ต้องถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา...ที่ระหว่างการมองหาช่อง มองหาทางออก ย่อมต้องมีผู้ออกมาชี้มือ ชี้ไม้ ว่าทางโน้น ทางนี้ ไปตามสภาพ และถ้าหากเป็นการเสนอช่อง
เสนอทาง บนจิตเจตนาที่ดี บนความหวัง ความต้องการที่จะให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น เจริญขึ้น ก็ไม่เห็นจะต้องเป็นปัญหา ต้องมาตำหนิ ติติง อะไรกันให้มากเรื่องมากความ
แค่รับเอาไว้พิจารณา ก็พอแล้ว...
-----------------------------------------------
ไม่ว่าจะเป็นทางของ คณะรัฐบุคคล นำโดยท่านพลเอก สายหยุด เกิดผล ก็ตาม ถ้าไล่เรียงรายชื่อแต่ละรายชื่อของผู้ที่พยายามรวมตัวเพื่อช่วยเสนอทางออก ทางรอด
ให้กับบ้านเมือง ไม่ใช่แต่เฉพาะแค่อายุที่สามารถนำเอาไปรวมแล้วพิสูจน์ด้วยวิธีวัดปริมาณคาร์บอนได้มากกว่าอายุกรุงรัตนโกสินทร์ซะอีก ในแง่ชื่อเสียง คุณงามความดี
ความปรารถนาดีต่อชาติ ต่อบ้านเมือง ก็ยังถือเป็นที่ยอมรับได้ถ้วนทั่วทุกตัวคน เพียงแต่มันจะใช้ได้ ใช้ไม่ได้ เหมาะ ไม่เหมาะ สำหรับสถานการณ์ที่ย่อมต้องมีการเปลี่ยน
แปลงไปในแต่ละห้วง แต่ละระยะ นั่นคงเป็นเรื่องที่จะต้อง รับเอาไว้พิจารณา โดยละเอียดอีกทีหนึ่ง...
----------------------------------------------
หรือจะเป็นทางของท่านอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตามที การที่ท่านได้ยืนหยัด พิสูจน์ตัวเอง ทั้งในวิถีทางรัฐสภา และแม้แต่นอกเวทีรัฐสภามาแล้วก็ตาม
ก็น่าจะใช้เป็นตัวยืนยันได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ว่า ท่านคงมุ่งหมายที่จะให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมาในบ้านเมืองด้วยจิตบริสุทธิ์ มากกว่าที่จะให้เกิดสิ่งดีๆ แก่ตัวท่านกันโดยเฉพาะ
ไอ้ที่ลากยาวไปถึงขั้นคิดว่าท่านคิดจะลัดคิวขึ้นมาเป็นนายกฯ มาตรา 7 คิดจะเจรจา ต่อรอง กับศาลรัฐธรรมนูญให้เกิดการยกฟ้องนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อะไรไปเลย
ถึงขั้นนั้น อันนั้น...น่าจะออกไปทาง เลอะเทอะ คิดเอง เออเอง ไปตามมโน ตามจินตนาการในเชิงลบของตัวเองซะมากกว่า...
--------------------------------------------------
เอาเป็นว่า...ในเมื่อมันใกล้จะปิดฉาก ปิดกล่อง ใกล้จะถึงช่วงชุลมุน มันย่อมต้องมีฝุ่นคลุ้งขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา ในจังหวะเช่นนี้ มันจึงย่อมต้องอาศัยความอดกลั้น
อดทน และความ หนักแน่น อย่างถึงที่สุด ในการแยกแยะพิจารณาสถานการณ์ไปเป็นเปลาะๆ อย่างที่บอกเอาไว้แล้วว่า คำว่า สถานการณ์ อันย่อมต้องมีเรื่องของห้วงระยะ
ห้วงเวลา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอๆ มันจึงเป็นสิ่งซึ่งสามารถ เปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางใดๆ ก็ได้ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากวันนี้ พรุ่งนี้ เกิดดาวหางชื่ออะไรก็ไม่รู้ พุ่งมา
ชนโลกเอาดื้อๆ หรือปักหัวตรงดิ่งมาที่ประเทศไทยกันโดยเฉพาะ มันคงไม่ต้องมาเสียเวลาพูดกันถึงเรื่องมาตราโน้น มาตรานี้ เรื่องความเป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตย
อะไรให้มากเรื่อง มากความ ถ้าหากยังไม่ตายห่ากันไปหมด ถึงจังหวะนั้น...ใครก็ได้ย่อมสามารถตั้งตน ดำรงตน เป็นชุมชนธิปัตย์ หรือรัฏฐาธิปัตย์ ไปตามแบบฉบับของใคร-
ของมันกันเอาเอง...
--------------------------------------------------------
ทางออก หรือทางไปใดๆ ก็ตาม...มันจึงต้องมีความเกี่ยวข้อง ยึดโยง กับความเป็นไปของฉากสถานการณ์ในแต่ละห้วง แต่ละระยะอย่างมิอาจปฏิเสธได้ และที่สำคัญที่สุด...
