน สร้างหนี้ในการแก้ปัญหา ที่สำคัญมีอำนาจ แต่เริ่มที่จะคุมไม่ได้ Power is nothing without control

หนี้โลกเพิ่มจาก $70 ล้านล้าน กลางปี 2007 เป็น $100 ล้านล้าน ในเดือน กันยายน 2013 แสดงว่ารัฐบาลและเอกชนสร้างหนี้ใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อจักรวรรดิมีแต่หนี้ คุมอำนาจเดิมไม่ได้ แต่ไม่ต้องการสูญเสียอำนาจ ก็จะดิ้นรนก่อหวอด หรือทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจ เพราะฉะนั้นจะมีความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้นมาก และจะมีผลกระทบต่อภูมิศาสตร์การเมืองของโลกอย่างใหญ่หลวง โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จึงอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

จักรวรรดิสมัยใหม่อย่างสหรัฐฯ เป็นระบบที่สลับซับซ้อน มีขนาดเศรษฐกิจและตลาดบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกรที่สุดในโลก มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าที่สุดของโลก เป็นตัวแทนของอุดมการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ มีรัฐบาล องค์กร หน่วยงาน สถาบัน ทหาร บริษัท อุตสาหกรรม ระบบเงิน ระบบแบงค์ ตลาดการเงิน ภาคสังคม ประชาชน ฯลฯ ต่างทำงานสัมพันธ์กันอย่างมีดุลภาพไม่เพียงแต่กับปัจจัยภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีปฏิสัมพันธ์กับกลไกหรือปัจจัยภายนอกอย่างลึกซึ้ง

ที่สำคัญกลไกการทำงานของจักรวรรดิต้องปรับตัวเอง (adaptive) กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา เพื่อรักษาอำนาจ

ถ้ามีอำนาจแล้วควบคุม หรือรักษาอำนาจนั้นไม่ได้ จักรวรรดิก็จะล่มสลาย อำนาจที่คุมไม่ได้ส่วนมากจะเกิดจากการเสียดุลภาพอย่างรุนแรงของระบบภายใน

ประวัติศาสตร์บอกเราว่าไม่มีอาระยะธรรมใด หรือจักรวรรดิใดยั่งยืน ทุกจักรวรรดิ เกิด ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งนั้น ตามกฎไตรลักษณ์ 

Niall Ferguson แห่ง Harvard University บอกว่า ลักษณะของการพังของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นโรมันโบราณ หรือสหภาพโวเวียต จะไม่เสื่อมหายตายจากไปอย่างช้าๆ แต่จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ แล้วพอถึงจุดๆ หนึ่งจะพังลงอย่างกระทันหัน จากการกลัดกร่อนภายในหรือภายนอก ทำให้เสียศูนย์หรือเสียดุลยภาพ และจักรวรรดิจะไม่สามารถปรับตัวเองได้ เมื่อถึงเวลามันก็จะพัง crash ทันที”

Niall Ferguson คนนี้ พี่เคี้ยว กับ พี่ตู่ เคยพบและได้ลายเซ็นต์สดๆ จากเจ้าตัวที่คานาดาเลยละ เขาเขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น Empire: How Britain Made the Modern World, The Ascent of Money: A Financial History of the World and Civilization: The West and the Rest และที่ชอบมากๆ คือ The House of Rothschild 

พ่อมด เล่าต่อว่า ....

“ไม่มีใครสามารถทำนายได้ว่าจักรวรรดิจะพังเมื่อใด รู้แต่เพียงว่าถ้ามันสูญเสียความสมดุลย์ในระบบที่สลับซับซ้อน และอำนาจส่วนกลางไม่สามารถรักษาได้ มันจะพัง เหมือนหลังคาบ้านที่โดนปลวกกิน อยู่ๆ ไปไม่รู้สึก แต่ถึงจุดๆ หนึ่ง หลังคาจะพังลงมาทับคนที่อาศัยในบ้าน

หลังสงครามโลก สหรัฐฯ และรัสเซีย สู้กันผ่านสงครามเย็นและสงครามตัวแทน แต่ในที่สุด โลกเสรีชนะโลกคอมมูนิสต์ สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 แตกออกเป็น 15 ประเทศ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน

สหรัฐฯ กลายเป็นจ้าวโลกแต่เพียงจักรวรรดิเดียว โดยผ่านระบบหนี้และบริโภคนิยมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทุกคนคิดอย่างโลกสวยว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะสันติสุขและความร่ำรวยใหม่ เกิดจากความก้าวหน้าของวิทยาการ และชัยชนะของตลาดทุนนิยมเสรี (The triumph of free-market capitalism and innovations)

แต่สหรัฐฯ เกิดฟองสบู่ดอตคอมในยุค 1990s เกิดวิกฤติซับไพรม์ในปี 1987 และเกิดการพังทลายของ Wall Street ในปี 2008 ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการกดดอกเบี้ยต่ำของ US Federal Reserve (FED) ทั้งนั้น

ขณะนี้กำลังอยู่ในยุคฟองสบู่ QE ที่กำลังหาทางลงอยู่ ไม่รู้ป้า Janet Yellen จะหาทางลงจากหลังเสือได้หรือไม่

เพราะว่า ….. 

1. มีโอกาสที่ฟองสบู่จะแตกอีกรอบ หนี้ที่ล้นหลามและการคลังที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ ทำให้ไม่มีทางที่จะลด QE ได้ง่ายๆ

2. เศรษฐกิจ และการจ้างงานไม่ได้ฟื้นจริง ประชาชนพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาลสูง มีช่องว่างระหว่าง Main Street และ Wall Street

3. สหรัฐฯ มีหนี้ในงบ $17 ล้านล้านกว่า มีหนี้นอกงบ $85-$200 ล้านล้าน ขาดดุลงบประมาณปีละ $1ล้านล้าน ใช้งบทหารปีละ $1 ล้านล้าน แต่เก็บภาษีได้เพียงปีละ $2.8ล้านล้าน

4. สหรัฐฯ ใช้เงินล่วงหน้า 200 ปี ไม่มีทางคืนหนี้ได้

5. กลุ่ม BRICS นำโดยจีนและรัสเซีย กำลังขึ้นมาท้าทายอำนาจจักรวรรดิ

6. ความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก กำลังลดลง หรือถูกท้าทาย

นี่คือปัจจัยภายในและภายนอกหลักๆ ที่กำลังกลัดกร่อนจักรวรรดิ ประเด็นคือ ระบบจะสามารถปรับตัวให้กลับมามีดุลยภาพเหมือนเดิมเพื่อเดินหน้าต่อได้หรือไม่ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลง ถ้าปรับไม่ได้ จะพังทันทีเมื่อเวลามาถึง

กล่องดวงใจของจักรวรรดิสหรัฐฯ คือดอลล่าร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก และ US Federal Reserve (FED) ที่เป็นธนาคารกลางที่พิมพ์เงิน 

ทั้งสองเรื่องนี้สัมพันธ์กัน และกำลังเป็นปัจจัยหลักของความรุ่งเรืองในอดีตกับความเสื่อมของจักรวรรดิในปัจจุบัน”

แล้วพ่อมดก็ตบท้ายตอนนี้ว่า “ดูแนวโน้มแล้วจักรวรรดิจะไม่สามารถรักษากล่องดวงใจเอาไว้ได้”

อ้าว ... ลืมบอกว่าในตอนต้นนั้น พ่อมด บอกในเรื่องที่ทำให้เราปากอ้า ตาค้าง ว่า “แม้จนทุกวันนี้ โลกเราก็ยังปกครองด้วยระบอบดั้งเดิม ไม่เคยเปลี่ยน แต่เป็นการปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับกาลเวลาเท่านั้นเอง ทุกอย่างมีการส่งผ่านไปให้รุ่นต่อๆ มารับไปทำให้สำเร็จทั้งนั้น”

มีใครรู้ไหมว่า มันคือระบอบอะไรกันแน่ ?

-----

 

แล้วยังไง ตอนที่ 5/10 – พ่อมดอาละวาด ยันว่า FED ล้มละลายแล้ว 

----------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

คุณป๋าทนง ขันทอง พ่อมด ผู้เป็นศาสดามืดตัวพ่อ เล่าต่อว่า ....

Jim Rickards (Tangent Capital Partners) บอกว่า US Federal Reserve หรือเฟด ล้มละลายทางบัญชีหรือเจ๊งไปแล้ว

ในวิกฤติการเงิน Wall Street ปี 2008 เฟดแทบที่จะเอาตัวเองไม่รอดจากการเข้าไปอุ้มธนาคารของกลุ่ม Wall Street รวมทั้งอุ้มพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

นอกจากนี้เฟดยังพิมพ์เงินให้สภาพคล่องพวกธนาคารกลาง และธนาคารยักษ์ในยุโรปไม่ให้ล้มคลืนลงมา พูดง่ายๆเฟดยิงกระสุนหมดแม๊กเพื่ออุ้มระบบการเงินโลกตะวันตก จนงบดุลของเฟดตอนนี้ล้มละลายแล้วทางบัญชี (insolvent)

เนื่องจากเฟดคุมระบบการเงินเกือบทั้งหมดนั้น เฟดจึงยังคงถูไถไปได้อีกหลายยกเป็นธรรมดา”

ถึงตรงนี้ พี่ตู่ขอชี้ไปที่ประเด็นสำคัญที่พ่อมดกล่าวถึง คือ ล้มละลายแล้วทางบัญชี หรือ insolvent สักหน่อย โดยให้นึกถึงงบการเงินของบริษัทต่างๆ ที่ผู้ลงทุนเอามาพิจารณาดูว่าหุ้นของบริษัทนี้น่าซื้อ หรือน่าขายทิ้ง ซึ่งถ้าบริษัทต่างๆ ไม่เปิดเผยงบการเงินที่แท้จริง ปกปิด บิดเบือนตัวเลข หรือหนักข้อเข้าคือร๔ว่าเปิดออกมาก็ ฉ.ห. แหงๆ ก็เลยไม่ยอมเปิดเผยเอาเสียดื้อๆ แล้วบอกว่าตราบใดที่ยังไม่ปิดบัญชี ก็คือยังไม่ขาดทุน 

อุ้ย คุ้นๆ ไหมเนี่ยะ !

ออกตัวก่อนว่า พี่มีความเข้าใจตื้นๆ เรื่องบัญชี เพราะตอนที่เรียนบัญชีเบื้องต้นตัวแรกสมัยปริญญาโท แล้วด้วยความที่เป็น นกรู้ หรือเป็นคนรู้ประมาณตน ไม่เคยเบ่งเกินกำลัง จึงดร็อปหนีไปแบบหางจุกตูด ก่อนที่จะขายขี้หน้า 

มันก็คล้ายๆ กับพี่ฟองสนานตอนเรียนบัญชี ที่พี่หองเล่าให้ฟังเมื่องวานว่า ไม่เคยทำบัญชีให้ลงตัวได้เลย เพราะไม่รู้ว่าทำไมต้องทำให้ข้างซ้ายต้องเท่ากับข้างขวา 555555555555+

หลักการบัญชีนั้น เขาทำงบการเงินออกมาให้เหมือนหยุดทุกกิจกรรมของบริษัทไว้ ณ ขณะใด ขณะหนึ่ง เช่น ณ สิ้นไตรมาส สิ้นปี เพื่อให้คนรู้ว่า ณ วันนั้น ถ้าหยุดกิจการ บริษัทจะมีฐานะทางการเงินเท่าไร คนลงทุนในกิจการนั้นก็จะรู้ว่าที่ลงทุนไป 100 บาทตอนซื้อหุ้น มาตอนนี้ มูลค่าบริษัท ณ วันที่ปิดบัญชี มันจะมากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากับเงินลงทุนที่เราใส่ไป นอกจากนี้ เราก็จะรู้ว่าบริษัทขอเอาเงินของเราไปทำอะไรบ้าง ความโปร่งใส เที่ยงตรง ในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ จึงจำเป็นยิ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ลงทุนโดนบริษัทต้มหมูว่าบริษัทมีค่ามากกว่าความจริง 

ในการคำนวณ NAV หรือมูลค่าของกองทุน ก็เหมือนกัน คือเราต้องเอาราคาปิดตลาดในแต่ละวันของหุ้นที่กองทุนลงทุน มาคำนวณหา NAV แม้ผู้จัดการกองทุนจะบอกได้ว่า ราคาปิดในตลาด ในแต่ละวัน มักจะไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่เขาถือเพื่อโอกาสในอนาคตระยะยาว

ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดมาตรฐานในการทำบัญชีขึ้นให้ปฏิบัติด้วยกติกาเดียวกัน ทีนี้อย่าง FED ที่พ่อมดว่า“งบดุลของเฟดตอนนี้ล้มละลายแล้วทางบัญชี” จึงมีความหมายว่า หากนำเอามาตรฐานทางบัญชีสากลที่แม้แต่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกาก็ต้องใช้ มาให้ FED ลงบัญชีแบบชาวบ้านเขา FED ก็หมดตูดล้มละลายไปนานแล้ว 

เรียกว่า หาก FED เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของพี่นก จรัมพร ก็ต้องโดนทั้งพี่นก และ ดร.วรพล เลขาธิการ กลต. ไล่แห่ออกจากตลาดไปแล้ว ที่ไล่ก็ไม่ใช่เพราะขาดทุน แต่เป็นเพราะไม่มีความโปร่งใสในการแสดงฐานะทางการเงิน และอาจเพิ่มข้อหา “มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้ลงทุน” เป็นของแถม

เฮอะ เห็นป่ะ มหาอำนาจอย่างอเมริกา มันยิ่งกว่าสองมาตรฐานเสียอีก และโครงการข้าวของเราก็เเหมือนกันเป๊ะ 

เอาละ กลับมาที่พ่อมดเล่าต่อกัน ....

พ่อมดทนง หรือ คุณป๋าศาสดามืดตัวพ่อ เล่าต่อว่า ...

