วันนี้(17 พ.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “คำนูณ สิทธิสมาน” ในหัวข้อ “การตัดสินใจในฐานะสมาชิกวุฒิสภา” มีใจความสรุปได้ว่า กรณีการเรียกร้องให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยเร็ว แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับวินิจฉัยว่าจะต้องกระทำอย่างไรต่อไป แต่ก็เป็นที่ปรากฎชัดเจนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 วรรคสองว่าจะต้องมีการดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ทันที โดยให้ดำเนินการตามมาตรา 172 โดยอนุโลม
แต่ปัญหาก็คือขณะนี้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ที่จะดำเนินกระบวนการตามมาตรา 172 และสถานการณ์ล่าสุด ณ วันนี้ แนวโน้มที่จะมีสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วยังไม่เห็น เพราะยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2556 เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะตราขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะ กกต.ยังคงมีความเห็นทางกฎหมายแตกต่างกับรัฐบาลใน 2 ประเด็นสำคัญ
สถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าทำให้วุฒิสภาไม่อาจนิ่งดูดายได้ จึงต้องเปิดประชุมเพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมีกระบวนการรับฟังความเห็นและขัอเสนอแนะจากทุกฝ่ายอย่างกว้างขวาง หนึ่งในข้อเสนอคือขอให้วุฒิสภาดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว โดยอาศัยความในรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่น ๆ วุฒิสภาซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยและเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรเดียวที่เหลืออยู่ย่อมสามารถเข้ามาดำเนินการเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ ซึ่งเป็นวิธีการภายในกรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับ และไม่ตัองตามพระราชกระแสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549
แต่แน่นอนว่าลักษณะพิเศษของสถานการณ์ปัจจุบันมี 'ข้อย้อนแย้ง' ที่มีน้ำหนักต่อการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของวุฒิสภาด้วยเช่นกัน ประเด็นย้อนแย้งที่นำมาใคร่ครวญสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงข้อกฎหมาย หากแต่เป็นความเป็นจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดที่ว่าหากวุฒิสภาดำเนินการให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองประกอบมาตรา 172 กระบวนการนี้ไม่ได้จบอยู่ที่วุฒิสภา หากแต่อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์
ถึงแม้จะไม่ใช่การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีกรอบรัฐธรรมนูญรองรับและไม่ต้องตามพระราชกระแส แต่ในท่ามกลางความขัดแย้งที่มีประชาชนแตกแยกทางความคิดเป็น 2 ขั้วใหญ่ โดยขั้วหนึ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวต่อการกระทำหน้าที่ของวุฒิสภา การนำรายชื่อผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งในขณะที่เงื่อนไขยังไม่สมบูรณ์พรัอม คือยังไม่มีการเปิดทางยินยอมพรัอมใจลาออกจากรัฐมนตรีทั้ง 25 คนที่ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 และ/หรือการเลือกตั้งทั่วไปยังคงอยู่ในขั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ จะเป็นการสร้างความลำบากพระทัยอย่างยิ่งต่อองค์พระประมุขที่จะต้องทรงตัดสิน
กล่าวโดยสรุป แม้โดยหลักการแล้วจะเห็นว่า วุฒิสภาสามารถดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามมาตรา 180 วรรคสองได้ โดยอาศัยช่องทางตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 3 มาตรา 122 และมาตราอื่น ๆ ก็ตาม แต่คำถามสำคัญคือจะกระทำได้ทันทีหรือไม่ ตัองเลือกระหว่าง 2 คำตอบ คำตอบที่หนึ่ง - ตัองดำเนินการโดยทันที ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจปล่อยให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ ตัองตัดสินใจวันนี้ ไม่อาจรอไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ความหวัง
คำตอบที่สอง - ดำเนินการเมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ ด้วยเหตุผลที่จะไม่อาจยอมให้เกิดเป็นปัจจัยสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่นัอย แม้บ้านเมืองอาจจะเกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าจะเกิดเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์ แต่เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อยในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชาติบ้านเมืองในอนาคตอันใกล้มากกว่ามากนัก เงื่อนไขสถานการณ์ที่สมบูรณ์คือ เงื่อนไขที่หนึ่ง - มีการเปิดทางจาก 24 รัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อตามมาตรา 181 ยินยอมพรัอมใจลาออก เงื่อนไขที่สอง - หนทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปเป็นไปไม่ได้โดยสมบูรณ์
การตัดสินใจของสมาชิกวุฒิสภาไม่ใช่เรื่องของความกล้าหาญ หรือความขลาดเขลา ไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชอบ หรือไม่รับผิดชอบ หากเป็นเรื่องของการตัดสินใจชั่งน้ำหนักความเสียหายของบ้านเมือง เมื่อได้ไตร่ตรอง และปรึกษาหารือรอบด้านแล้ว เห็นว่าคำตอบใดเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่ต้องกระทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ก็ต้องเลือกคำตอบนั้น และต้องเดินหน้าไป โดยอาศัยความสุจริตเป็นที่ตั้ง
หลังการตัดสินใจของวุฒิสภาเมื่อวานนี้ วุฒิสภายังคงเดินหน้าทำงานต่อไป เมื่อเงื่อนไขสถานการณ์สมบูรณ์และ/หรือมีปัจจัยแปรเปลี่ยนมีเงื่อนไขสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้น วุฒิสภาต้องตัดสินใจอีกครั้ง
http://www.isranews....m/29482-ew.html
.........................................................................................................
บทความนี้เป็นของผู้จัดการออนไลน์ แต่นำมาลงในสำนักข่าวอิศรา
อ่านจากเหตุและผลของ วุฒิสภา ก็น่าเชื่อว่ามีความจำเป็นที่น่าเห็นใจ ทั้งในแง่กฎหมายและสถาบัน ซึ่งมีความกังวลว่า อาจมีการนำไปใช้
ในอนาคตด้วยข้ออ้างว่าเคยมีการกระทำมาก่อน โดยยังหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะยอม เสียสละ เพื่อประเทศชาติบ้างแม้จะเป็นความหวัง
ที่ริบหรี่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเมื่อไม่ได้ผลเชื่อว่า วุฒิสภาก็ต้องยอมตัดสินใจเลือกกระทำสิ่งที่จะให้บ้านเมืองเดินหน้าให้ได้ต่อไป