ตั้งแต่ระบอบทักษิณ เข้าอุปถัมภ์ตำรวจได้หมดตั้งแต่หัวยันหาง บรรดาเจ้าพ่อที่ทำ
ธุรกิจสีดำ สีเทา ทั้งหลายแหล่ก็ถูกบีบ ถูกเคล้น ให้มาสยบอยู่ใต้อุ้งตีนทักษิณแต่เพียง
ผู้เดียว ชูวิทย์ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น เพราะก่อนมาเล่นการเมือง ชูวิทย์ก็เคยเป็นผู้
อุปถัมภ์ตำรวจรายหนึ่งเหมือนกัน มีการสร้างป้อมให้ตำรวจอยู่ ติดนามสกุลตนเอง
ตัวเบ้อเริ่มไว้เป็นหลักฐาน
ชูวิทย์ขัดแย้งกับตำรวจจนเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ น่าจะมีสาเหตุ
มาจากถูกบีบถูกเคล้นนี่แหละ และน่าจะถูกตามรังควาญตลอดมา อาจเป็นเหตุให้ต้อง
ตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันการถูกรังควาญ
เมื่อเข้าสู่การเมืองได้แล้ว ก็น่าจะคิดตีเมืองขึ้นคืน โดยใช้วิธี แฉ ตำรวจโดยเฉพาะ
เรื่อง บ่อน ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องที่ชูวิทย์เอามาแฉนั้น ใคร ๆ เขาก็รู้ทั้งนั้น เพียงแต่
ว่า รู้แล้วไม่รู้จะทำยังไง ผิดกับชูวิทย์ที่อาศัยความเป็นนักการเมือง แฉ ออกมาให้
เป็นข่าว พร้อมโชว์ความเป็นนักปราบปรามทุจริตของตนเองไปด้วย จึงไม่น่าแปลก
ที่เรื่องที่ชูวิทย์ แฉ ออกมา จะเกี่ยวข้องกับตำรวจซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่มันน่าแปลก
ก็คือ ทำไม แฉ แล้วเงียบ แฉ แล้วหาย
เหตุผลประการหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะ ต้องการแค่ แฉ เพื่อเป็นการปรามลักษณะว่า
"รู้นะโว้ย อย่ามายุ่งอะไรกับข้ามากนะโว้ย ยุ่งมาก ๆ เดี๋ยว พ่อด แฉ ดะ"
การ แฉ ครั้งใหญ่ก็น่าจะเป็นเรื่อง โรงพัก นั่นแหละ เพราะงานนี้ ชูวิทย์ มองว่าตำรวจ
คือจำเลย แต่บังเอิญมันผิดแผนเพราะ เป็ดเหลิม เฟอะฟะ เข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ เห็นว่า
เป็นเรื่องสมัย ปชป ก็หลับหูหลับตาคว้าไปเล่นเป็นประเด็นทางการเมืองทันที โดยสั่ง
สมุนคู่ใจ ธาริต เดินหน้าเต็มที่ กะเอา ปชป ให้อยู่หมัด
ธาริตก็ไวทายาท ระดมแด๊นเซอร์ ออกเดินสายสอบตำรวจหาหลักฐานทันที แต่ยิ่งสอบ
ดูเหมือนหลักฐานมันจะเบนไปหาตำรวจเรื่อย ๆ จึงต้องเปลี่ยนเป้าไปเป็นผู้รับเหมาแทน
จนชูวิทย์ต้องออกมาโวยวายว่าน่าจะมีการเบี่ยงเบนประเด็น ซึ่งธาริตก็สวนกลับทันทีด้วย
ความอาจหาญว่า ไม่ว่าสอบถึงใครก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น ร้อนถึง ผบ ตร ต้องออกมากระแอม
ผ่านสื่อว่า เฮ้ย ทำอะไรให้เกียรติกันบ้างนะโว้ย ธาริตถึงกับสะดุ้ง รีบปิดปากปิดคดี สั่งฟ้อง
ผู้รับเหมาไปเลย
ผมมองว่า เรื่อง แฉ ของชูวิทย์ นั้น เป็นเรื่องระหว่างตัวเขากับตำรวจซะส่วนใหญ่และเป็นการ
แฉ ในลักษณะ ปราม ไม่ใช่แฉเพื่อเอาเรื่องเอาราวอะไร
เรื่อง ชูวิทย์ กับ กปปส และ ปชป ถ้าเราสังเกตุดูจะเห็นว่าในช่วงแรก ๆ ที่ กปปส ชุมนุม ชูวิทย์
จะเขียนในเฟซบุ๊ค ลักษณะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เขียนตำหนิอะไรมากมาย ซึ่งพอเข้าใจได้ว่า
ชูวิทย์เข้ามาสู่การเมืองเพราะหวังความเป็น สส ในการคุ้มครองตนเอง ย่อมไม่เห็นด้วยกับ กปปส
แน่นอน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีพฤติกรรมเหมือนเหยียบเรือสองแคม เพราะไม่เห็นด้วยกับการ
กระทำ แต่กลับไปร่วมด้วยในระยะแรก ๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า เพราะเขามองว่ามันมีมวลชนจำนวนมาก
นั่นแหละ
ปัญหามันก็เลยเกิด เพราะมวลชนจำนวนหนึ่งไม่พอใจในพฤติกรรมเหยียบเรือสองแคมของเขา มองว่า
ชูวิทย์เป็นพวกตีกินมวลชน จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น และก็บานปลายมาจนถึงการกล่าวหากัน
อย่างเป็นเรื่องเป็นราวทางเฟซบุ๊คของเขาอยู่ในปัจจุบัน
ประเด็นนี้ ผมมองว่า มันเป็นเรื่องการชิงมวลชนของนักเลือกตั้งอย่างชูวิทย์มากกว่า เพราะถ้ามวลชนมองเขา
ในแง่ไม่ดี เลือกตั้งคราวหน้าอาจ วืด การจะไปบอกมวลชนว่าเขาเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรี ก็คงไม่มีใครอยากฟัง
สู้เตะตัดขา กำนัน กับ ปชป ซึ่งถือว่าเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ในการเลือกตั้งไปเรื่อย ๆ ดีกว่า พฤติกรรมคล้าย ๆ สนธิ
แหละครับ ต่างกันตรง สนธิ เตะตัดขา เพื่อให้มวลชนกลับไปเชื่อเขา แต่ ชูวิทย์ เตะตัดขาเพื่อให้มวลชนกลับไป
เลือกเขา