“Jim Rickards ผู้แต่งหนังสือเล่มล่าสุด The Death of Money บอกว่า งบดุลของเฟด ถ้าต้อง mark to market หรือตีราคาทรัพย์สินที่แท้จริงตามราคาตลอด แทนที่จะเป็นราคาบุ๊ค เฟดเจ๊งแล้ว เพราะว่ามีหนี้ต่อทุน ในสัดส่วน 80:1

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เฟดมีการพิมพ์เงินผ่านการทำ QE จำนวน $3.5 ล้านล้าน เพิ่มงบดุลก่อนวิกฤติ 2008 จาก $800,000 ล้าน เป็น $4 ล้านล้าน ด้วยการซื้อพวก mortgage backed securities หรือตราสารการเงินที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของพวกแบงค์ และ US Treasuries หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

เมื่อดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น เฟดจะขาดทุนจากตราสารการเงินเหล่านี้ที่เป็นจั๊งค์ junk แม้ว่าพวกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะบอกว่า ตราสารเหล่านี้ดีเลิศ”

มาถึงตรงนี้ พี่ต้องขอแทรกพ่อมดก่อนเพื่ออธิบายคำว่า Junk

Junk Grade หมายถึงเข้าขั้นขยะ ซึ่งในการออกพันธบัตร ออกตราสารหนี้ เพื่อขอกู้ยืมเงินจากผู้จะลงทุนมาใช้นั้น จะมีบริษัทจัดอันดับเครดิต หรือจัดระดับความสามารถในการจ่ายคืนหนี้เงินที่กู้ไปใช้ ว่าคนกู้มีปัญญาจ่ายคืนในระดับไหน ถ้าเป็นระดับ Junk ก็ยากหน่อย ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะกู้ม่าได้ อาจจะได้ ถ้ายอมจ่ายดอกเบี้ยให้สูงพอืที่จะมีหมูไม่กลัวน้ำร้อน เพราะถ้าได้ดอกขนาดนั้นก็คุ้มความเสี่ยง

พ่อมด เล่าต่อว่า ....

“ในวิกฤติที่จะเกิดขึ้นงวดหน้า ซึ่งมันกำลังมา เฟดยิ่งจะเจ๊งแบบอภิมหาเจ๊ง เพราะว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯไม่ได้มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจแต่ประการใด

ที่อยู่มาได้ เพราะว่า
--------------------
รัฐบาลกลางมีการก่อหนี้เพิ่มเพื่อพยุงเศรษฐกิจตามแนว Keynesian economics
และทางเฟดมีการพิมพ์เงินเข้าไปอุ้มระบบการเงิน การธนาคาร ทั้งระบบ พร้อมกับการกดดอกเบี้ยลงไปที่ระดับเกือบ 0% ทำให้เกิดฟองสบู่ลูกใหม่ ที่ใหญ่กว่าฟองสบู่ก่อนวินกฤติ 2008 อีกหลาย ต่อหลายเท่า

เศรษฐกิจที่บอกว่าฟื้นแล้ว ก็เพียงลมปากของการสร้างภาพมายา ให้คนมีความเชื่อมั่นในระบบมาตรฐานดอลล่าร์ต่อไป ทั้งๆ ที่ดอลล่าร์ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรมารองรับ

Jim Rickards บอกว่า ระบบแบงค์สหรัฐฯ เป็นพวกใหญ่เกินไปที่จะล้ม Too big to fail หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากเฟด งบดุลของแบงค์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 5 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น JP Morgan Chase, Citibank, Bank of America, Wells Fargo, Goldman Sachs กลับใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อขนาดของแบงค์ใหญ่ขึ้น 2 หรือ 3 เท่า ความเสี่ยงของระบบการเงินไม่ได้เพิ่ม 2 หรือ 3 เท่าตาม แต่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด คือ 10 เท่า หรือ 100 เท่า

เมื่อฟองสบู่ลูกปัจจุบันแตก เพราะว่ามันไปต่อไม่ได้ เฟดจำต้องเพิ่มการทำQE

ที่ป้า Janet Yellen บอกว่ากำลังลดขนาดการทำ QE ลง และจะปล่อยให้ดอกเบี้ยขึ้นปีหน้า ก็แค่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ

ถ้าฟองสบู่สหรัฐฯ แตก Jim Rickards บอกว่าป้าเยเลนคงต้องเพิ่มการทำ QE ถึงตอนนั้นงบดุลของเฟดจะเพิ่มเป็น $8 ล้านล้าน หรือสัดส่วนหนี้ต่อทุน 200 ต่อ 1 ตอนนั้น Jim Rickards บอกว่า the game is up. หรือแปลได้ความง่ายๆ ว่า เกมโอเวอร์แล้ว” 

เอา อย่างนี้ก็ต้อง “เอ๊นด์ ออฟ เดอะ ว้อล์ค เว่ย์” นั่นแหละ

แล้วพ่อมดก็แสดง Chart ต่างๆ ให้เห็นว่า ที่จริง FED อุ้มระบบการเงินถึง $60-$100 ล้านล้าน เพราะว่า Swap lines (dollar/euro) ที่ทำกันระหว่าง FED และ ECB (ธนาคารกลางยุโรป) มีปริมาณเป็นสิบๆ ล้านล้านเหรียญ แต่เฟดการันตีกองทุน การเงิน ทุกอย่าง ในสหรัฐฯ และการันตีเงินฝากในระบบการเงินสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นเฟดกำลังอุ้มทั้งระบบประมาณ $60-$100 ล้านล้าน ในขณะที่จีดีพีของสหรัฐฯอยู่ที่ $17 ล้านล้านเท่านั้น 

“Jim Rikards บอกว่า ความจริงแล้ว ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในรอบ100 ปี จะเห็นได้ว่าระบบการเงินโลกล่มสลายมาแล้วถึง 3 ครั้ง 

ครั้งแรก เมื่อปี 1914 เมื่อตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 

ครั้งที่สองเมื่อปี 1939 ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 

และครั้งที่สาม เมื่อปี 1971 ตอนที่ประธานาธิบดีนิกสันเอาดอลล่าร์ออกจากมาตรฐานทองคำ ทำให้ระบบการเงินโลกกลายเป็นมาตรฐานดอลล่าร์ ที่ไร้มาตรฐานเพราะว่าดอลล่าร์เป็นเงินกระดาษ (fiat money) ที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง พูดง่ายๆ พิมพ์ออกมาจากกลางอากาศเปล่าๆ

แต่สหรัฐฯ มีการไปทำข้อตกลงกับซาอุดิอาราเบีย และกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง ให้ขายน้ำมันเป็นอเมริกันดอลล่าร์ แลกกับการที่สหรัฐฯ ให้อาวุธ ให้ความร่วมมือทางทหารและความมั่นคง 

ข้อตกลงนี้ทำเมื่อปี1972 ว่าห้ามใช้ทองหรือเงินสกุลอื่นในการซื้อขายน้ำมัน ข้อตกลงนี้เรียกว่า petrodollar system คือการซื้อขายน้ำมันด้วยดอลล่าร์เท่านั้น 

ในเมื่อทุกประเทศในโลกต้องบริโภคน้ำมัน เลยจำต้องสำรองดอลล่าร์เพื่อมาซื้อน้ำมัน และประเทศผลิตน้ำมันที่ได้รายได้เป็นดอลล่าร์ ก็เอาไปรีไซเกิ้ลโดยกลับไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ ก่อหนี้บริโภคต่อไปได้

กลายเป็นว่าสหรัฐฯ ใช้น้ำมันของตะวันออกกลางที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ มาหนุนดอลล่าร์ ด้วยระบบ petrodollar system ซึ่งเรายังคงอยู่ในระบบการเงินนี้อยู่ แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญานแล้วว่า petrodollar กำลังจะมีปัญหา 

ไม่มีใครบอกได้ว่าดอลล่าร์จะพังเมื่อใด Jim Rickards เคยทำนายเมื่อไม่นานมานี้ว่า ค่าเงินดอลล่าร์จะพังในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

ตอนหลัง เขาเห็นว่าดอลล่าร์จะพังเร็วขึ้น โดยค่าดอลล่าร์จะตก 80%-90% และมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากการพังทะลายของเปรโตรดอลล่าร์ และการที่เฟดเอาดอลล่าร์ไม่อยู่

แต่รัสเซีย และจีน กำลังสร้างระบบการเงินไหม่ ที่ไม่ให้ดอลล่าร์มีบทบาทเป็นเงินสกุลโลกอีกต่อไปด้วยการจะล้ม petrodollar และผูกค่าเงินกับทองหรือน้ำมัน จะไม่พิมพ์เงินเปล่าๆ โดยไม่มีทรัพย์สินหนุนหลัง

 

---------------

 

แล้วยังไง ตอนที่ 6/10 – พ่อมดชี้ดอลลาร์กำลังใกล้ล้มละลายเหมือนทุกสกุลเงินหลักของโลกในอดีต

----------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

พ่อมด ทนง ขันทอง บอกต่อว่า ปัจจัยดังต่อไปนี้จะทำให้ดอลล่าร์มีอนาคตที่ร่อแร่

1. อิหร่านมีการขายน้ำมันเป็นเงินสกุลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอลล่าร์

2. มีการผงาดของเงินหยวนที่จะกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก โดยจีนกำลังเพิ่มบทบาทของเงินหยวนในการค้าโลก ไม่นานจะแจ้งเกิดแบบ big bang และจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังต้องการสร้าง เปโตรหยวน มาแข่ง เข้าทำนอง หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

3. รัสเซีย ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก จะทำข้อตกลงซื้อขายน้ำมันเป็นรูเบิ้ล หรือเงินสกุลอื่น

4. ซาอุดิ อาราเบีย ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากดอลล่าร์อเมริกัน ด้วยการขายน้ำมันเป็นเงินสกุลอื่นๆ จึงอาจจะมีข้อตกลงขายน้ำมันให้จีนเป็นเงินหยวน อีกประการหนึ่ง ซาอุฯ ก็โกรธสหรัฐฯ ที่ไม่ส่งกองกำลังทหารเข้าไปล้มซีเรีย ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

5. รัสเซียต้องการสร้างเขตเศรษฐกิจ Eurasian Trade Zone ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่ใช้ดอลล่าร์ กลุ่มประเทศ BRICS (Brazil, Russia, India, China, South Africa) กำลังทำข้อตกลงเพื่อค้าขายกันเองโดยไม่ใช้ดอลล่าร์ จีนก็กำลังสร้างระบบการค้าใหม่โดยไม่พึ่งพาดอลล่าร์ และขนาดเศรษฐกิจของ BRICS และตลาดเกิดใหม่รวมกัน มันมากพอๆ กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

6. จีนและอินเดีย จะเป็นผู้นำในการสร้างระบบการเงินใหม่ให้หยวนอิงกับทอง กลับไปสู่มาตรฐานทองคำจีน & อินเดีย ตะลุยเก็บทอง

ในเมื่อมันไม่จำเป็นต้องสำรองดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมันหรือทำการค้าขายและธุรกรรมทางด้านการเงิน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถือดอลล่าร์อีกต่อไป 

กล่องดวงใจของจักรวรรดิกำลังถูกทำลาย และจักรวรรดิก็ไม่มีอะไรไปปกป้อง เพราะว่ามีแต่หนี้และปากกระบอกปืน แต่ BRICS ก็มีนิวเคลียร์ไว้คอยตอบโต้”

ถึงตอนนี้ พ่อมดได้แสดง Chart ให้เห็นว่า ….

Fed และธนาคารในเครือ มีการขายทองเพื่อพยุงดอลล่าร์ไม่ให้ต่ำค่ากว่า 80 ใน Dollar Index

ทองคำกำลังย้ายจากโลกตะวันตกมายังโลกตะวันออก เมื่อตะวันออกได้ทองพอแล้วในการสร้างระบบการเงินใหม่ ตอนนั้นดอลล่าร์จะหมดอนาคต

ดอลล่าร์จะตก หรือ crash อย่างรวดเร็วเมื่อเวลามาถึง จนผู้คนทั่วไปตั้งหลักไม่ทัน น้ำมันในสหรัฐฯ จะราคา $20 ต่อแกลลอน ขนมปังปอนด์หนึ่งอาจจะราคา $10 เงินเฟ้อจะกระจุยกระจาย ระบบการเงินจะพัง และเศรษฐกิจจะพัง 

เมื่อดอลล่าร์พัง Jim Rickards บอกว่า ราคาทองจะพุ่งอยู่ระดับ $7,000-$9,000 ต่อออนซ์ แล้วสหรัฐฯ เหลือทองอยู่แค่ไหน”

มี chart หนึ่ง ที่พี่ชอบมาก คือ Chart ที่พ่อมดเอามาให้ดูว่า ที่จริงแล้วหากศึกษาประวัติศาสตร์ให้ลึกๆ จะพบว่าเงินสกุลหลักของโลก มีอายุเฉลี่ย 94 ปี 

คศ. 1450-1530 เงินสกุลหลักของโลกคือ ของโปรตุเกส มีอายุใช้งาน 80 ปี
คศ. 1530-1640 เงินสกุลหลักของโลกคือ ของสเปน มีอายุใช้งาน 110 ปี
คศ. 1640-1720 เงินสกุลหลักของโลกคือ ของดัชท์ มีอายุใช้งาน 80 ปี
คศ. 1720-1815 เงินสกุลหลักของโลกคือ ของฝรั่งเศส มีอายุใช้งาน 95 ปี
คศ. 1815-1920 เงินสกุลหลักของโลกคือ ของอังกฤษ มีอายุใช้งาน 105 ปี

สรุปคือ เงินสกุลหลักของโลก มีอายุเฉลี่ย 94 ปี แล้วดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้เป็นเงินสกุลหลักของโลกมาตั้งแต่ปี คศ. 1920 จะไปได้นานอีกแค่ไหน เพราะนับมาถึงวันนี้ก็ขึ้นปีที่ 94 แล้ว

นี่จึงทำให้พ่อมดบอกได้ว่า “ถ้าดอลล่าร์จะ crash หรือถูกลดบทบาทต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าเงินสกุลหลักของโลกก็มีวันหมดอายุ”

พ่อมดทิ้งท้ายในช่วงนี้ว่า “แล้วดอลล่าร์จะอยู่นานอีกแค่ใหน เพราะการพิมพ์เงินจะทำให้ค่าดอลล่าร์เสื่อม เมื่อคนทิ้ง ดอลล่าร์ค่าจะตก เงินจะเฟ้อ จักรวรรดิจะหมดอำนาจในการบริโภคใช้จ่ายในการบำรุงกองทัพ 

เงินเฟ้อเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาณาจักรโรมันล่มสลาย ปริมานแร่ทองและเงินในเหรียญ Denarius ลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือ 0%

ประวัติศาสตร์ย้อนรอยอีกแล้วเรื่องทอง อาณาจักรโรมันพังเพราะใช้จ่ายเกินตัว มีการใช้ทองเพื่อซื้อสินค้า เช่นพวกผ้าไหม เครื่องเทศ ธูป จากอินเดียและจีน 

แต่เวลาทองไปตกถึงมืออินเดียและจีน มันไม่ไหลกลับ โดนเก็บหายไปเลย อาณาจัรโรมันจึงมีทองน้อยลงไปเรื่อย แต่หลักๆ ใช้ระบบการเงินแบบ Silver Standard 

และเนื่องจากโรมันใช้จ่ายเกินตัว ทำให้มีเงินไม่พอใช้ จึงลดปริมาณแร่เงินในเหรียญ Dinarius ลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด เหลือแต่ทองแดงที่ไร้ค่า

นั่นละ คือคำตอบ

<<< โรมันโบราณทำ QE มาแล้ว และโดนเงินเฟ้อทำลายจักรวรรดิ! >>>

 

-------------

 

แล้วยังไง ตอนที่ 7/10 – พ่อมดตั้งข้อสงสัยว่า สหรัฐอเมริกาเหลือทองคำอยู่แค่ไหนกันแน่ 

--------------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

พ่อมด ทนง ขันทอง เริ่มกลับมาที่เอเชีย โดยระบุว่า ....

“ช่วงล่าอาณานิคม 400-500 ปี ที่ผ่านมา ตะวันตกปล้นทองคืนมาได้ จากโลกใหม่ หรือเอเชีย แย่งความร่ำรวยจากเอเซีย เพราะจีนและอินเดียโบราณรวยมาก ทองถูกปล้นเอาไปกองที่โลกตะวันตก เมืองไทยก็โดนเช่นกัน และตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบันที่เอเซียเริ่มส่งออก พัฒนาประเทศจนมีรายได้เหลือ (surplus) จึงเริ่มตุนทอง โดยขนทองจากอังกฤษ อเมริกา กลับบ้าน เพราะเชื่อว่า wealth ที่แท้จริงคือทอง ไม่ใช่เงินกระดาษ

ตรงกับคำพูดที่ว่า สมบัติผลัดกันชม แต่ในกรณีทอง มันใช้เวลาเดินทางไปมา นับพันๆ ปี”

แล้วคุณป๋าทนง พ่อมดศาสดามืดตัวพ่อ ก็แสดง Chart ให้เห็นว่า จักรวรรดิสหรัฐฯ กำลังไปในแนวเดียวกับจักรวรรดิโรมันในอดีตซึ่งเกรียงไกรได้ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร แต่เมื่อมีขนาดใหญ่เกินไป เหรียญทองคำที่เรียกว่า Denarius ก็ไม่พอจ่ายค่าจ้าง และทหารซึ่งไม่ได้มีแต่คนเชื้อสายโรมัน 

พี่ตู่คิดในใจว่า ดังนั้น อย่าหาคำว่า “จงรักภักดี” เมื่อไม่มีให้พอกิน และที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะจักรวรรดิก็เริ่มด้วยการเอาส่วนผสมทองแดงเข้าไปปลอมปนในเหรียญทองคำ และเหรียญเงิน เพื่อจ่ายค่าจ้าง เพราะแร่ทองกับแร่เงินหาได้ยากขึ้น เหรียญทองและเงินที่ใช้ในยุคนั้นชื่อว่า Dinarius 

แหม ... เรื่องลับสุดยอดอย่างนี้ มีหรือที่คนทั่วไปจะไม่รู้ สงสัยว่าสมัยนั้นจะมีคนอย่าง เสธ น้ำเงิน ไปคอยแฉความลับแหงๆ คนโรมันถึงรู้ได้โดยทั่วกัน และที่เคยใช้ 1 Dinarius ซื้อขนมปังได้จำนวนนหึ่ง ก็ต้องใช้หลาย Dinarius และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบที่นักเศรฐศาสตร์เรียกกันว่า เงินเฟ้อ หรือ กำลังซื้อลดลง นั่นแหละ ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้พี่เคยเขียนไว้ในซีรีส์ วิกฤติอเมริกันกว่า 20 ตอนไปแล้วในช่วงปี 2554 โดยจะอยู่ในตอนต้นๆ 

ป๋าทนง พ่อมดร้าย สำทับว่า “เมื่อทองหมด อำนาจก็หมด จึงเป็นที่มาของการล่มสลายของจักรสรรดิโรมัน” พร้อมแสดง Chart ที่เอารูปโอบามาใส่หมวกแบบซีซาร์โรมัน ที่แสดงค่าดอลลาร์ในรูปแบบที่เทียบค่าเงินดอลลาร์กับค่าเงินตั้งแต่ในสมัย Nero 

ทำให้พี่นึกไปถึงเปเปอร์อันหนึ่ง ที่ Bruce Bartlett เขียนไว้ในหัวเรื่องชื่อ How Excessive Government Killed Ancient Rome (จักรวรรดิโรมันล่มสลายเพราะเหตุที่รัฐบาลมีขนาดใหญ่เกินไป)

http://object.cato.o...11/cj14n2-7.pdf

พี่จำได้ว่าเคยมีคำถามหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน ในเวบหนึ่งของสหรัฐฯ ที่พี่จำไม่ได่ว่าเวบอะไร และเป็นที่ถกเถียงกันมากถึงความ Valid ในคำถามนั้น 

คำถามคือ “1 Dinarius ในสมัยจักรวรรดิโรมัน มีค่าเท่ากับกี่ US Dollar” มันก็คงจะคล้ายๆ กับที่เราถามว่า 1 พดด้วง มีค่าเท่ากับกี่บาทในวันนี้ นั่นแหละ 

คนที่มาตอบ บางคนก็ช่วยกันตอบพร้อมเหตุผล บ้างก็ช่วยกันก่นด่าตามประสาคนใน Social network ว่า เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ เพราะต่างยุค ต่างสมัยกัน 

แต่มี 1 คำตอบที่ทุกคนช่วยกัน Vote ให้เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ที่ตอบประมาณว่า ...

เนื่องจากมันมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากระหว่างสินค้าต่างๆ ชนิดในต่างยุคกัน จึงยากที่จะประมาณการดัชนีราคาได้อย่างเที่ยงตรง เนื่องจากคนต่างยุคกันย่อมมีสัดส่วนการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เคยมีงานวิจัยที่ระบุว่า 1 Dinarius มีค่าเท่ากับ 21 US Dollars ในปี คศ.2005 เมื่อเทียบกับอำนาจในการซื้อขนมปัง และนักประวัติศาสตร์ยุค Classic ก็มักระบุว่าในปลายยุค Roman Republic และเข้าช่วงต้นของยุคจักรวรรดิโรมัน ค่าแรงขั้นต่ำของชนชั้นแรงงานกับทหาร เท่ากับ 1 Dinarius ต่อวัน โดยยังไม่หักภาษี ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนขนมปังที่ซื้อได้ในปัจจุบันด้วยเงิน 20 US Dollar (ค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานในสหรัฐเมื่อ 5 ปีก่อนคือ 47 US Dollar ต่อการทำงาน 8 ชม ก่อนหักภาษี) 

หากอ่านแล้วงง เพราะไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ ก็ไม่เป็นไร ให้นึกเพียงว่า การทำ QE มันมีมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิโรมันแล้ว โดยเริ่มเมื่อเอาทองแดงไปปลอมปนในเหรียญทองคำและเหรียญเงิน Dinarius นั่นแหละ เพราะตอนนั้นมันยังไม่มีเครื่องพิมพ์แบงค์กระดาษกับลุงเบนและป้าเยลเลนไงล่ะ

ที่สำคัญคือ ทองคำที่สหรัฐฯ เหลือเท่าไหร่กันแน่ ไม่มีใครรู้ และมีคนไม่เชื่อตัวเลขจำนวนทองคำที่รายงานด้วย 

ที่แน่ๆ คือเมื่อ บุนเดสแบงค์ ธนาคารกลางเยอรมัน ขอถอนทองคำคืนจาก FED นิวยอร์คที่เคยไปฝากไว้ในช่วงสงครามโลก โดยจขอถอนเมื่อเดือน มค.2556 แค่กว่า 300 ตัน แต่ปรากฏว่า สหรัฐฯ ตอบกลับมาว่า ได้ แต่ขอเวลา 7 ปีในการส่งคืนให้

บุนเดสแบงค์ พยายามหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมร์เดือด ถามกลับไปว่า “งั้นขอเข้าไปตรวจความมีอยู่จริงของทองคำในห้องนิรภัยที่ FED นิวยอร์คหน่อยสิ”

ปรากฏว่า FED ตอบกลับไปอย่างหนาๆ ต้องตราช้างว่า “ไม่ได้ เค้ามีนะ แต่มะห้ายตะเองเข้ามาตรวจหรอก เค้าจะกอดทองคำจนตายคาห้องนิรภัย เพื่อรักษาประชาธิปไตย มีไรป่ะ”

บร๊ะเจ้าช่วย นี่มันบ้าแล้ว จัดเข้าขั้น Default และน่าจะ Bankrupt เลยนะนั่น

แล้วโอกาสของสงครามโลกครั้งที่ 3 จะมีหรือไม่ ต้องถามพ่อมดทนง กันต่อไป

อีกเรื่องคือ ป๋าทนง บอกว่า “เรื่องประเทศกลางน่ะหรือ ไม่มีจริงหรอก เขาหลอกให้คนโง่ ให้อาชญากรเอาสมบัติไปเก็บไว้เท่านั้นแหละ ไม่มีใครกลางจริงๆ มีแต่มาเฟียโลกที่กำหนดให้”

นี่เป็นไปได้มากทีเดียว เพราะประเทศนาฬิกาแม้จะมีภาพเป็นกลาง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะยึดเงินไปหลายคนแล้ว คนบ้านเราที่อยู่ไกลและคนบ้านใกล้เคียงที่จะอยู่ในตำแหน่งไปจนชาติหน้า ก็โดนยึด แต่ไม่กล้าร้อง เพราะเงินที่ยึดไปนั้น ไม่มีที่มาที่ไป เป็นเงินร้อนที่ได้จากการคอร์รัปชันและการทำผิดกฏหมาย เลยต้องกลืนเลือดไว้ 

แล้วยังไง ตอนที่ 8/10 – พ่อมดเขย่าขวัญพวกเราจนเอ๋อกันไปเป็นแถบๆ ด้วยการบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

 

---------

 

แล้วยังไง ตอนที่ 8/10 – พ่อมดเขย่าขวัญพวกเราจนเอ๋อกันไปเป็นแถบๆ ด้วยการบอกว่า มีโอกาสสูงที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 

---------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
29 มีนาคม 2557

เมื่อมาถึงตอนช่วงใกล้ท้ายๆ ในการบรรยายอันตื่นตา ตื่นใจ พ่อมด ศาสดามืดตัวพ่อ ก็บอกว่า Paul Krugman ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ (ตามแผนของมาเฟียโลก) พูดเมื่อปี 2011 ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้น ถ้ามีการก่อสงครามเหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะว่ารัฐบาลจะมีการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ

เรื่องนี้พี่ตู่เคยเล่ามาก่อนแล้วว่า เคยดูสัมภาษณ์ ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ใน CNBC ซึ่ง ลุงมาร์ค วิจารณ์ น้าพอล อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน จนทำให้พี่เอาไปนอนละเมอหัวเราะดังลั่น เพราะหลังจากได้ฟังน้าพอลพูดเรื่องสงครามในแนวเคนเซี่ยนแบบนั้น ลุงมาร์ค ถึงกับออกปากวิจารณ์ผ่าน CNBC ประมาณว่า ....

“ให้เอาระเบิดนิวเคลียร์ไปลงหลังคาบ้านพ่อไอ้เจ้าพอลก็แล้วกัน เผื่อเศรษฐกิจบ้านมันจะได้ดีขึ้น ไอ้เจ้าพอลเนี่ยะ มันคือไดโนเสาร์เคนเซี่ยนตัวสุดท้ายจริงๆ เลย พับผ่าสิ” 555555555555555555+

ความจริง ลุงมาร์ค ก็พูดถึงโอกาสจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อยู่บ่อยๆ และเตือนว่าอย่าประมาท เพราะทุกครั้ง เมื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ สงครามก็คือคำตอบ นั่นคือ ล้มกระดาน Reset ใหม่

กลับมาที่คุณป๋าพ่อมด กัน พ่อมด ตั้งคำถามพวกเราในห้องบรรยายว่า หากจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม พวกเราคิดว่าจะเกิดที่ไหนเป้นจุดปะทุเริ่มแรกจริงๆ 

พวกเราตอบว่า ยูเครน-รัสเซีย มั่ง เกาหลีเหนือมั่ง ฯลฯ แต่ไม่มีใครตอบได้ถูก เพราะป๋าทนง บอกว่า Oh No…. 

“มี 4 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 โดย คุณป๋าทนง พิจารณาจากเรื่องต่อไปนี้

ปัจจัยแรก ปูตินและจีนท้าทายระเบียบโลกปัจจุบัน ส่วนยูเครนแค่เรื่องรอง 

พ่อมด ให้เราดูแผนที่รัสเซียและอดีตบริวาร ปูตินต้องการรวมชาติอีกครั้งหนึ่ง หลังจากโดนเล่ห์กลสหรัฐ ทำให้สหภาพโซเวียตรัสเซีย แตกสลายไปเป็นหลายๆ ประเทศ ในชั่วพริบตา ในสมัยโกบาชอฟ และนิกสัน

ความแค้นในครั้งนั้น ทำให้ปูตินในวันนี้ คิดแผนการใหญ่ในการสร้าง Eurasia Trade Zone ปูติน ชาตินิยม เป้าหมายรวมรัสเซียขึ้นมาใหม่ ให้เหมือนสหภาพโซเวียตที่เคยยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ในอดีต 

ปูตินที่ป๋าทนงกล่าวถึงเนี่ยะ คือเบอร์หนึ่งของรัสเซีย คนละคนกับปูเจ็บตีนของเรานะ อย่า ฉับฉน ซะล่ะ

สรุปก็คือ กลุ่ม BRICS ท้าชก พวกแองโกลอเมริกัน โดยสามประเทศตรงกลางของคำว่า BRICS คือตัวเอ้ 
ส่วนตัว B กับตัว S ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตัว I อันเป็นประเทศบ้านเกิดของ คุณสาธิต เซกัล ที่เห็นเหมือนอ่อนแรงแบบนี้ อย่าลืม Silicon Valley อย่าลืมเรื่อง Back Office ทุกอย่างของโลก IT อยู่ที่นั่น 
และอย่าลืมรอยแค้นของเขาที่ส่งผ่านกันมาเป็นทอดๆ ในยุคที่กาขาวละโมบเข้ายึดครองเขา เอาทรัพยากรอันมีค่าไม่ว่าจะเพชรนิลจินดา ทองคำ เครื่องเทศ ผ้าไหมแพรพรรณ ในยุคนั้น ไปให้ กาขาวตัวแม่ในประเทศผู้รุกราน

ป๋าทนงพูดในเชิงลึกอีกมากในเรื่องนี้ เกี่ยวไปถึงภาพลวงที่ปากีสถานกับอินเดียเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน ฯลฯ แต่พี่จนใจที่ไม่อาจนำมาลงได้ เพราะยังอยากได้ฟังการวิเคราะห์อันชาญฉลาดของพ่อมดคนนี้อยู่ 

ว่าแต่ว่าป๋าอย่าเดินทางด้วยสายการบินมาเล ก็แล้วกัน 555555555555+

ปัจจัยที่สอง ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามความคิดของพ่อมด คือ เกาหลีเหนือก่อหวอด

พ่อมดเอารูปคิมน้อยจอมซ่า ทรงผมเท่โคตร มาลงให้ดู แล้วเขียนว่า “คิมไม่ใช่ไอ้ปื๊ด เอาจริงแน่” แถมยังบอกว่าการที่คิมน้อยสั่งให้หนุ่มเกาหลีเหนือตัดผมทรงเดียวกับเขา ซึ่งทำให้โลกหัวเราะ ดูถูกเขานั้น มันเป็น “สัญญะแห่งการพร้อมรบ” เป็นผมทรงทหารที่พร้อมประจัญบาน 

เรื่องนี้ทำให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซ้อมรบ เอเซียเหนือจึงมีโอกาสปะทะกันโดยเผป้าหมายของคิมน้อยคือการรวมเกาหลีใต้มาผนวกกับเกาหลีเหนือ และเตรียมรบกับญี่ปุ่นผู้เป็นบริวารของสหรัฐฯ ทั้งนี้ พ่อมดย้ำว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือ สามารถยิงถึงฝั่งตะวันตกของ US นะจ๊ะ 

เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ที่กอดเกาะสหรัฐฯ ถ้าถึงเวลาจำเป็นอาจจะโดนสหรัฐฯ ทิ้ง 

ปัจจัยที่สาม เที่ยวบิน MH370 จะทำให้จีนและมาเลย์เป็นศัตรูกัน ทำให้อาเซี่ยนง่อนแง่น และจะกลายเป็นเวทีประลองกำลังภายใน ระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน โดยมี ช่องแคบมะละกา เป็นเดิมพัน

MH370 หันทิศบินก่อนหายสาบสูญ โดน hijack ลงจอดที่ Diego Garcia ที่เป็นฐานทัพสหรัฐฯ หริอไม่ ?

MH370 ซับซ้อนกว่าข่าว มาเลน่าจะรู้กับลุงแซม และมีการจี้ด้านนอก ไม่ใช่จากข้างในเครื่อง มีการนำจอดพักและทำลายหลักฐาน 

อันนี้สอดคล้องกับที่ เสธน้ำเงิน ให้ข้อมูล โดยพ่อมด กับ เสธ น้ำเงิน ไม่ได้รู้จักกันเลย 

แต่พ่อมดบอกว่า มาเลก้าวพลาด จีนรู้หมด และเอาแน่ โดยขณะนี้ ญาติผู้โดยสารชาวจีนที่ตายไป ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบเสาะหาข้อเท็จจริง เรียกชื่อกันว่า MH370 Family Committee ตัวแทนบอกชัดเลยว่ามาเลย์เซียพยายามปกปิดความจริง และออกแถลงการดุเดือดว่า สายการบินมาเลเซีย รัฐบาลมาเลเซีย และทหารมาเลเซีย เป็นฆาตกรที่ฆ่าผู้โดยสาร และญาติของเขาตาย 154 คน โดยไปประท้วงที่สถานทูตมาเลเซียที่ปักกิ่ง 

ถึงตรงนี้ คุณป๋าย้ำว่า สังเกตุดูดีๆ ป้ายประท้วงเป็นการจัดมาโดยรัฐบาลจีนแหงแซะ

ปัจจัยที่สี่ เป็นปัจจัยที่พ่อมดให้ความสำตชคัญที่สุด ว่านี่ละ ของจริงที่จะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม นั่นก็คือ อิสราเอล กับ อิหร่าน

พ่อมด บอกว่า อิหร่าน ดีกว่าที่เรารับรู้กัน เราถูกตะวันตกล้างสมอง คนอิหร่านน่ารักมาก (พี่ฟองช่วยคอนเฟิร์ม หลังเวที) และอิหร่านยอมอดทนเสียสละเพื่อปกป้องทรัพยากรของชาติที่บรรพบุรุษหวงแหน คือน้ำมัน ไม่ให้โดนตะวันตกปล้นเหมือนประเทศอื่นๆ เขาโดนแซงชั่น โดยป้ายสีมากมาย แต่อดทน 

ใจพี่ตู่คิดต่อว่า ..... เพื่อรอเวลาเอาคืน 

พ่อมด วาดภาพสงครามว่า อิสราเอลจะโจมตีอิหร่านก่อน โดยได้แสดงภาพโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน เส้นทางเครื่องบินโจมตีที่ทำได้สามเส้นทาง ซึ่งอิหร่านย่อมโต้กลับ แล้วจะยุ่งแน่ๆ

แผนภาพการโจมตีจนกลายเป็นสงครามในมิดเดิ้ลอีสท์ที่พ่อมดนำมาให้เราเห้นนั้น เมื่อเอามาทบทวนดูอีกที มันมีความเป็นไปได้สูงจริงๆ และยังเกียวพันกับเรื่องเส้นทางน้ำมัน กับเรื่อง ดอลลาร์บล็อค กับ หยวนบล็อค อีกด้วย 

พ่อมดบอกว่า สงครามถ้าเกิด จะขยายวงแน่ๆ จนกลายเป็นสงครามระหว่าง West กับ East หรือระหว่าง 

สหรัฐฯ + โลกตะวันตก 
กับ 
รัสเซีย + จีน + อินเดีย + ปากี + เกาหลีเหนือ + อิหร่าน + ซีเรีย 

ส่วน เยอรมัน อาเซี่ยน ไทย จะเลือกเข้าฝ่ายใด ยังเป็นปริศนาที่ควรเอาไปคิดล่วงหน้า 

อย่าปล่อยให้อาปึ้งทำไปดุ่ยๆ แบบทำอาหารตามสั่งจากแดนไกลเหมือนที่แล้วมาอีก เพราะมันอาจเป็นหายนะของเราร่วมกัน ถ้าเกิดจริง แล้วเราไปเดินผิดทาง

ต้องขอบคุณ คุณทนง ขันทอง ครูศาสดามืด ที่มาให้ความรู้ เปิดโลก เปิดสมอง ยกแว่นออกจากตาเราเมื่อวานนี้ จนทุกคนร้องขอว่าเอาอีกๆ เอาเดือนละครั้งได้ไหม 

การนำเรื่องบรรยายมาลงนี้ ได้รับความอนุเคราะห์เนื้อหาส่วนของพ่อมด จากบทความที่คุณทนง ขันทอง วิเคราะหก์ด้วยสมองตน แล้วกลั่นกรองเขียนออกมาเป้นวิทยาทาน จนตัวเองแทบไม่มีอะไรเหลือท่านแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ 

พี่นำเรื่องของคุณป๋ามาเล่าต่อ แม้ไม่เทียบเท่ากับการได้ฟังจริง แต่ก็น่าจะพอให้เห็นภาพได้พอสมควร และขอแนะนำทุกคนให้ใช้หลัก กามสูตร เอ้ย กาลามสูตร ไปพินิจพิเคราะห์ ด้วยใจอันเปิดกว้าง 

เรียกว่า ออกมาหายใจนอกกะลากันบ้าง อย่างน้อยก็สนุกสนาน ได้ลับสมองกันละ 

และขอให้ติดตามอ่านอะไรดีๆ จาก ศาสดามืดตัวพ่อ กันได้ที่ 

https://www.facebook.../ThanongFanclub

วันนี้ คุณป๋า ลงเรื่องที่บรรยายไว้ในเฟสชองคุณป๋าแล้ว เชิญเข้าไปทัศนาและดูรูปประกอบละเอียดได้ที่นั่นเลย

ส่วนคราวหน้า จะเริ่มเขียนในวันพรุ่งนี้ตามที่สัญญาไว้ ในตอน “แล้วยังไง ตอนที่ 9/10 – แม่มดฟันธง ชัวะๆ”

(ตายแล้ว แล้วฉันจะมีเวลาทำแผนส่งให้ FETCO พิจารณาได้ทันไหมเนี่ยะ)

 

--------


พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#5 แม้ว ม.7

แม้ว ม.7

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,237 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 23:02

แล้วยังไง ตอนที่ 9/10 (1) – แม่หมอฟันธงชัวะๆ (ลุงกำนันบอกว่า ไม่ใช่ล้มแบบนี้โว้ย ยัยฟอง)
--------------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

{ตอนที่ 9/10 นี้ แบ่งเป็น 4 ตอนย่อย จาก ตอนที่ 9/10 (1) ไปจนถึง 9/10 (4) ขอให้ตามเก็บให้ครบ} 

ตั้งแต่แรกเกิด ตกฟากในบ้านริมน้ำที่อยุธยา (ในขณะที่พี่สาวกับน้องสาวล้วนจุติในห้องคลอดของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ) ก็มีโหราจารย์ชื่อ ลุงเนิ่น ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ผูกดวงให้พี่บนกระดานชนวน แต่ดวงจะเป็นอย่างไรพี่ก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นจากบรรพบุรุษ แต่จะพลัดพรากไปเติบโตแตกหน่อทำงานหนัก (เยี่ยงทาส) ที่อื่น ไอ้เรื่องที่เราๆ อยากรู้กัน เช่น จะรวยไหม จะมีตำแหน่งการงานที่สูงส่งไหม จะมีเนื้อคู่หนังคู่เป็นพระเอกขนาดไหน หรือไม่มีเอาเสียเลย แบบเนี๊ยะ ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย และเกิดมาก็เคยดูดวงแบบจับพลัดจับผลูกับแบบตั้งใจเพียงไม่เกิน 10 ครั้งเท่านั้น ซี่งไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ หรืออยากเอาไว้ลุ้นตอนจริง แต่เป็นเพราะกลัวความแม่นยำ 

ตอนที่ทำงานเป็นลูกน้องของ ดร.เจษฎา โลหอุ่นจิตร (ยูเรสโตร เจ้าของคอลัมน์ “ถอดรหัสลับดวงดาว” ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ) ประมาณกว่า 2 ปีนั้น ก็นึกปวดหัวและแอบเบื่อกับความพากเพียรของอาจารย์เจษ ที่อยากถ่ายทอดความรู้ด้านนี้ให้ลูกน้องทุกคนที่สนใจ เวลาอาจารย์อธิบายความเป็นมา เป็นไป ของดวงดาวอย่าง ยูเรนัส เนปจูน พลูโต ฯลฯ เราก็นินทาในใจด้วยอวิชชาว่า “ฮ่วย ทำไมอาจารย์ถึงไม่ฟันธงเลยเล้า ให้ฟังภาษากุโบส อยู่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง ง่วงๆๆๆๆ หิวข้าวด้วย”

แต่พออาจารย์ฟันธง แล้วมันเกิดจริงเป๊ะๆ ก็ทำให้พี่กลัวโหราศาสตร์ไปเลย จนต้องลาออกแบบไม่มีเหตุผลอันสมควรจนอาจารย์คงนึกอยากจะแพ่นกระบาลในความดื้อของพี่ ทั้งๆ ที่ท่านกรุณาพี่มาก ประจวบเหมาะกับที่คุณพ่อเสียชีวิต ตามที่อาจารย์เตือนไว้ ซึ่งนอกจากเรื่องคุณพ่อแล้วก็เตือนว่า ... เอ๊ะ ... ทำไมมีเกณฑ์ย้ายงาน ... ซึ่งพี่ก็ขำก้าก เพราะไม่เคิดจะย้ายไปไหนเลย 

แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ พี่ก็เลยไม่มีอารมณ์ทำงาน ขออนุญาตกราบลาอาจารย์เพื่อออกไปตั้งสติจากความสูญเสียก่อน แล้วก็ได้มาทำงานที่กองทุนบัวหลวงนี่ละ ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่แอบนินทาอาจารย์เจษอีก อุ้ย ... นี่ก็เรียกว่านินทาได้แล้วกระมัง !!

