พระพุทธรูป เป็นสิ่งที่ผู้มีศรัทธาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ โดยไม่มีใครเสมอเหมือน พระพุทธศาสนา ไม่ได้อยู่ที่รูปวัตถุ แต่อยู่ที่พระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน วัตถุรูปต่าง ๆ ก็ไม่มีความหมาย เพราะถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม พระพุทธศาสนาก็ย่อมจะอันตรธานจากใจของผู้นั้น ไม่สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้
พระพุทธรูป ควรแก่การเคารพสักการะบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น
ยกตัวอย่าง พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระพุทธเจ้าว่าเหตุใดเราจึงเคารพสักการะพระพุทธรูป เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระองค์ท่าน
[๗๘๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนักเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่บุคคลผู้หลงทางหรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักแลเห็นได้ ฉะนั้น ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม กับ บุคคลต่างๆ แม้พวกนอกศาสนา เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังพระธรรม เกิดความเข้าใจ คือ เกิดปัญญาเห็นแจ้งด้วยตนเอง จึงเปล่งอุทาน ดังข้อความที่ยกมา
ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนัก คือ
ไพเราะ ด้วยน้ำเสียงของพระองค์ และพระธรรม เพราะเป็นคำจริง เป็นสัจจะ ไพเราะทั้ง อรรถ และ พยัญชนะ เป็นถ้อยคำที่ทำให้ละอกุศลเกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิด ความเข้าใจพระธรรมจึงไพเราะจับใจด้วยกุศลธรรมทีเกิดขึ้น ไพเราะทั้งพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไพเราะเพราะทำให้ผู้ฟังเกิดกุศล และ ปัญญา
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ คือ
ผู้ที่ตกอยู่ใน อวิชชา และกิเลส พระธรรมของพระองค์ทำให้ออกจากกิเลส พ้นจากกิเลส ดังเช่น บุคคลหงายของที่คว่ำ ถูกปิดคว่ำ ปิดกั้นด้วยกิเลส ของที่คว่ำอยู่ ย่อมไม่เปิดเผย ย่อมไม่เห็นตามความเป็นจริง เมื่อหงายของนั้นออก พระธรรมของพระองค์ ก็เหมือนการทำให้ผุ้ฟังเกิดปัญญา เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมที่ถูกอวิชชาคว่ำไว้ไม่เห็นตามความเป็นจริง พระธรรมทำให้เกิดปัญญาจึงหงายของนั้นออก เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงในที่สุด
เปิดของที่ปิด คือ
พระพุทธเจ้า ทรงเปิด ความเห็นถูก จากที่ถูกปิดไว้ ด้วยกิเลส คือมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เมื่อพระองค์ ทรงแสดงธรรม เปิดให้สัตว์โลกได้มีความเห็นถูก ทรงแสดงถึงเหตุแห่งทุกข์ คือ อวิชชา และ ตัณหา ซึ่งถูกปกปิด ไม่มีใครรู้ เมื่อพระองค์แสดงธรรม จึงทำให้สัตว์โลกรู้เหตุแห่งทุกข์ เช่นเดียวกับการเปิดของที่ปิด เปิดให้รู้ความจริง ว่าเหตุแห่งทุกข์ คือ อะไร ทำให้สัตว์โลกเกิดปัญญาของตนเอง
บอกทางแก่บุคคลผู้หลงทาง คือ
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ผู้ฟัง รู้ทางสวรรค์และทางถึงพระนิพพาน เพราะอำนาจกิเลส ทำให้ไม่รู้จักทางที่ถูกต้องหลงไปในทางที่ต่ำ แต่พระธรรมทำให้รู้ว่า กุศลคืออะไร และถึงความสุขได้อย่างไรด้วยการเจริญกุศลทุกประการ และบอกทางที่จะทำให้พ้นจากกทุกข์คือ อริยมรรค
ตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักแลเห็นได้ คือ
พระธรรม และปัญญา เปรียบเหมือน ประทีป แสงสว่าง ที่ช่วยกำจัดความมืดของเหล่าสัตว์ คือ โมหะ ความไม่รู้ ให้หมดสิ้นไป เห็นตามความเป็นจริง ด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงพระธรรม เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้ได้เข้าใจความจริงถึง ๔๕ พรรษาเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ เป็นผู้เห็นคุณค่าของพระธรรม จึงเกิดความซาบซึ้ง จึงกล่าวสรรเสริญพระภาษิตของพระองค์ ที่ทำให้ได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังตามความเป็นจริง
เพราะเหตุนี้เราจึงเคารพสักการะพระพุทธรูปเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้น้อมระลึกถึงพระองค์ท่าน ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งที่ไม่รู้จริง ด้วยความหยาบทั้ง กาย วาจา ใจ ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยพิจราณาอย่างถ่องแท้ ไม่เคยมีความเข้าใจแม้สักกระผีก เป็นเพียงเรื่องที่ นึกเอง –คาดเอง-เดาเอง ให้เป็นไปตามอกุศลจิตของใจตัวเองเท่านั้น ย่อมไม่ใช่ คำสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน เป็นการนับถือศาสนาพุทธตามบัตรประชาชนเท่านั้น เพราะผู้มีปัญญาแล้ว ไม่…..แม้แต่จะคิด
ฟ้ากับดินไกลกัน ฝั่งสมุทรก็ไกลกัน
พระอาทิตย์ส่องแสงยามอุทัย กับยามอัสดงไกลกัน
ธรรมของสัตบุรุษ กับธรรมของอสัตบุรุษไกลกันยิ่งกว่านั้น
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย