อ่านไป อ่านมา ทำให้รู้ว่า
กฏอัยการศึกนั้น สำคัญฉะนี้...
“ไพศาล” แนะทหารทำความเข้าใจจิตวิญญาณของกฎอัยการศึก
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อเช้าวันนี้ แนะนำทหารให้ทำความเข้าใจจิตวิญญาณของกฎอัยการศึกให้ถ่องแท้ก็จะสามารถก่อเกิดอานุภาพที่อริราชศัตรูไม่สามารถต้านทานได้ ชี้นี่คืออาวุธวิเศษที่องค์พระสยามินทร์ได้พระราชทานไว้ให้ทหารเป็นการเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ปราศจากภัย และบังเกิดความเรียบร้อย
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าเป็นเวลานานมาแล้วที่ทหารมิได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยอาศัยอำนาจของทหาร และเมื่อ 2-3 วันก่อนผู้บัญชาการทหารบกก็ได้ออกคำแถลงการณ์ซึ่งมีนัยยะเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของฝ่ายทหาร นั่นคือกฎอัยการศึก จึงเป็นเรื่องที่ทั่วทั้งกองทัพและประชาชนทั่วประเทศจะได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าพอที่จะอธิบายเรื่องกฎอัยการศึกโดยสังเขป เพื่อให้เป็นทางแห่งความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ดังต่อไปนี้ประการแรก จะต้องเข้าใจถึงจิตวิญญาณของกฎอัยการศึก ว่าทำไมจึงต้องมีกฎอัยการศึก ซึ่งปรากฏอยู่ในพระราชปรารภในพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ว่ากฎอัยการศึกซึ่งประกาศใช้มาแต่เดิมนั้น “ยังหาตรงกับระเบียบพิชัยสงคราม อันต้องการของความเรียบร้อย ปราศจากภัย ซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือเกิดขึ้นจากภายในได้โดยสะดวกไม่” นี่คือเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของกฎอัยการศึก คือ เพื่อให้อำนาจแก่ฝ่ายทหารในการปฏิบัติการทั้งปวงให้ตรงตามระเบียบพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหาร เพื่อให้บังเกิดความเรียบร้อย ปราศจากภัย ทั้งที่จะมีมาจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร ดังนั้นเมื่อใดที่บ้านเมืองไม่เรียบร้อยหรือมีภัยที่เกิดขึ้นจากภายในและภายนอกราชอาณาจักร ทหารจึงต้องสวมจิตวิญญาณของกฎอัยการศึกที่ได้รับพระราชทานนั้น
ประการที่สอง ทหารจะต้องตระหนักว่ากฎอัยการศึกเป็นพระราชอำนาจพิเศษที่พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ทหาร เพื่อทำให้บ้านเมืองมีความเรียบร้อยและปราศจากภัย ไม่ว่าจะเกิดจากภัยในหรือภายนอก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่องค์พระสยามเทวาธิราช องค์พระสยามินทร์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยพระราชทานแก่ทหารในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยราชอาณาจักรและประชาราษฎรทั้งมวล เป็นอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตยในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายปกป้องคุ้มครองรัฐและประชาชน หากไม่มีรัฐและประชาชนก็ไม่มีรัฐธรรมนูญ ทหารจึงต้องเข้าใจภารกิจอันใหญ่หลวงที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยนั้นประการที่สาม ผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกมีอยู่สองระดับ คือ
ก) ระดับรัฐบาล ตามมาตรา 2 ซึ่งพระมหากษัตริย์จะมีพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึก โดยนายกรัฐมนตรีต้องลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในความเป็นจริงนั้นจะกระทำได้ก็แต่โดยการเสนอและการปฏิบัติโดยกองทัพและทหาร หากนักการเมืองดำเนินการเองโดยฝ่ายทหารไม่เห็นชอบด้วย ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติใด ๆข) ระดับผู้บัญชาการทหาร ที่มีกำลังอยู่ในบังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกได้เฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้น และเมื่อประกาศแล้วต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด การใช้อำนาจดังกล่าวนี้จะมีเงื่อนไขสองประการคือ มีสงครามเกิดขึ้น หรือมีการจลาจลเกิดขึ้น