ตั้งแต่นั้น โหราศาสตร์ สำหรับพี่ตู่ก็คือเรื่องที่สนใจ แต่ไม่ได้สนใจจะศึกษาในแง่ดวงดาวอะไร เพราะมันเกินสติปัญญาตนจริงๆ แต่พี่สนใจถึงที่มา การนำไปใช้ประโยชน์ ส่วนการจำชื่อดาวนั้น ดาวนี้ ว่าเป็นตัวแทนอะไรก็ยากมากๆ จำได้แต่ ดาว มยุรี 

ก็คงคล้ายๆ กับแมงเม่าที่ไม่ยอมฟังที่มาที่ไป ไม่ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน เสวนาทีก็ขอให้ฟันธงออกมาเลย ประมาณนั้นแหละ ความรู้ด้านนี้ของเราจึงไม่งอกเงย เอาแต่ผลไปใช้ ไม่สนใจเหตุ

อย่างไรก็ตาม มาถึงปูนนี้ คนเรามันก็ต้องตกผลึกทางความคิดกันบ้างละ ไม่งั้นลูกหลานมันจะนินทาเราว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” เออ .. ไม่ใช่ “แก่เพราะกินเหล้า เฒ่าเพราะเหนียงยาน” นะ 

วิกิพีเดีย ระบุว่า “โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำนายอนาคตหรือโชคชะตาของมนุษย์ปรากฏการณ์ต่างๆ ของบ้านเมืองและของโลก โดยอาศัยเวลาและตำแหน่งของดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าเป็นสำคัญ แล้วบันทึกไว้เป็นสถิติ ซึ่งโหราศาตร์นี้แม้จะพิสูจน์จนเห็นเป็นประจักษ์ จนสรุปออกมาเป็นทฤษฎีได้ไม่ว่าจะทดลองกี่ครั้ง เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ แต่โหราศาสตร์ก็ยังคงเป็นวิชาที่ค่อนข้างลึกลับ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ไม่รับรองโหราศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลอินเดียได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 11 พค. 2544 ให้มีการสอนวิชาโหราศาสตร์ในมหาวิทยาลัยได้”

อ่านจากวิกิพิเดียแล้ว พี่ฟันธงมั่ง ว่า “แม้วิทยาศาสตร์จะระบุในทางเปิดเผยแบบนั้น แต่เรื่องจริงก็คือ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายภาคส่วนต่างยอมรับในเรื่องโหราศาสตร์กันอย่างไม่มีเงื่อนไข เพียงแต่ไม่ออกนอกหน้า และทำการศึกษากันอย่างขะมักขะเม้นในทางลับและทางเปิดเผย”

ในแวดวงการเมืองการปกครองและการ (ศึก) ต่างประเทศ เขาใช้โหราศาสตร์ในการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ทั้งยังเอาไปใช้ในปฏิบัติการณ์จิตวิทยาเพื่อชักจูงมวลชนด้วย อย่างในสมัยฮิตเลอร์ เขาก็ใช้เป็นรายวันเลยละ

วิชาอื่นๆ เรายังเชื่อได้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่เห็นถามเลยว่าทำไมมุมตกต้องเท่ากับมุมกระทบ เราเชื่อจากการเรียนการสอนที่ถูกกำหนด พอโตขึ้นก็เชื่อจากประสบการณ์ แต่โหราศาสตร์อันเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่มีมาคู่สยามประเทศตั้งแต่ครั้งตั้งกรุงสุโขทัย กลับไม่ได้รับการบรรจุเป็นหลักวิชาในโรงเรียน ทั้งๆ ที่มีการเรียนการสอนในอดีต เพราะอะไร

พี่เดาเองว่าเป็นเพราะผู้หลักผู้ใหญ่ในอดีตจนปัจจุบันต่างถูกครอบงำทางความคิดให้เชื่อหลักสูตรการเรียนการสอนในแบบตะวันตกเท่านั้น แบบว่าฝรั่งเป็นเทพ อะไรที่ฝรั่งไม่ทำ เราไม่ควรทำ เพราะมันงมงาย เพราะมันล้าสมัย ไม่ศิวิไลซ์

เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาสตร์ชั้นสูงอย่างโหราศาสตร์จึงหลุดออกจากโคจรของการศึกษาไปอย่างน่าเสียดายที่สุด แต่ยังดีที่มีผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้นในสมัยนี้ จนมีชื่อเสียงกันหลายคน บางรายก็ของจริง บางรายก็ของปลอม และหลายรายก็ปรับไปทำมาหากินด้วยการทำนายเรื่องส่วนตัวของศิลปินดารา ซึ่งก็ว่ากันไม่ได้ เพราะแนวใคร แนวมัน สร้างดาวคนละดวงกันไป

อย่างไรก็ดี ธรรมชาติมนุษย์คือมีความอยากรู้วิถีในวันหน้า โหราจารย์จึงเป็นที่นิยมของบุคคลที่มีชื่อเสียงในทุกแวดวง รวมทั้งกองทัพ และนักการเมือง

โบรกเกอร์รายใหญ่ระดับโลกแห่งหนึ่ง ยังทำนายเศรษฐกิจการลงทุนด้วยโหราศาสตร์ปีละครั้งในช่วงขึ้นปีใหม่เลย ดังนั้น ไม่ว่าใครจะปากแข็งไม่ยอมรับอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องเคยเปิดอ่านดวงโหลตามราศรีของตนในหนังสือใดหนังสือหนึ่งกันบ้างละ จริงป่ะ

ทีนี้นอกเหนือไปจากอาจารย์เจษฎาแล้ว ทำไมพี่ถึงติดตามงานของพี่ฟองสนาน ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เพิ่งได้เจอแม่หมอใจดีในวันที่ 28 มีนาคม 2557 นี้เป็นครั้งแรกล่ะ?

นั่นก็เพราะแนวทางของพี่ฟอง มีหลักคิด หลักเหตุ หลักผล และพี่ฟองไม่โม้ ไม่เชื่อมาดูตัวอย่างความแม่นยำของพี่ฟองกัน

พี่ฟองทำนายเรื่องดวงเมืองแตกร้าว จะเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดอะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น แล้ววันนี้เราเป็นอย่างไร พี่ฟองทำนายในตอนที่คุณอภิสิทธิ์ยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ว่าเราจะได้ผู้หญิงเป็นนายกฯ นั่นไงของแปลกอย่างที่หนึ่งมาแล้ว --> นายกหญิง 

ที่สำคัญคือทำนายว่านายกปูจะล้มในวันที่ 15 มีนาคม 2557 แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือล้มจริงๆ คือหกล้มตอนลงจากรถตู้ !! ซึ่งลุงกำนันบ่นว่า ....

“ไม่ใช่ล้มแบบนี้โว้ย ยัยฟอง"

------------

 

แล้วยังไง ตอนที่ 9/10 (2) – แม่มดฟันธงชัวะๆ (อุบาทว์พระอินทร์)

---------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

ภาพรวมดวงเมืองไทย
----------------------
แม่หมอ ฟองสนาน เริ่มการบรรยายในวันที่ 28 มีนาคม 2557 ด้วยการบอกถึงกำเนิดของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพี่ตู่ค้นหาข้อมูลละเอียดมาเพิ่มเติมให้ 

อาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น.ที่กรุงเทพฯ เป็นวันเกิดของกรุงรัตนโกสินทร์ มีการทำพิธีวางฤกษ์ตามพิธีสร้างเมืองสำหรับท้าวพระยามหากษัตริย์ วันนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงเป็นประธานในพิธี มีมหาสมณะ ชีพราหมณ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เข้ามาร่วมทำพิธีกัน 4 วัน 4 คืน 
ดวงเมือง

พี่ฟองเล่าว่า …..

ตามประเพณีของการสร้างเมือง จะต้องฆ่าคนที่มีชื่อตามโฉลก คือ อิน จัน มั่น คง ในหลุมฝังเสาหลักเมือง เพื่อทำหน้าที่รักษาเมืองให้รุ่งเรืองมั่นคง แต่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้นไม่มีคนมีชีวิตถูกนำไปสังเวยในหลุมเลยสักคน มีแต่งูเล็กๆ 4 ตัว นอนอยู่ก้นหลุมโดยไม่มีใครเห็นมาก่อน มาเห็นก็ตอนหย่อนเสาลงหลุมและถึงเวลากลบเสาแล้ว ถึงได้เห็นงูเล็กทั้ง 4 ตัวเลื้อยกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ที่ก้นหลุม จะแก้ไขอะไรก็ไม่ทัน เพราะพิธีการต่างๆ ทำเสร็จสิ้นหมดแล้ว เลยกลบดินลงไปทับงูทั้ง 4 ตัวเอาดื้อๆ 

แต่ทั้งรัชกาลที่ 1 กับขุนโหรและผู้รู้ทั้งสมณะชีพราหมณ์ทั้งหมด ก็ได้เห็นได้รู้กัน ว่านั่นเป็นเรื่องอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกเหตุของบ้านเมืองที่จะหลีกเลี่ยงไม่พ้น

อย่างไรก็ดี มีจดหมายเหตุความทรงจำของ กรมหลวงนรินทรเทวี ผู้เป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ของ
รัชกาลที่ 1 ข้อความว่า …. 

"ณ วันอาทิตย์ เดือน 7 ขึ้น 1 ค่ำ ปีระกาเอกศก เวลาบ่าย 3 โมง 6 บาท อสุนีบาติพาดสายตกติดหน้าบันมุขเด็จเบื้องทิศอุดร ไหม้ตลอดทรงบนปราสาท ปลายหักฟาดลงพระปรัสซ้ายเป็นสองซ้ำลงซุ้มพระทวารแต่เฉพาะไหม้ ….. พระโองการตรัสว่า เราได้ยกพระไตรปิฎก เทวาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี" 

แปลความสรุปสั้นๆ ว่า มีฟ้าผ่าลงหน้ามุขเด็จของพระที่นั่งอมรินทราภิเษก มหาปราสาท แล้วเกิดเป็นเพลิงไหม้เครื่องบนและหลังคา แล้วเลยลุกลามไหม้ทั้งองค์พระมหาปราสาทจนหมดสิ้น เหตุการณ์ฟ้าผ่าแบบนี้โบราณถือว่าเป็น “อุบาทว์พระอินทร์”

เรื่องฟ้าผ่าแบบนี้เคยมีปรากฏจนบันทึกไว้ในพงศาวดารว่า ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เกิดฟ้าผ่าพระราชวัง จนไฟไหม้ โหรทายว่าปกติแล้วถึงคราวจะต้องเสียเมือง แต่เทวดาสงเคราะห์ช่วยรักษาให้รับเคราะห์เพียงเล็กน้อย ต่อไปบ้านเมืองจะรุ่งเรือง ปราศจากศัตรูเข้ามาย่ำยี ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะบ้านเมืองในช่วงรัชสมัยของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมากมายในทุกด้าน 

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งรัชกาลที่ 1 นั้น เนื่องจากทรงรอบรู้โหราศาสตร์ จึงหยั่งเหตุการณ์ได้ จึงมีพระราชโองการตรัสว่า “เราได้ยก (ชำระสะสาง) พระไตรปิฎก เทวดาจึงให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมือง (น่าจะหมายถึงกรุงศรีอยุธยา) จึงเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์ครองเมือง (แล้ว) จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี”

นั่นก็คือ รัชกาลที่ 1 ทรงทำนายว่าระบอบกษัตริย์จะมีต่อไปอีก 150 ปี ก็จะหมดยุค 

ลองนึกถึงคนในยุคปีที่ 150 ตามคำทำนายสิ จะว่ากังวล ตระหนกอกสั่น กับสิ่งที่อาจจะเกิดตามคำทำนายนั้นแค่ไหน และในเชิงการเมืองก็ย่อมจะมีคนหยิบยกเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ในการก่อการบ้างละ อย่างพอถึงต้นรัชกาลที่ 7 ก็มีคนช่างจำมาสะกิดขึ้นว่า ปี พ.ศ. 2475 นี้พระนครจะครบ 150 ปีแล้ว เป็นปีมะเส็งงูเล็กเสียด้วย เหมือนงูเล็กในหลุมหลักเมืองเลย ในหลวงรัชกาลที่ 7 ก็ประสูติปีมะเส็ง (พ.ศ.2436) 

ไอ้อย่างนี้ละที่จะลือกันปั่นป่วนไปยกใหญ่ในทางไม่เป็นมงคล ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่ต้อง lay Off ข้าราชการออก เพราะท้องพระคลังร่อยหรอจากยุคก่อนหน้า เกิดปัญหารุมเร้าในหลวงรัชกาลที่ 7 ในทุกๆ ด้าน ตรงนี้ บันทึกของ ดร.วิษณุ เครืองาม ระบุว่า ...

“พวกที่ไม่เชื่อโชคลาง ก็ไม่เชื่อ แต่ที่นั่งรอลุ้นว่า มันต้องเกิดอะไรสิน่า ก็พอมีอยู่บ้าง ข้างฝ่ายทหารและพลเรือนที่คบคิดกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2469 ณ กลางกรุงปารีส บัดนี้ก็ดูจะได้แนวร่วมมากหน้าหลายตาเพียงพอแล้ว ช้าจะไม่เป็นการ นานจะไม่เป็นคุณ จะหาฤกษ์ยามใดเหมาะไปกว่านี้เห็นจะไม่มีอีกแล้ว ส่วน วัน ว. เวลา น. นั้น มีคนอ้างว่า หลวงพ่อโน้น หลวงปู่นี้ โหรคนนั้น คำนวณฤกษ์ก่อการ มีอยู่หลายเจ้า” 

พี่ฟอง บอกว่า 150 ปี ต่อจากนั้น ก็คือวันที่ 24 มิถุนายน 2475 พอดี โดยเป็นวันที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนการปกครองโดยเลิกระบอบราชาธิปไตย เปลี่ยนไปเป็นระบอบประชาธิปไตย อำนาจในการบริหารบ้านเมืองได้ถูกดึงออกไปจากกษัตริย์ ไปอยู่กับคนที่เรียกตนเองว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวสยาม หรือ คณะราษฎร์ ในยุคนั้น มาจนถึงวันนี้ 

ขอย้อนกลับไปยังบันทึกของ ดร.วิษณุ เครืองาม อีกท่อนหนึ่งที่น่าสนใจ ท่านเขียนไว้ว่า ....

พระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงยอมเสด็จฯ กลับ (จากวังไกลกังวล) ไม่ทรงหนีหรือสั่งให้ต่อสู้ปราบปราม แม้จะมีกองทหารที่จงรักภักดีอยู่ทางหัวเมืองปักษ์ใต้ ตรัสว่าความคิดเช่นนี้ก็ทรงมีอยู่แล้ว จึงนับว่าคณะราษฎรกับพระองค์คิดไม่ต่างกัน ถ้ามีการต่อสู้ คนไทยกันเองก็จะมาล้มตายเสียเปล่าๆ และหากทรงขัดขืน คณะที่ยึดอำนาจก็จะลำบาก เพราะต่างชาติคงไม่กล้ารับรองรัฐบาลใหม่ง่ายๆ การจะเสด็จฯกลับไม่ใช่เพราะทรงอยากได้ใคร่ดี พระสุขภาพก็ไม่ดีอยู่แล้ว พระราชโอรสก็ไม่มี แต่ก็จะทรงกลับไปช่วยให้เหตุการณ์คืนสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

อ่านถึงตรงนี้ขอให้เปรียบเทียบกับบ้านเมืองเราในวันนี้ด้วย บางวทีคนอ่านที่ไม่ชอบประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนใจได้ เพราะเห็นว่า การศึกษาเรื่องราวในอดีตมันมีประโยชน์มาก

ทีนี้กลับมาที่พี่ฟองกัน …..

-------------

 

แล้วยังไง ตอนที่ 9/10 (3) – แม่มดฟันธงชัวะๆ (หมอผี ปชป ไม่ทำหน้าที่)

----------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

พี่ฟอง แม่หมอใจดี ฟันธงชั้วๆๆๆๆ ว่า ....

