Jump to content


Photo
- - - - -

แนวทาง ปฎิรูป สำนักงานอัยการสูงสุด


  • Please log in to reply
2 ความเห็นในกระทู้นี้

#1 คนไทยคนหนึ่ง

คนไทยคนหนึ่ง

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 2,626 posts

ตอบ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 07:00

แนวทางการปฏิรูปสำนักงานอัยการสูงสุด
โดย สิริอัญญา 
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557

หลายปีที่ผ่านมานี้ คนไทยชอกช้ำใจกับข่าวคราวในเชิงลบของพนักงานอัยการ ที่ได้ออกสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับการกระทำที่คนไทยรู้สึกว่าสวนทางกับความยุติธรรมอย่างร้ายแรงหลายครั้ง 

กระทั่งเห็นว่าเป็น อุปสรรคต่อการอำนวยความยุติธรรมและการปราบปรามการทุจริต ที่มักจะมีข่าวคราวว่าการดำเนินคดีอาญาของ ป.ป.ช. จะเกิดความขัดแย้งจากทางพนักงานอัยการและสูญเสียเวลาไปเป็นอันมาก กระทั่ง ป.ป.ช.ต้องฟ้องคดีเอง และหลายคดี ป.ป.ช.ก็เป็นฝ่ายชนะคดี โดยที่ผู้เกี่ยวข้องในการไม่ยอมฟ้องคดีไม่เคยต้องรับผิดชอบใด ๆ เลย

กระทั่งมีการ
ใช้อำนาจถอนฟ้องคดีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว เพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้นักการเมือง มีการสั่งไม่ฎีกาในคดีที่มีปกติต้องฎีกา เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง รวมทั้งการเข้าไปเป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และในที่สุดก็เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่รัฐวิสาหกิจหลายครั้ง 

เหล่านี้เป็นความชอกช้ำระกำใจที่คนไทยต้องการเห็นการปฏิรูปสำนักงานอัยการสูงสุด 

ยิ่งล่าสุดนี้พฤติกรรมของอดีตอัยการสูงสุดที่ให้คำตอบต่อฝ่ายทหารว่า นาทีนี้ไม่ลาออก และก่อนหน้านั้นเล็กน้อยที่แสดงท่าทีอันส่อว่าจะกระทบต่อพระมหากษัตริย์ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างยิ่ง 

เพราะคำพูดสุดท้ายของอดีตอัยการสูงสุดที่รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า มีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับระบอบทักษิณ จึงทำให้เกิดคำพูดแรกสุดของฝ่ายทหารคือ ถ้าอย่างนี้ผมยึดอำนาจ และเกิดการรัฐประหารครั้งที่ 13 ขึ้นดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ 

เราจะปฏิรูปสำนักงานอัยการสูงสุดกันอย่างไร? จะต้องรู้จักฐานะและภูมิหลังของหน่วยงานนี้เสียก่อน 

ข้อแรก แต่ก่อนหน้านี้พนักงานอัยการทั้งหลายสังกัดอยู่ในกรมอัยการ ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกรมในกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่เป็นทนายแผ่นดินในการฟ้องคดีอาญาผู้กระทำผิดตามกฎหมาย ที่กระทบต่อรัฐและว่าต่างแก้ต่างให้กับหน่วยราชการหรือส่วนราชการที่เป็นคดีความ 

ฐานะของ
กรมอัยการคือกลไกหนึ่งของรัฐบาลในการฟ้องผู้กระทำความผิดต่อศาล และในการเป็นทนายความว่าต่างแก้ต่างให้ส่วนราชการและข้าราชการ ฐานะดังกล่าวจึงเป็นฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาล ไม่ใช่องค์กรอิสระที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ได้ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 

นับตั้งแต่ประเทศไทยมีระบบกฎหมายขึ้นใช้บังคับเป็นต้นมา กรมอัยการและฐานะของพนักงานอัยการเป็นดั่งนี้ กระบวนการยุติธรรมขั้นกลางที่ต่อเนื่องมาจากตำรวจคือพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น จึงเป็นองค์กรหรือเครื่องมือของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ฐานะที่เป็นอิสระ และได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา 

ต่อมาก็มีความพยายามที่จะยกฐานะของอัยการให้ทัดเทียมหรือเสมอกับฝ่ายตุลาการ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนละเรื่องคนละราว เพราะฝ่ายตุลาการนั้นเป็นอำนาจตุลาการ เป็นอธิปไตยหนึ่งทัดเทียมกับอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ แต่หน่วยงานระดับกรมอย่างอัยการกลับใฝ่ฝันที่จะมีฐานะองค์กรและฐานะของบุคลากรเสมอด้วยสถาบันตุลาการ 

ความพยายามดังกล่าวไม่สามารถฝ่าฝืนหลักการที่
อัยการคือกลไกหรือเครื่องมือของฝ่ายบริหาร และไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับสถาบันตุลาการได้ ยกเว้นเฉพาะด้านเงินเดือนก็ได้มีการเคลื่อนไหวรณรงค์จนกระทั่งบุคลากรของอัยการมีฐานะและเงินเดือนทัดเทียมกับฝ่ายตุลาการ 

เริ่มมีความแปลกเปลี่ยนเกิดขึ้นจากการวิ่งเต้นเข้าหานักการเมือง ยอมตนเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของนักการเมืองเพื่อผลักดันให้อัยการมีฐานะทัดเทียมกับอำนาจตุลาการ และในที่สุดความแปรเปลี่ยนนั้นก็เป็นผลให้นักการเมืองแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเข้าไปเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยอ้างว่าเพื่อช่วยดูแลทางด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องเพราะหากเป็นปัญหาทางกฎหมาย
หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ต้องปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ใช่อัยการ 

ทำให้บางครั้งอัยการมีบทบาทกลายเป็นที่ปรึกษาแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปเลยก็มี การเข้าไปเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและเกิดความเสียหายขึ้น และเมื่อมีคดีความเกิดขึ้นก็มีการเอื้อประโยชน์หรือดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ทำให้เสื่อมเสียต่อผลประโยชน์แห่งรัฐ 

แต่ครั้งหนึ่งเมื่อมีการปฏิวัติเกิดขึ้น ผู้นำของอัยการคนหนึ่งมีบทบาทในการร่างประกาศคณะปฏิวัติ จึงได้ฉวยโอกาสนั้นก่อการเคลื่อนไหวเรื่อยมา เป็นผลให้มีการแยกอัยการออกจากกระทรวงมหาดไทย ตั้งเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด และผู้บริหารสูงสุดก็คืออัยการสูงสุด ทำนองเดียวกับประธานศาลฎีกา หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายทหาร

และเมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญในระยะหลัง ก็ได้มีการตราให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรอิสระ และได้ก่อให้เกิดความรู้สึกที่เจ็บช้ำน้ำใจ จนก่อเกิดเป็นกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปขึ้น


ประเทศนี้ไม่สามารถปล่อยให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นอย่างนี้ต่อไปได้ แล้วจะปฏิรูปกันอย่างไร? 

ประการแรก จะต้องกลับสู่สถานะเดิม คือเป็นกลไกหนึ่งของรัฐ ดังที่เป็นมาแต่เดิม ไม่ใช่เป็นองค์กรอิสระที่จะฟ้องใครหรือไม่ฟ้องใคร หรือจะถอนฟ้องใครอย่างไรก็ได้ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นั่นคือต้องตรากฎหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานระดับทบวงในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดย ให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าส่วนราชการเหมือนเดิมและโครงสร้างตามเดิม ทั้งต้องไม่ตรารัฐธรรมนูญยกฐานะเป็นองค์กรอิสระอีกต่อไป

ประการที่สอง จะต้องห้ามเด็ดขาดไม่ให้พนักงานอัยการไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ในกรณีมีปัญหาทางกฎหมาย ต้องให้ไปปรึกษาหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เว้นแต่มีการประสานงานในระหว่างการดำเนินคดีกับส่วนราชการ ก็เป็นเรื่องของการประสานงานเท่านั้น เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับฝ่ายตุลาการที่ห้ามเด็ดขาดมิให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนในลักษณะนี้ และต้องไม่มีข้อยกเว้นเป็นช่องทางแล้วใช้ช่องทางนี้ก่อผลประโยชน์ทับซ้อนจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้น

ประการที่สาม จะต้องตราระเบียบการอัยการว่าด้วยการสั่งฟ้อง ว่าด้วยการดำเนินคดี ว่าด้วยการว่าต่าง แก้ต่าง ว่าด้วยการถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา ให้มีความชัดเจน และเป็นหลักปฏิบัติ ทำนองเดียวกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและวิธีพิจารณาความของสถาบันตุลาการ 

ประการที่สี่ จะต้องมีผู้ตรวจการสำนักงานอัยการสูงสุด ในสังกัดของกระทรวงยุติธรรม เพื่อทำหน้าที่ตรวจราชการและการปฏิบัติของสำนักงานอัยการสูงสุดและข้าราชการอัยการเพื่อถ่วงดุลและคานอำนาจกับคณะกรรมการอัยการ เพื่อทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปอย่างถูกต้องเที่ยงตรง 

สำนักงานอัยการสูงสุดกลายเป็นองค์กรอิสระ และเกิดผลดังที่เห็น ๆ กันอยู่ก็เพราะการปฏิวัติ ดังนั้นการกลับไปสู่สถานะเดิมเพื่ออำนวยความยุติธรรมในบ้านเมืองให้เป็นที่พึ่งของอาณาประชาราษฎรทั้งหลายก็ต้องกลับด้วยการปฏิวัติด้วยเช่นเดียวกัน!
 
 

Edited by คนไทยคนหนึ่ง, 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 07:09.

ประชาธิปไตย คือการที่ฟังเสียงส่วนน้อย แต่ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด

#2 nanase

nanase

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 541 posts

ตอบ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 08:19

ปล่อยให้เน่าอยุ่อย่างนั้นแหละครับ ถือว่า อัยการคือทนายความของรัฐบาล
สู้ตั้งหน่วยงานคู่ขนาน ไว้ฟ้องร้องรัฐบาลโดยเฉพาะ ดีกว่า และให้ขึ้นตรงกับตุลาการ
อีกหน่วยงานคือตำรวจ ก็อยากให้ตั้งหน่วยงานคู่ขนานขึ้นมาเหมือนกัน

การปฎิรูปของเน่ามันใช้เวลานานครับ ตั้งหน่วยงานตรงกันข้าม จะเร็วกว่า

#3 Bayonet

Bayonet

    ขาประจำ

  • Members
  • PipPipPip
  • 1,235 posts

ตอบ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 - 08:36

ไม่ต้องปฏิรูป   แค่เพิ่มตำแหน่ง   "อัยโกงต่ำสุด"  หรือ  "อัยกินต่ำสุด"   คู่ขนาน ....... ก็ใช้ได้ล่ะ

 

คงมีการแย่งตำแหน่งนี้กัน........ฝุ่นตลบ  -_-






ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้

สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน