กำหนดนัดของ ศาลรัฐธรรมนูญ คดีที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกร้อง กรณีโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี มิชอบ และคดีปล่อยให้เกิดความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ที่ ป.ป.ช.กำลังเร่งมือ ก็ใกล้จบเต็มทน ทำให้เกมการเมืองถูกเร่งเร็วขึ้น
ผลพวงจากการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย ทำให้การถอยแล้วถอยอีกของทั้ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหมือนกับว่า ถอยไม่มีที่สิ้นสุด
นั่นเป็นเพราะมองเห็นแล้วว่า หากถอยจนสุดขอบแล้ว "อำนาจ" ที่หลุดพ้นจากมือไป อาจนำไปสู่ "จุดจบ" หา "จุดสงบ" อย่างที่คาดการณ์กัน
เพราะเห็นกันชัดเจนว่า คดีความที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ กำลังเผชิญอยู่นั้น แม้ขั้นตอนหนึ่งจะนำไปสู่การถอดถอนโดยวุฒิสภา แต่ก็ไม่ได้ปิดทางที่จะดำเนินคดีอาญาเอาไว้
แล้วการขึ้นโรงขึ้นศาลมันดีตรงไหน สุภาษิตจีนยังบอกว่า "กินขี้หมา ดีกว่าค้าความ"
ถึงแม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองให้บรรดาผู้ที่ไปพบที่ ฮ่องกง เมื่อวันก่อนว่า หลังสงกรานต์ปลายเดือนเมษายนนี้ จะยังไม่มีอะไร โดยย้ำมาเป็นข้อๆ
1.มั่นใจว่าไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้น
2.ต้องเกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่
3.ไม่มีเหตุนองเลือด เพราะ นปช.จะไม่ไปเผชิญหน้ากับกลุ่มอื่นๆ
ซึ่งต่างจากการวิเคราะห์ของคอการเมืองทั้งหลายในก่อนหน้านี้ว่า ทุกครั้งที่ถึงกำหนดนัดขององค์กรอิสระจะลงดาบ ความรุนแรงทางการเมืองจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นว่าจะเป็นมือที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม
เพราะชัดเจนว่า นปช.จะนัดชุมนุมใหญ่ในช่วงนั้น ขณะที่ม็อบ กปปส.ก็ชุมนุมกันต่อเนื่องอยู่แล้ว
แต่สถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อทั้ง ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งพรรคเพื่อไทย
มีแต่จะทำให้ความหวังของทั้งคู่ตีบตันมากขึ้นไปอีก !
เพราะหากสุดท้ายแล้วความรุนแรงจากการชุมนุมทำให้กองทัพตัดสินใจเข้ามายึดอำนาจทุกอย่างก็คงจบเห่ เพราะกองทัพในเวลานี้ ในทางการเมือง น่าจะเรียกได้ว่า ยืนอยู่คนละด้านกับ ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจนแล้ว
การออกมาแสดงตัวให้เห็นว่า การใช้มาตรา 7 นั้นมีความเป็นไปได้ ทั้งในส่วนของ ชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะกับสถานการณ์ที่พอจะทำให้เข้าใจได้ว่า คนทางฝั่งนี้คิดดังๆ ว่า "...เอางั้นก็ได้" หลังจากที่ พานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ในเฟซบุ๊กว่า พร้อมยอมรับให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ส่วนนายกฯ คนกลางนั้น จะต้องมาตกลงกัน
การเปิดใจรับนายกฯ มาตรา 7 จึงเป็นอีกขั้นที่เข้าสู่การเสนอ "เงื่อนไข"
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เพราะหากจะเดินไปในทางนี้จริง ก็ขอให้เป็น รักษาการนายกฯ เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ
เงื่อนไขนี้หากเป็นจริงมองได้ประการเดียวก็คือ ป้องกันการเปลี่ยนชื่อ นายกฯ คนกลาง ภายหลังได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว
เมื่อผ่านขั้นตอนนั้น ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะรัฐมนตรี...แน่นอนว่า เรื่องนี้จะต้องขอมีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี จะแบ่ง ห้าสิบห้าสิบ หรือ หกสิบสี่สิบ เจ็ดสิบสามสิบ ก็ว่ากันไป
เรื่องนี้ว่ากันว่า มีการทำโพลล์ลับๆ แล้วได้บทสรุปมาแล้วว่า สถานการณ์การเมืองที่ไม่มีทางไปอย่างนี้ ประชาชนส่วนใหญ่รับได้กับการมีนายกฯ คนกลาง
ส่วนใหญ่ที่ว่านี้ก็ 60-70% กันเลยทีเดียว
แต่รับไม่ค่อยได้หากมีนายกฯ มาจากพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์
เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกกำหนดให้ดำเนินการก่อนที่ ศาลรัฐธรรมนูญจะลงดาบ รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งต้องเสร็จก่อนที่กลุ่ม ส.ว.สรรหาจะลงมติส่งชื่อนายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ เฉพาะกาล
ถึงแม้ว่ากลุ่มหลังนี่จะค่อนข้างวางใจ เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญออกมา (ประชาธิปัตย์โวยว่ารักษาการนายกฯ ไม่นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ)
นอกจากเหตุผลดังว่าเป็นเหตุให้ต้องเร่งมือแล้ว อีกปัจจัยก็คือ มวลชนคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมนั้น ยังไม่มากพอที่จะกดดันอะไรได้ แล้วก็น่าเชื่อว่า ถึงจะนัดชุมนุมกันอีก คนก็คงมาไม่มากมายกว่าเดิมเท่าใดนัก
ปัจจัยสุดท้ายก็คือ กองทัพ ที่แม้จะมั่นใจว่า ไม่มีการปฏิวัติ แต่สถานการณ์การเมืองที่ฉุดรั้งบ้านเมืองให้ติดหล่มจมปลักอยู่กับปัญหา สุดท้ายแล้วสถานการณ์จะบีบให้กองทัพตัดสินใจบางอย่างเพื่อนำพาชาติให้ออกจากวิกฤตินี้
ทั้งหมดจึงต้องเร่ง ต้องเร็ว ต้องได้บทสรุป ถึงใครจะบอกว่า "กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้" ก็ช่างเถอะ
เพราะตอนนี้ปัญหามีแค่ว่า เงื่อนไขที่ว่ามานั้น น่าเชื่อว่า กปปส.น่าจะไม่รับเลยสักข้อ ตรงนี้ต่างหากที่จะทำให้มันเป็นไปไม่ได้ !
http://www.komchadlu...415/182895.html ลืมลิ้งค์ครับ
...............................................................................................................
ขออนุญาตนำมาให้อ่านกันก่อน บ่ายๆเย็นๆจะกลับมาอีกทีครับ แต่ดูแล้วก็สอดประสานกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านั้นเรื่องคณะบุคคลเสนอ
ชื่อนายกฯ การพลิกกลับมายอมรับ ม.7ของเพื่อไทย ที่ชัดเจนคือ ระบอบทักษิณรู้ตัวว่าแพ้แน่ๆแต่ยังคิดต่อรอง
Edited by ธีรเดชน้อย, 15 เมษายน พ.ศ. 2557 - 10:33.