“ดวงเมืองไม่มีแพ้ใคร หากมีอะไร ลูกหลานรัชกาลที่ 1 จะออกมาปะทะก่อนเลย ก็วางกันมาอย่างนั้น”

ฟังถึงตรงนี้ ในใจคิดว่า โอ้ ... ลูกหลานของพระองค์ ช่างมากมายนัก 

เพราะมีเป็นล้านๆ คนเลยที่ออกมาถือธงชาติ เป่านกหวีดกันอยู่บนถนนเนี่ยะ เพิ่งรู้ว่าไอ้เราก็น่าจะมีเชื้อเจ้าไปกับเขาด้วย เพราะออกมาปะทะแถวหน้าก่อนเพื่อนในกรณีไม่เอา ร่าง พรบ.นิรโทษสุดซอย ก่อนจะมีมวลมหาประชาชนเกิดขึ้น ซึ่งน่าทึ่งนักที่บางคนใช้ความถนัดขึ้นเวทีร้องเพลงแบบคอนเสิร์ต แสดงละครสนุกสนาน บางคนก็ทำเสื้อ ทำหมวก ฯลฯ ขายหาเงินมาช่วยเป็นระวิง ที่น่าตื้นตันใจที่สุดก็คือ คนมากมายเหลือคณานับที่อยู่รายทาง ต่างบริจาคเงินเล็ก เงินใหญ่ ให้เอาไปสู้ 

พี่ฟองเล่าต่อว่า .... 

“ตามวิชาโหร ก็บ่งบอกล่วงหน้ามาแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากในดวงเมือง ประชาธิปัตย์โง่มาก (ที่ไปยุบสภาสมัยคุณอภิสิทธิ์ ฮ่าๆๆๆๆๆ) คุณสัมพันธ์ ทองสมัคร ซึ่งมีฉายาเป็นถึงหมอผี หรือ ดร. วูดู ก็ไม่รู้จักเตือน ปชป ทั้งๆ ที่ดวงเมืองแตก และแตกถึง 2 ชั้นในระยะใกล้ๆ กัน แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย”

พี่ฟองบอกด้วยว่า พรรคการเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ ทุกวงการต่างวิ่งเข้าหาหมอดู วางฤกษ์ วางยาม กระทำการกันทั้งนั้น แม้จะไม่ยอมรับ อย่างนายกหญิงก็น่าจะมาเพราะพี่ชายไปดูดวงเมืองเทียบ ก็เลยส่งมาในช่วงที่เหมาะสม ส่วนพี่ฟองนั้น ใครอย่ามามองว่าเชียร์ ปชป เพราะพี่ฟองอยู่ข้างด่านายกฯ ทุกคนมาโดยตลอด เรียกว่าเป็นศัตรูกับทุกพรรครัฐบาลนั่นแหละ 555555555+

การที่ดวงเมืองแตกนั้น มันก็ต้องเข้าใจโดยเปรียบเทียบกับยุคก่อนๆ ซึ่งเรื่องนี้พี่ฟอง แม่หมอผู้ร่ำรวยอารมณ์ขัน บอกว่า ...

“เมื่อราหูอันเป็นตัวแทนของความลุ่มหลง มัวเมา ประชานิยมก็ใช่ รวมทั้งการเก็งกำไรด้วย โคจรมาเจอเสาร์ซึ่งคือรัฐบาล ก็เลยไปกันใหญ่ แถมดวงเมืองยังแตกร้าวสุดๆ แตก 2 ชั้น แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวอย่างในอดีตก็คือช่วงสงครามเก้าทัพ”

พี่ตู่จำได้ว่า สงครามเก้าทัพ เป็นสงครามครั้งที่ 1 ระหว่างไทยกับพม่า เกิดขึ้นหลังจากกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีได้ 3 ปี พอถึงปีมะเส็ง (งูเล็กอีกแล้ว) พ.ศ.2328 กษัตริย์พม่าคือพระเจ้าปดุงทรงประกาศแสนยานุภาพ (ตามระเบียบ) รวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อย ประเทศราช ให้เป็นปึกแผ่น แล้วยกทัพมาเพื่อทำลายล้างกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศเหมือนนกรุงศรีอยุธยา โดยรวมกำลังพลถึง 144,000 นาย จัดเป็นกระบวน 9 ทัพ เดินทัพ 5 เส้นทาง ในขณะที่ฝ่ายไทยนั้น รัชกาลที่ 1 รวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง 70,000 นายเท่านั้น เรียกว่าพม่า 2 ต่อไทย 1 และโชคไม่ดีเลยที่เราไม่ได้อยู่ข้าง 2

แต่เราก็ชนะ โดยกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้าพระยาเสือ พระอนุชาของรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นผู้พิชิตศึกอย่างแท้จริง เพราะผลจากการรบในยกแรก ทำให้กองทัพใหญ่จำนวนมหาศาลของฝ่ายพม่าติดอยู่ในช่องเขา และต้องเผชิญกับกลศึกมากมาย เพราะไทยรบแบบกองโจรด้วยวิธีจรยุทธ์ ในมหาสงครามที่จะชี้ขาดความเป็นความตายให้กับชาวสยาม อันที่จริงผู้นำการรบแบบกองโจร จรยุทธ์มาใช้คนแรกก็คือ พระนเรศวร นั่นเอง

รายละเอียดหาอ่านได้ที่นี่ สนุกมาก http://www.unigang.com/Article/8641

พี่ฟอง บรรยายต่อว่า ...

“ในคราวสงครามเก้าทัพนั้น ดวงเมืองแตกจากอริราชศัตรู แต่วันนี้ ดวงเมืองของเราแตกเพราะจิตใจคน มีการทำให้มัวเมาในประชานิยมโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมว่ารองรับไหวไหม จิตใจคนไทยแตกแยกกันแบบไม่เคยเป็นได้ถึงเพียงนี้ แตกเพราะไปลุ่มหลงมัวเมา ซึ่งต่อไปผลที่ต่อเนื่องจากนโยบายเหล่านั้นจะกระทบหนักมาก ซึ่งทำนายโดยเอาช่วงดวงเมืองแตกในเหตุการณ์สงครามเก้าทัพ มาเปรียบเทียบกับศึกดวงเมืองแตกคราวนี้

ช่วงเริ่มกดดันคือ 24 พฤษภาคม 2554‐7 กันยายน 2555 การบริหารบ้านเมือง (ยุคคุณอภิสิทธิ์) จะมีปัญหา จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ชนิดที่อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น แล้วก็จริง เพราะการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยเสนอสิ่งแปลกใหม่คือนายกฯ หญิง ซึ่งหาเสียง 49 วันได้เป็นนายกฯ ด้วยการออกนโยบายประชานิยมมาท่วมประเทศ (ชนิดที่ใครไม่เลือกก็คงเสียสติ) เช่น ข้าว(คือพระเสาร์) 15,000 บาท/ตัน ค่าแรง(พระเสาร์) 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ รถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก แท็ปเล็ท ฯลฯ”

พี่ตู่ว่าคนที่เลือกในวันนั้น มาถึงวันนี้มีหลายคนที่เสียสติแทนคนที่ไม่ได้เลือกเธอในวันนั้น โดยเฉพาะชาวนาที่เอาข้าวไปจำนำแล้วยังไม่ได้เงิน จนหลายรายผูกคอตายไปแล้วกับนโยบาย “พี่คิด น้องทำ จนความ ... (จุดจุดจุด) จึงจะตกแก่บ้านเมืองไปอีกนาน”
 
แล้วยังไง ตอนที่ 9/10 (4) – แม่มดฟันธงชัวะๆ (ราศรีพิจิกขอตายคาประชาธิปไตย ตายคาสวนลุม)
------------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

พี่ฟอง เล่าอดีตต่อว่า …. 

“ดวงเมืองแตกขั้นที่ 1 เริ่ม 7 กันยายน 2555 รัฐบาลเข้มแข็งและมีอิทธิพลมาก จิตใจคนไทยเริ่มแตกเป็นสองเสี่ยงอย่างมาก ส่วนดวงเมืองแตกขั้นที่ 2 เริ่มมาแล้วเมื่อ 11 ธันวาคม 2555 พระราหูจรยกตามเข็มนาฬิกา จากราศีพิจิกเข้าราศีตุลย์ มาช่วยพระเสาร์คู่มิตรใหญ่ ทำให้ดวงเมืองแตกขั้นที่สองด้วยนโยบายประชานิยม คนต่างแดน คนหนีกฎหมาย ตำรวจ เมืองต่างๆ แตกหมด เหมือนมีหินก้อนที่สองมาทับดวงเมืองซ้ำ 

นอกจากนี้ พระเสาร์ยังทำมุมฤทธิโยคถึงพระจันทร์(๒) ดวงเดิมดวงเมือง ที่ราศีกรกฎเป็นคู่หนี้ ทำให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา คิดแต่ทางได้ ไม่คิดทางเสีย อีกอย่างหมายถึงฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกกดโงหัวไม่ขึ้น เพราะนับวันแล้วอิทธิพลรัฐบาลจะเพิ่มมากขึ้นตามองศาพระเสาร์-ราหูเคลื่อนเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เปรียบกับคราวสงคราวเก้าทัพก็น่าจะใกล้เคียงกับคราวพระเจ้าปะดุงยกทัพมาที่เมาะตะมะ จ่อข้ามมาตีกรุงรัตนโกสินทร์ราวธันวาคม 2327 แรมสี่ค่ำ ปีมะเส็ง ซึ่งแม้ศึกเก้าทัพครั้งนั้นจะใหญ่มาก คนไทยก็สามัคคีกันสู้จนชนะอริราชศัตรู แต่คราวนี้กลายเป็นศึกในอกคนไทย”

แม่หมอฟองสนาน ชี้ให้เห็นเพิ่มว่า ...

“การตรึงกันของหัวหน้าดาวดีและดาวร้าย เริ่มตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2556 ผลคือยื้อกันสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะต่างฝ่ายต่างเบ่งพลังเพิ่มสู้กัน ในขณะที่รูปดวงเมืองยังคงแตกสองชั้นอยู่ โดยมีตัวอย่างปรากฎการณ์ตรึงกำลังของสองขั้ว เช่น

- อภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมทั้งเรื่องข้าว ยื่นให้ ปปช. สอบช่วงแรกก็ไม่ก้าวหน้า แม้ ปปช.จะแจ้งข้อกล่าวหาคุณบุญทรงกับพวกรวม15 รายไปแล้ว 

- คุณยิ่งลักษณ์ ยุบสภา 9 ธันวาคม 56 แต่ กปปส.ก็ยังชุมนุมได้เป็นล้าน แต่ก็ไม่ชนะเหมือนกัน

- รัฐบาลประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่งก็ออกข้อกำหนดให้ขยับอะไรลำบาก

- เลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้วก็เป็นโมษะ

- ตอนนี้ ปปช.กำลังรอชี้แจงจากคุฯยิ่งลักษณ์ ขณะที่ กวป.กวน ปปช. แต่ กปปส. คปท ให้กำลังใจ ปปช.”

พี่เองก็คิดถึงอาการที่ตรึงกันจนอึดอัดเหมือนมีขี้ขำคา ... (จุด จุด จุด) ตามสำนวนอาจารย์ธีรยุทธ์ ได้เพิ่ม คือ เรื่องของคุณถวิล เปลี่ยนสี ที่กว่าจะคืนตำแหน่งให้เธอ ก็ยังดื้อด้านจนกระเบื้องตราช้างอยากขอสูตรไปทำวัสดุก่อสร้างพันธุ์ใหม่ แถมตอนนี้ก็ยังจะไปสอบสวนกลั่นแกล้งเขาเพิ่มอีก 

พี่ฟอง เล่าต่อว่า ปรากฎการณ์ เสาร์-ราหู ทับกันสนิท แล้วต่อมาเดินสวนจนแยกห่างจากกัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ และฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจากกลุ่มเล็กๆ เริ่มรวมตัวกันติด จาก กปท.ที่ประตูสามทำเนียบรัฐบาล เป็น คปท. เป็นสามเสน และ กปปส. โดยดวงเมืองตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2556 พระเสาร์จร(7) ที่ราศีตุลย์ สวนกับพระราหูจร(8) ที่ราศีตุลย์ แล้วเริ่มถอยห่างจากกัน พี่ฟองบอกว่า “วันนั้น 8 ตุลาคม 2556 คุณทักษิณโทรศัพท์ให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีโหรทำนายไม่ดี ซึ่งก็น่าจะหมายถึงพี่ฟองเอง ทำให้หนังสือ เทวาสุรสงครามสยามประเทศ ของพี่ฟองขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นี่ต้องขอขอบคุณ คุณทักษิณ มากๆ”

“บันทึกเป็นปูมโหรว่า 31 ตุลาคม 2556 ที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่าง พรบ.นิโทษกรรมนั้น อิทธิพลร่วมของรัฐบาลและรัฐสภาลดลงแล้ว คือพระเสาร์จรและราหูจรแยกจากกันประมาณ 4 องศา ใกล้เคียงกับเหตุการณ์คราวสงครามเก้าทัพตอนเริ่มทำศึก เมื่อ 1 ธันวาคม 2328 ซึ่งในคราวนั้นพระเสาร์จรกับพระราหูจรในราศีมังกรถอยห่างจากกันประมาณ 3 องศา

เสาร์ ราหูจร ยิ่งห่างจากกัน พระจันทร์จะยิ่งเข้มแข็ง ทำให้รัฐบาลต้องถอยให้กับมวลมหาประชาชน อะไรไม่เคยพบเคยเห็น ก็ได้เห็น เมื่อวุฒิสภาสภาคว่ำร่าง พรบ.นิรโทษกรรมในวันที่ 11 ธันวาคม 2556 (พี่ฟองทำนายเป็น 10 ธันวาคม 2556) พระเสาร์-ราหูจร เคลื่อนห่างจากกัน 6 องศา เมื่อเทียบกับครั้งไทยชนะศึกลาดหญ้าที่กาญจนบุรีเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2328 ก็มีพระเสาร์-ราหูจร ที่ราศีมังกร เคลื่อนห่างจากกัน 6 องศา เท่ากันพอดี 

9 ธันวาคม 2556 ยุบสภา เวลา 9.30 น. แต่มวลมหาประชาชนก็ยังออกมาเป็นหลายล้านคน แบบไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เป็นวันที่ดวงเมืองและดาวจร พระเสาร์-ราหูจร เคลื่อนห่างจากกันประมาณ 10 องศา พระอาทิตย์จร(1)เข้าภพมรณะ เทียบได้ใกล้เคียงกับไทยชนะศึกถลาง 13 กุมภาพันธ์ 2328 ซึ่งในคราวนั้น พระเสาร์-ราหูจร ที่มังกร เคลื่อนห่างจากกันประมาณ 10 องศา แล้วฝ่ายไทยก็ไล่เก็บชัยชนะมาเรื่อยทั้งหัวเมืองฝ่ายใต้และเหนือ”

พี่ตู่ฟังแล้วก็เห็นจริง คือไม่มีใครยอมใคร เพราะไปไกลกันเกินกว่าจะย้อนกลับ ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน ทำให้อึดอัดมาก ไม่มีใครแพ้ชนะสักที ยุบสภาแล้วก็ยังไม่จบ แต่พี่ฟองบอกว่า ...