มันยังต้องมี ปฏิสัมพันธ์ กับฝ่ายที่ไม่ต้องการจะให้ออก ให้ไป อีกด้วยต่างหาก ด้วยเหตุนี้...มันจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ ตายตัว ว่าจะต้องออกแบบไหน ไปแบบไหน ถึงจะถูกต้องที่สุด
ดีที่สุด เพราะสิ่งที่ถูกต้องที่สุด หรือดีที่สุด มันก็คือสิ่งที่ สอดคล้อง และ เหมาะสม กับความเป็นไปของสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ นั่นเอง และผู้ที่มีบทบาทในการพิจารณาว่า
อะไรมันถึงจะ สอดคล้อง และ เหมาะสม กับสถานการณ์ในห้วงระยะนั้นๆ ก็คือผู้ที่มี อำนาจ และหน้าที่โดยตรงตามตัวบทกฎหมายนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเป็นเบื้องแรก...
---------------------------------------------------------
และในเมื่อโดยครรลอง โดยวิถีทางทางกฎหมาย ได้ดำเนินมาถึงจุดที่จะต้องมีการวินิจฉัย ชี้ขาด อยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า หรือแค่อีกไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง ก็น่าจะพอรับรู้ รับทราบ
ได้แล้วว่า ฉากสถานการณ์บ้านเมืองมันจะเป็นไปเช่นไร อีกทั้งผู้ที่มี อำนาจ และ หน้าที่ ตามตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และ
ในระยะหลังก็ยังมีผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาร่วมแรง ร่วมใจ อีกแรงหนึ่ง พร้อมป่าวประกาศว่าจะยึดมั่นในตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับใน
ตัวบทกฎหมาย ปฏิเสธตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ ถ้าหากยังไม่มีกองทัพทั้งกองทัพอยู่ในมือ ไม่มีตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอาไว้หันซ้าย-
หันขวาใดๆ ก็ได้ ย่อมต้องถูกขจัดกวาดล้างไปเองโดยอัตโนมัติ...
------------------------------------------------------------
ถึงจะพยายามไปจัดตั้งกองทัพส่วนตัว หรือตั้งผู้บัญชาการตำรวจ สปป.ล้านนาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า สุดท้ายก็ต้องวัดตัดสินกันนั่นแหละว่า ระหว่าง สากกะเบือ กับ เรือรบ
อะไรจะมีอานุภาพมากกว่ากัน และนั่นย่อมทำให้ฉาก สถานการณ์ต่างๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่สำหรับฉาก สถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในทุกวันนี้...จึงไม่น่า
จะมีอะไรที่ต้องไปปวดหัว เวียนเฮด โดยใช่เหตุ เพราะหลังจากนั้นมันจะใช้ กรรมวิธี ใดๆ ก็คงไม่แปลก เพราะย่อมต้องเป็นอะไรที่สอดคล้อง เหมาะสม กับสถานการณ์ที่
ไม่มีรัฐบาล ไปด้วยกันทั้งสิ้น จะอาศัยกฎหมาย หรือประเพณี ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ด้วยกันทั้งนั้น ปล่อยให้พวก นักเทคนิค เค้าไปประดิษฐ์ คิดค้น กันในรายละเอียดน่า
จะสบายใจกว่าเป็นไหนๆ...
------------------------------------------------------------
ที่สำคัญที่สุดก็คือ...ไม่ต้องเสียเวลามาเถียง มาทะเลาะระหว่างกันและกัน ทั้งๆ ที่สถานการณ์ที่เป็นจริงมันยังไม่ได้เกิดขึ้น อุบัติขึ้นมาให้เห็นแบบจะจะ จังๆ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งระหว่างคนที่มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองด้วยกันทั้งสิ้น เวลาต้องหันมากัดกันเอง ตำหนิกันเองนั้น มันออกจะเป็นอะไรที่ น่าเกลียด กว่าคนปกติธรรมดา
โดยทั่วไป ใจเย็ลล์ล์ล์ๆ หายใจยาวว์ว์ว์ๆ เพิ่มความอดทน อดกลั้น และโดยเฉพาะความหนักแน่นให้มากๆ เข้าไว้ ยิ่งต้องรับบทหนักยิ่งต้องหาทาง ลดอัตตา ให้เหลือน้อย
ที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ มันถึงจะได้ชื่อว่า ของจริง-ของแท้ ที่มิอาจลอกเลียนแบบได้โดยเด็ดขาด...
--------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Henry Kissinger... “The great tragedies of history occur not when right confronts wrong but when two rights confront each other
.- โศกนาฏกรรมสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกเผชิญหน้ากับฝ่ายผิด แต่เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายถูกสองฝ่ายประจัญกัน...”.
*เอามาให้อ่านจาก นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์"ท่านขุนน้อย" เรื่อง หนักแน่นเข้าไว้
อยากจะย้ำให้พวกเรารู้ว่า สื่อไหนกันแน่ที่เป็นมิตรแท้ของมวลมหาประชาชน
สื่อไหนที่เป็นมิตรเทียมของมวลมหาประชาชน หวังว่าคงตัดสินได้