สงครามคือการใช้อาวุธสงครามทำให้เกิดความไม่เรียบร้อยหรือความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ใดในพื้นที่หนึ่งการจลาจลคือความปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีระเบียบ
การที่มีกองกำลังติดอาวุธ ฝึกกองกำลังและฝึกอาวุธ ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มสังหารและทำร้ายประชาชนอย่างต่อเนื่องจนล้มตายถึง 25 คน บาดเจ็บ 807 คน ยิ่งกว่าการเป็นจลาจลไปแล้ว และมันได้ก้าวไปถึงประตูแห่งสงครามไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายทหาร ตามที่ได้รับพระราชทานพระราชอำนาจนั้นประการที่สี่ เมื่อได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว รัฐบาลหรือนักการเมืองใด ๆ ไม่สามารถยกเลิกได้โดยลำพัง เพราะพระมหากษัตริย์ทรงสงวนพระราชอำนาจนี้ไว้ว่ากฎอัยการศึกนั้นไม่ว่าจะประกาศใช้โดยรัฐบาลหรือโดยเหล่าทหารจะไม่มีใครสามารถยกเลิกได้ เป็นเอกสิทธิ์อันเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นฝ่ายทหารจะต้องเป็นผู้ถวายความคิดเห็นเป็นเบื้องต้นหรือพื้นฐานว่า กรณีความไม่เรียบร้อยและความไม่ปลอดภัยได้สิ้นสุดลง สมควรที่จะต้องยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกดังนี้ จึงจะมีพระบรมราชโองการให้ยกเลิก
ประการที่ห้า เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว ฝ่ายทหารย่อมมีอำนาจทั้งปวงตามระเบียบพิชัยสงคราม ซึ่งในปัจจุบันนี้หมายถึงมีอำนาจหน้าที่ทั้งปวง ทั้งในทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กลยุทธ์ ยุทธการ การยุทธ์ และการรบ ตามแบบแผนของทหารโดยปราศจากข้อจำกัดและอำนาจนี้อยู่เหนืออำนาจฝ่ายพลเรือนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ตำรวจ หรือข้าราชการใด ๆ จะต้องปฏิบัติตามที่ฝ่ายทหารต้องการ และอำนาจนี้ยังขยายไปถึงการยึด การอายัด การทำลาย การกำจัดกวาดล้าง การควบคุมคุมขัง การปิดการสื่อสาร หรือการทำลายกองกำลังใด ๆ ด้วยแสนยานุภาพประการที่หก การใช้อำนาจของฝ่ายทหารได้รับความคุ้มครองที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา และผู้ใดจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายใด ๆ ไม่ได้
ประการที่เจ็ด ศาลทั้งหลายยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป เว้นแต่คดีบางประเภทที่จะต้องขึ้นศาลทหาร ตามบัญชีต่อท้ายกฎอัยการศึกวันนี้นักการเมืองตั้งตนเป็นอริราชศัตรู ข้าราชการบางพวกสมคบยอมเป็นเครื่องมือของอริราชศัตรู มีการก่อตั้งขบวนการอั้งยี่เพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรตั้งกองกำลังอาวุธ ใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าสังหารทำร้ายทั้งทหารและประชาชน ข่มขู่คุกคามผู้คนโดยทั่วไป เป็นเหตุการณ์ที่เกิดความไม่เรียบร้อย และความไม่ปลอดภัยขึ้นในราชอาณาจักรโดยทั่วไปแล้ว สถานการณ์เลยขั้นจลาจลไปสู่ขั้นสงคราม เช่นเดียวกับสงครามที่เกิดขึ้นในอิรัก ซีเรียในปัจจุบันนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงเฝ้าติดตามว่าความไม่เรียบร้อยและภัยอันตรายที่เกิดขึ้นนี้ยังจะดำเนินต่อไป หรือว่าจะถูกกำราบปราบปรามด้วยอำนาจแห่งกฎอัยการศึก.
http://www.paisalvis...7-03-12-14.html
คิดเห็นกันเช่นไร เชิญได้ครับ...
สำหรับผม ไหนๆถ้าจะประกาศใช้แล้ว
ยังไงเสีย ก็อย่าให้เสียของเหมือนก่อนๆแล้วกัน...
เสียดายงบ เสียดายเงิน เสียดายเวลา แบบว่า
สุดท้าย ทหารเองกลับแทบเอาตัวไม่รอด...
ขอบพระคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
Edited by Suraphan07, 17 May 2014 - 15:01.