“ทั้งลุงกำนัน และ คุณยิ่งลักษณ์ ต่างเป็นคนราศรีพิจิก ดังนั้น สู้ยิบตาเหมือนกัน ศึกในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น หัวหน้าดาวสองขั้วไม่ตรึงกัน แต่คราวนี้ เราโชคร้ายเกิดศึกในอกแยกฝ่ายเป็นสองขั้ว ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ลีลาขัดแย้งในประเทศจึงยังมีต่อ” 

อ้อ ..... ราศรีพิจิกนี่เอง ถึงขอตายคาประชาธิปไตยที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้จัก เพราะไม่ยอมรับอำนาจตรวจสอบกับกฏหมาย แต่เอ๊ะ ... หรือว่าราศรีพิจิกอีกคนที่หน้าดำปิ๊ดปี๋ จะยอมตายคาสวนลุมกันแน่ ก็ต้องรออ่านจากภาคอนาคต ในตอนที่ 10 กัน
 
แล้วยังไง ตอนที่ 10/10 (1) – แม่มดฟันธงชัวะๆ (อนาคต)

------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

{ตอนที่ 10/10 นี้ แบ่งเป็น 2 ตอนย่อย จาก ตอนที่ 10/10 (1) ไปจนถึง 10/10 (2) ก็จบซีรีย์ “แล้วยังไง” ขอให้ตามเก็บให้ครบ}

เหตุการณ์ในเดือน มีนาคม 2557 
---------------------------------
วันที่ 7 มีนาคม 2557 รัฐบาลเจอเรื่องคืนตำแหน่งเลขา สมช ให้คุณถวิล เปลี่ยนศรี

วันที่12 มีนาคม 2557 มติศาลรัฐธรรมนูญเป็นเอกฉันให้ ร่าง พรบ.เงินกู้สองล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญ

พี่ฟอง บอกว่า “วันที่ 15 มีนาคม 2557 พฤหัสบดีที่เดินถอยหลังมาตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2556 เริ่มกลับมาเดินหน้า ฝ่ายกฎหมายจึงเข้มแข็งขึ้น”

20 มีนาคม 2557 มติ ปปช.เอกฉันท์ ชี้มูลความผิด นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ว่าทำหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ กรณีแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ สว.

21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เลือกตั้ง สส เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ

ภาคอนาคต กรอบใหญ่
------------------------
พี่ฟอง แม่หมอมากฤทธิ์ บอกว่า ตั้งแต่ 21 เมษายน 2557 เป็นต้นไป ทักษาจรดวงเมืองจะเปลี่ยนจากภูมิพฤหัสบดี เป็นภูมิราหู ไปจนถึง 21 เมษายน 2558 โดยพระจันทร์เป็นศรีจร พฤหัสบดีเป็นกาลกิณีจร และตั้งแต่ 17 มิย.2557 เป็นต้นไป จะยุติการตรึงกันระหว่างพฤหัสบดีกับพระเสาร์ เพราะพฤหัสบดียกจากราศีมิถุนเข้ากรกฎ ทำให้เริ่มเห็นผลแพ้ชนะทางการเมือง 

“ฝ่ายธรรมะจะชนะอธรรม แต่ต้องมีกระบวนการฟื้นและกระบวนการวิวัฒนาการเพื่อเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2558”

เย้ๆๆๆๆ เราจะชนะแล้ว <--- นี่เป็นคำพูดของคนหลายคนที่ตะโกนร้อง เพราะใครๆ ไม่ว่าฝ่ายไหน ต่างก็คิดว่าตนเองเป็นคนดี เป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายธรรมะ

“แต่ ....” พี่ฟองรีบพูดต่อ ทำเอาคนฟังร้องอ้าวด้วยเคืองใจเล็กน้อย

“แต่ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไปจนถึง 21 เมษายน 2558 ในปีหน้า จะเป็นช่วงเทวดาประจำเมืองพิโรธทับพระจันทร์ ดวงเมืองจะหยุดแตกขั้นที่ 1 ตั้งแต่ 30 มิถุนายน 2557 เมื่อพระราหูจร ยกจากราศีตุลย์ตามเข็มนาฬิกาเข้าราศีกันย์ภพอริดวงเมือง มีผลให้ความลุ่มหลงมัวเมาของประชาชนและการใช้อารมณ์จะลดลง”

อ้าว มันก็ดีไง ไม่ใช่เหรอพี่ฟอง ?

พี่ฟอง ตอบว่า “แต่เป็นการเริ่มของปรากฎการณ์ ราหูล่าจันทร์ หรือ ราหูล่าหนี้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาเศรษฐกิจ”

จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก .... 

ก็ตรงนี้ละที่พี่ตู่กังวลมาจะเดือนนึงแล้ว เพราะตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ น่ากลัวมาก ล่าสุดโทรไปปรึกษา ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ท่านก็บอกว่า GDP เราปีนี้อาจโตได้แค่ 1.1% เท่านั้น 

สิ่งที่พี่กังวลมากคือกำลังซื้อของประชาชนมันแย่ลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ดูจากตัวเลขเศรษฐกิจนะ พี่สังเกตุจากการดูคนจับจ่ายใช้สอย ทั้ง ใน กทม และ ตจว มันหดลงไปเรื่อยๆ แล้ว คนไม่มีเงิน เพราะผ่อนอะไรไปเยอะ เช่น บ้าน รถ แถมเกษตรกรก็ไม่ได้ค่าจำนำข้าว ชาวสวนยางขายยางไม่ได้ราคาอีกด้วย ฯลฯ

แค่ดูจากโปรโมชั่นเรียกลูกค้าเข้าห้างตามที่ส่งไปรษณีย์มาที่บ้าน กับการลดแลกแจกแถมให้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ก็สะท้อนได้ว่า “ขายไม่ออก”

พี่ฟอง บอกว่า ….. 

“จะมีการกำเนินคดี ลงโทษ และยึดทรัพย์กันบ้าง และน่าจะมีการเปลี่ยนสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหมายความว่าเป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสภาฯ และเป็นจุดเริ่มต้นของการได้สภาชุดใหม่ ทั้งนี้ ดวงเมืองจะหยุดแตกขั้นที่สองตั้งแต่ 26 พย.57 เป็นต้นไป โดยพระเสาร์จร(7) จะยกจากราศีตุลย์เข้าราศีพิจิก ภพมรณะดวงเมือง ความหมายคือ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลอยู่ นี่คือจุดสิ้นสุด

ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2557 เป็นต้นไป พระอังคารที่ยกเข้าราศีตุลย์ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 และเริ่มเดินถอยหลังตั้งแต่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 เป็ นต้นมา ยังถอยหลังต่อ และจะกลับเข้าราศีกันย์ในวันที่ 6 เมษายน 2557

พระอังคารที่ดูเข้มแข็ง โลดโผด ผิดธรรมดานี้ แม่หมอทำนายว่า ….

“จะมีสงครามตัวแทน มีปรากฎการณ์หมูท้าสู้ราชสีห์ เริ่มทะเลาะวิวาทเจ็บหัวเจ็บเท้าอีกแล้ว (อาจจะเป็นบรรดาลิ่วล้อรับจ้างที่ชอบอาละวาดชกต่อย ถ่อยถีบ กระทืบพระ มีเรื่องกับชายชุดเขียว ก็ได้) และอาจจะมีศึกต่างเมืองมา ซึ่งก็มีคนชักศึกเข้าบ้านอย่างเช่นที่เราเห็นคนพยายามไปฟ้องยูเอ็น และดึงยูเอ็นเข้ามาก็ได้” 

วันที่ 21 เมษายน 2557-17 มิถุนายน 2557 เรื่องร้ายเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จะกลายเป็นดีช่วงสั้นๆ 2 เดือนนี้ คาดว่าการปฏิรูปและฝ่ายกฎหมายจะก้าวหน้า มีการแต่งตั้งบุคคลสำคัญของประเทศท่ามกลางเหตุแทรกซ้อน มีการปะทะกันเป็นหย่อมๆ จนเสียเลือดเนื้อ เจ็บหัว เจ็บเท้า เพราะมีความขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองกับทหารตัวอย่างเช่นที่ ม.รามฯ และหลักสี่ ระหว่าง 15 พฤษภาคม 2557-15 มิถุนายน 2557 ราชสีห์อย่างทหารจะประมาทหมูอย่างอาตี๋ไม่ได้

พอเริ่ม 17 มิถุนายน 2557 ไปจนถึง 21 เมษายน 2558 ดาวสองขั้วหยุดตรึงกัน เป็นการเริ่มกระบวนการสู่การฟื้นฟูเพื่อปฏิรูปเข้าสู่ยุคใหม่ แบบฟื้นฟูไป ทะเลาะกันไป” 

เฮอ ..... เอาละ เข้าสูยุคใหม่แล้ว น่าจะดีได้ ฟ้าสีทองจะผ่องอำไพเสียที

“แต่มาพร้อมปรากฎการณ์พฤหัสไม่คุ้มครองเมือง และเทวดาประจำเมืองพิโรธมากนะ” แม่หมอให้ข้อมูลเพิ่ม

อ้าว .... ไรว้า ...… 

(ภาพประกอบจากโพสท์ ทูเดย์)

1947761_10203137055534489_14831717_n.jpg

 

แล้วยังไง ตอนที่ 10/10 (2) จบ – แม่มดฟันธงชัวะๆ (ดวงใคร ดวงมัน)

------------------------------------------------------------------------
วรวรรณ ธาราภูมิ
30 มีนาคม 2557

แม่หมอฟองสนาน บอกว่า พอเริ่ม 17 มิถุนายน 2557 ไปจนถึง 21 เมษายน 2558 ดาวสองขั้วหยุดตรึงกัน เป็นการเริ่มกระบวนการสู่การฟื้นฟูเพื่อปฏิรูปเข้าสู่ยุคใหม่ แบบฟื้นฟูไป ทะเลาะกันไป แต่มาพร้อมปรากฎการณ์พฤหัสไม่คุ้มครองเมือง และเทวดาประจำเมืองพิโรธมากนะ” 

“ก็เพราะดวงเมืองวันที่ 17 มิถุนายน 2557 พฤหัสบดีกาลกิณีจร(๕) ไปยกเข้ากรกฎ ขณะพระเสาร์จร(7) ยังถอยหลังอยู่ที่เดิม นั่นไง และวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 ดวงเมืองจะหยุดแตกขั้นที่หนึ่ง ทำให้คนไทยหยุดแตกกันขั้นที่หนึ่ง แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องอิสานล้านนา เพราะยังคงเหลือความเครียดและขมขื่นอยู่ ที่สำคัญคือจะเริ่มมีปัญหาทางเศรษฐกิจ นํ้ามัน ภาษี และพระราหูล่าหนี้ประเทศชาติ ประชาชนจมหนี้ เจ็บปวดมาก ทีวีใหม่ให้ระวัง อาจรอดได้ไม่กี่ราย จะได้เห็นทั้งเงินเฟ้อกับเงินฝืด หรือ Stagflation ในเวลาเดียวกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของการได้สภาแบบแปลกๆ”

พี่ฟอง สรุปย้ำเรื่องเศรษฐกิจว่า “ปัญหาเศรษฐกิจจะหนักมากๆ เริ่มตั้งแต่กรกฎาคมนี้ หนักแบบไม่เคยเกิดมาก่อน หนี้จะไล่ล่าประชาชน แต่สติจะกลับมา”

“จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของเมือง 10-12 กรกฎาคม 2557 โดยดูลีลาของพระอังคารจร(๓) เห็นว่าถอยหลังในราศีกันย์ไปจนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2557 จึงกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง เราจึงน่าจะได้เริ่มเห็นอะไรกันตรงนี้ (9 มิถุนายน 2557‐12 กรกฎาคม 2557)

นอกจากนั้น ลีลาของพระอังคารจร(๓) จากกันย์เดินหน้ากลับเข้าราศีตุลย์ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2557 บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของเมือง มุมนี้ต้องระวังอย่างสูงเพราะพระอังคารกับพระราหูสมาสัปต์กันในดวงเมือง
แล้วยังเป็นช่วงอังคารจร(3) สวนกับพระราหู(8) บ่งบอกการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในดวงเมือง

สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ พี่ฟองคาดว่าไม่ดี”

จับตาวันที่ 12 กรกฎาคม 2557 พระเสาร์จร(7) เริ่มเดินหน้า การบริหารบ้านเมืองจะเริ่มต้น หรืออาจเป็นไปได้ว่าจะได้คณะรัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ ขณะที่กรรมเก่าจากเรื่องหนี้และข้าว ที่ลดไปช่วงหนึ่งตั้งแต่พระเสาร์เดินหน้า ก็จะกลับมาร้อนแรงอีก ระวังควันไฟจะท่วมเมือง เลือดนองท้องช้าง 

30 เมษายน 2557-17 มิถุนายน 2557 หุ้นยังโอเค หลังจากนั้นระวังให้ดีๆ และปัจจัยนอกประเทศอาจมีจีนกับสหรัฐฯ ตรึงกำลังกันด้วย พอไปปลายปีตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2557 หนักหนาสาหัส อาจถึงขั้นหยุดระบบชั่วคราวให้ผู้ลงทุนหาย Panic ก่อนเปิดใหม่ในช่วงต้นธันวาคม 2557 – มกราคม 2558 

คำเตือน
---------
นี่เป็นการคาดการณ์ของพี่ฟองสนานด้วยหลักโหราศาสตร์ มิได้เป็นการชี้นำให้ซื้อขายหุ้น หรือปั่นหุ้น ทุบหุ้นแต่ประการใด และก่อนจะถึงเวลานั้นก็สามารถมีเรื่องจรเข้ามาจนทำให้คำทำนายปรับเปลี่ยนไปก็ได้ หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นตามคำทำนายก็ได้

พี่ฟองฟันธงต่อว่า ...

"วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เริ่มหยุดดวงเมืองแตกขั้นที่สอง เป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลเก่าจะล้มหายตายจาก หรือเดินเข้าคุก หรือจากไปไกล เราได้รัฐบาลใหม่ที่ให้โชคกับประชาชน แต่ใมห้ระวังนํ้าท่วมใหญ่อีกครั้ง เป็นจุดเริ่มต้นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ระดับเป็นข่าวไปทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์ร้ายเหล่านี้จะกินระยะเวลาไปสองปีครึ่ง 

อ้าว ไหนว่ารัฐบาลใหม่จะให้โชคกับประชาชนไง นี่มันโชกเลือดแล้วนาพี่ฟอง

“พอเข้า 21 เมย 2558 ตรงกับวันเกิดดวงเมือง เริ่มช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ ระวังการสูญเสียผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง จนน้ำตานองกันด้วย"

คำทำนายรายบุคคล
--------------------
คุณกรณ์ ดวงแรงมาก พอเข้าอายุ 53 ปีเป็นต้นไป ใครก็ฉุดความพุ่งไกลไม่อยู่ (น้องเจ เอาโซ่ล่ามเลย)

คุณอภิรักษ์ จะดวงดี พร้อมๆ คุณอภิสิทธิ์ ที่จะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางมิถุนายนนี้ 

คุณยิ่งลักษณ์ ตกขั้น 1 มานาน และตกถึง 3 ชั้น จนถึง 17 มิถุนายน 2557 ในด้านความผิด และจะถูกตรึงไปจนถึง 26 พฤศจิกายน 2557 ถ้ายังดันทุรัง ก็จะเกิดเรื่องร้ายหนัก

ลุงกำนันเป็นคนหัวคดท้ายตรง ใจนักเลง คบได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ใน ปชป แต่อยู่ราศีพิจิก ราศีเดียวกับคุณยิ่งลักษณ์ ดังนั้น ก็จะตกพอๆ กัน เพราะแมงป่องมีลูกบ้าเยอะ สุเทพจะหนักไป 3-4 ปี น่าจะเป็นเรื่องต่อสู้กับคดีความ แต่ต้องระวังช่วงใกล้ๆ นี้ก่อน คือ 15 เมษายน นี้ ช่วงสงกรานต์ ระวังโดนลอบฆ่า ลอบทำร้าย (พกหลวงพ่อทวดไว้)

คนไกลดวงสูง (เหมือนดวงคุณสุรินทร์) แต่ดาวการเงินดวงแตก ถ้าไม่ตัดเรื่องการเงินจากชีวิต จะแย่ไปเรื่อย ถ้าหยุดเรื่องเงินจะดี อาจได้กลับช่วง 17 มิถุนายน 2557- 2558 แต่กลับในสภาพไหนยังไม่รู้ รู้แต่ว่าหากไม่ปรับเปลี่ยนแล้วจะทุกข์ไปอีก 7-10 ปี เจอฤทธิเสาร์ที่ยาวนานตั้งแต่ปี 2549

ท้ายสุด พี่ฟองบอกว่า ได้ไอเดียจากป๋าทนงวันนี้ โดยจะไปดูดวงช่วงสงครามโลก 1+2 เพื่อเทียบดูโอกาสเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 

สรุป
----
โหราศาสตร์ไม่แน่ว่าจะถูกต้องได้มั้งหมด เพราะต้องดูดวงดาวแล้วตีความ อย่างไรก็ตาม อย่าประมาทในการใช้ชีวิต ดำรงตนอยู่ด้วยความดี มีศีล มีสัตย์ ไม่เบียดเบียนใคร เป็นดีที่สุด 

คำทำนายร้ายๆ จะไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้ารู้จักเผื่อเหลือเผื่อขาด เตรียมแผนไว้รองรับล่วงหน้าถ้ามันเกิด

คำทำนายดีๆ ถ้ามีก็อย่าเหลิง เพราะเคยมีแล้วประมาท จนทำให้สูญเสียไปหมด

ถ้าเศรษฐกิจเราจะย่ำแย่อย่างที่แม่หมอฟองสนานคาดการณ์ผ่านดวงดาว ถ้าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างที่พ่อมดทนงคาดการณ์ไว้ ก็ขอให้ลูกหลานรัชกาลที่ 1 ทั้งหลาย ร่วมกันสู้และฟื้นฟูกันต่อไป เพราะก่อนจะได้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ เราต้องผ่านช่วงเทวดาประจำเมืองพิโรธหนักที่มีการลบหลู่ของสูง มีการแตกแยก มีการทำร้ายกันเองไปก่อน 

หลังจากนั้น ก็จะเหมือนเราได้เกิดใหม่ในแผ่นดินที่ทรงคุณธรรม มีความผาสุกสมใจหวัง ดังคำทำนายว่า เป็นยุค ชาววิไล ที่เมื่อบ้านเมืองยุคเข็ญไปแล้ว เราจะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที

 

1958570_10203137196778020_1948796084_n.j

 

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูดตัดพ้อกับคนที่เดินทางไปพบว่า “พรรคเพื่อไทยมีคนเก่งๆ เยอะ ทั้งนักวิชาการ ด็อกเตอร์ ทูต แต่ไม่กล้าออกมาสู้ คนหน้าตาดีไม่ออกมา พวกที่ออกมาหน้าตาไม่ค่อยดี ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้าม คนมีความรู้ นักวิชาการออกมาเยอะแยะเลย คนจริงใจกับผมมันน้อย วางยาผม เพราะตัวเองอยากอยู่นานๆ เห็นว่านายกฯ ไม่แข็ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดี แต่คนรอบข้างไม่เป็นการเมือง ผมส่งคนเป็นการเมืองไปนายกฯ ก็ไม่เอา ผมก็สงสารนายกฯ จึงไม่อยากจู้จี้ แต่คนที่เมืองไทยมันไม่ได้ดั่งใจ” 

http://astv.mobi/AlgEYM7

แปลสั้นๆ เขาด่าไอ้เสร่อแกนนำแดงว่า"โง่แต่ขยัน"


#6 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 23:09

ยาวมากมาย

 

ตกลงประเด็นอยู่บรรทัดไหนครับ


gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#7 ศรอรชุน

ศรอรชุน

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,103 posts

ตอบ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 - 09:42

ขอบคุณครับที่นำมาให้อ่าน

อ่านจบเลย ...

"ควาย" ในความหมายของผม คือ คนที่มีความคิด เล่นเน็ตเป็น แต่แยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ไม่ได้  

              มิได้หมายถึง ชาวรากหญ้า ที่เป็นเหยื่อในสงครามทางความคิดครั้งนี้

 

"คนชั่ว" จะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา... อยากให้ถึงวรรคท้ายของคำทำนาย ไวๆ ว่ะ...


#8 ม่านน้ำ

ม่านน้ำ

    ผมเพิ่งมาครับ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 5,373 posts

ตอบ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 - 10:44

ยาวมากมาย

 

ตกลงประเด็นอยู่บรรทัดไหนครับ

 

คำทำนายร้ายๆ จะไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้ารู้จักเผื่อเหลือเผื่อขาด เตรียมแผนไว้รองรับล่วงหน้าถ้ามันเกิด

คำทำนายดีๆ ถ้ามีก็อย่าเหลิง เพราะเคยมีแล้วประมาท จนทำให้สูญเสียไปหมด

 

ตรงนี้เลยคุณผึ้ง


Posted Image


#9 พระฤๅษี

พระฤๅษี

    มหาเมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 10,127 posts

ตอบ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 - 11:08

...... อย่าประมาท เท่านั้น...การทำนาย เหตุการณ์

 

ล่วงหน้า. มีทั้ง ผิดและถูก.. นอสตราดามุส..

 

Nostradamus... นับเป็นนักทำนาย เก่าแก่ แต่ก็ยัง

 

มี ผิดบ้างถูกบ้าง จนทุกวันนี้.....( ไม่ ๑๐๐ % ) 



#10 kritz

kritz

    เกรียนบอร์ด

  • Members
  • PipPipPipPip
  • 3,388 posts

ตอบ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 - 11:18

ประเทศไทยจะเจริญยั่งยืนนาน มั่งคั่งถึงขั้นร่ำรวย ไม่ใช่เพราะการขุดทรัพยากรธรรมชาติเอามาขายหรือใช้ อย่างที่เข้าใจผิดๆ กัน

หรือมุ่งแต่จะบังคับให้จัดสรรค์กัน แต่เป็นการรู้จักถนอมและรักษาผลประโยชน์ส่วนนี้ไว้ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การจะมั่งคั่งจากสิ่งที่มีอยู่เดิม คือ ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งดิน น้ำและสภาพภูมิอากาศ จึงต้องเป็นผลิตผลที่เกิดจากการสร้างจากธรรมชาติ

รัฐต้องจริงจังและตั้งเป้า เพื่อหวังผลในจุดนี้ให้มากที่สุด ในกลียุคนอกประเทศที่กำลังเขม็งเกลียว เราขายและทำกำไรได้แน่นอน

อยู่ให้เป็น เลือกข้างให้ถูก จะลอยลำกลางนาวาที่มีพายุโหมกระหน่ำได้สบาย ...

 

คนไทยโชคดีที่มีผู้มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลอยู่ช่วยเหลือมาเนิ่นนาน แม้แก่เฒ่าชราแล้ว

ลูกหลานก็ยังคงเชื่อมสัมพันธ์ทั้งสองฝั่งแบบไม่ตกหล่น ไม่บ้าใบ้ มุทะลุเหมือนตัวชั่วขายชาติทุกๆ ตัว

ที่ตะบี้ตะบันจะเอาใจแต่ฝั่งอาหรับ ฝั่งยุโรป จนเกือบจะโดนเอเชียถล่มเละ ...

 

มันถึงเวลาแล้ว ที่มวลชนคนรักชาติต้องเคลื่อนไหว โดยไม่จำเป็นต้องแคร์สายตาใคร

ความเป็นเอกภาพและภราดรภาพ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการนั่งดูละครข่มขืน-ตบตี หรือชี้หน้าด่าโจร ว่าเอ็งข่มขืน

ทั้งๆ ที่กำลังโดนข่มขืน แต่กลับแค่รับรู้ว่า กำลังโดนข่มขืน เดี๋ยวโจรอีกคนก็มาข่มขืนต่อ เพราะงั้น ยอมโดนข่มขืนก็แล้วกัน

มันไม่ใช่ มันต้องสะบัด ดิ้นรน ถีบสู้ ป่าวร้อง ให้คนรักความยุติธรรม-นิติรัฐ เข้ามาร่วมกันกระทืบโจร แล้วจับส่งให้รับโทษทัณฑ์ ...

 

พลังเงียบ ก็เหมือนผี รู้ว่ามีแต่ไม่ยังไม่เคยเจอ เพราะฉะนั้น พลังเงียบ ก็คือ ไม่มีพลัง

พลังที่ไม่มีการขับเคลื่อน ก็ไม่ถือว่าเป็นพลัง ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ

แต่การรณรงค์ให้เกิดการขับเคลื่อน นี่จึงเป็นจุดพลิกผันของหมากทุกกระดาน ไอ้คนที่มาบอกว่า การเคลื่อนไหวทุกครั้งไม่เกิดประโยชน์

คงได้แต่แนะนำมันไปว่า อย่าไปด่ายิ่งลักษณ์ว่าโง่เลย พวกมรึงน่ะ โง่กว่ายิ่งลักษณ์อีก ...ฮ่าๆ



#11 taecu

taecu

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 446 posts

ตอบ 21 เมษายน พ.ศ. 2557 - 11:45

สุดท้ายก็จบเหมือน หมอดูอีที ทำนายนั้นแหละ

 

จบแถวๆ มิถุนายน พวกรัฐบาลที่มีอำนาจ ไม่ตาย ก็ติดคุก ก็หนี้ออกนอกประเทศ

 

แต่ช่วงที่จบ จะเกิดวิฤกติเศรฐกิจจาก NPL ของคนไทย


โลก นี้มีทรัพยากรสำหรับคนทุกคน แต่มีทรัพยากรไม่พอสำหรับคนโลภมากคนเดียว, ประเทศก็เช่นกัน... ไม่มีประเทศไหนมีทรัพยากรมากพอสำหรับคนละโมบโลภมากที่ไม่รู้จักพอ (โกงกินจนพังทั้งประเทศ)

#12 ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่

    หน้าตาดี มีอุดมการณ์

  • Members
  • PipPipPipPipPipPipPip
  • 21,670 posts

ตอบ 21 เมษายน พ.ศ. 2557 - 16:52

สุดท้ายก็จบเหมือน หมอดูอีที ทำนายนั้นแหละ

 

จบแถวๆ มิถุนายน พวกรัฐบาลที่มีอำนาจ ไม่ตาย ก็ติดคุก ก็หนี้ออกนอกประเทศ

 

แต่ช่วงที่จบ จะเกิดวิฤกติเศรฐกิจจาก NPL ของคนไทย

^

^

นี่เลยครับ ประเด็นที่ผมว่า!

 

หมอดูอีทีทาย 1 บรรทัดจบ

แม่หมอฟองสนาน (และคนอื่นๆ) ใช้ความยาว 4 หน้ากระดาษ บอกเรื่องเดียวกับที่หมอดูอีทีบอก

 

เวิ่นเว้อ เยอะสิ่ง  -_-


Edited by ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่, 21 เมษายน พ.ศ. 2557 - 16:53.

gladiator 1.jpg

 

 

 

 

 

 


#13 เสือยิ้มยาก

เสือยิ้มยาก

    เมพ

  • Members
  • PipPipPipPipPip
  • 8,695 posts

ตอบ 21 เมษายน พ.ศ. 2557 - 17:45

อ้าว แล้วพวกคอนเฟิร์ม ฟันธง หรือมีญาณวิเศษไปไหนหมดล่ะ หรือ น่าจะแม่นกว่านะ เพราะรวยกันเหลือเกิน ค่าดูเป็นแสนเป็นล้าน ตาทิพย์ฝุดๆ :huh:


        shotgun.gif       d444.gif        cheesy.gif

 





ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน