ใน ตอนที่แล้วผมยกข้อมูลมาโต้แย้งคำกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นต้นเหตุ ให้น้ำท่วม ด้วยกับข้อมูลปริมาณฝนและปริมาณน้ำในเขื่อน สำหรับตอนนี้จะเป็นการพยายามหาคำตอบว่า แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดจากอะไร ทำไมปีนี้จึงเกิดอุทกภัยสาหัสกว่าทุกปี
ปัจจัยแรก-ปริมาณฝนปีนี้มากเป็นประวัติการณ์
ตั้งแต่ ชั้นประถมเราคงได้เรียนเรื่องวัฐจักรของน้ำกันมาบ้าง ในประเทศแถบนี้น้ำบนแผ่นดินที่เราเห็นๆกันอยู่ส่วนมากก็จะมาจากน้ำฝนที่ตกลง มา (ไม่เหมือนบางภูมิภาคที่น้ำมาจากการละลายของหิมะ) ดังนั้นแล้วปริมาณน้ำฝนเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดที่จะก่อให้เกิดน้ำท่วม ทีนี้เรามาทบทวนกันหน่อยดีกว่าว่าสถานการณ์ฝนในปีนี้มันเป็นอย่างไร ปริมาณน้ำ “ไม่มาก” และ “เป็นเรื่องปกติ” อย่างที่ผกร.พร่ำบอกหรือไม่
ถ้า ย้อนกลับไปดูกราฟแรกในตอนที่ ๒ จะเห็นว่าปีมีพิเศษกว่าทุกปี คือในเดือนมี.ค. ก็มีฝนตกลงมามากกว่าทุกปี มากกว่าในปีที่เคยมีน้ำท่วมใหญ่อย่างปี ๓๘ ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าปีนี้น้ำมาเร็วกว่าทุกปี และจากข้อมูลมรสุมและพายุต่างๆ ที่บันทึกไว้ ก็จะพบว่า ปีนี้มีปัจจัยทางสภาพอากาศที่พาฝนเข้าสู่ประเทศไทยมากมายเหลือเกิน ดังนี้
(สรุป จาก http://www.tmd.go.th...8%B5%202554.pdf )
๑.เดือนมิ.ย. พายุโซนร้อนไหหม่า
๒.เดือนก.ค. พายุโซนร้อนนกเตน
๓.เดือนส.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และร่องความกดอากาศต่ำ
๔.เดือนก.ย. พายุโซนร้อนไห่ถาง(เข้าถึงประเทศไทย)และพายุไต้ฝุ่นเนสาด(เข้าที่เวียดนาม)
แสดง ให้เห็นว่าทั้งพายุและมรสุมหนาแน่นมากทีเดียวปีนี้ และเมื่อไปดูกราฟน้ำฝนเฉลี่ยสะสม ก็จะถึงบางอ้อเลย ว่าทำไมปีนี้น้ำท่วมจึงรุนแรงอย่างมหาศาล (ข้อมูลจาก http://www.tmd.go.th...mate/3month.pdf )
กราฟ นี้เปรียบเทียบระหว่างปี ๕๓-๔๙-๓๘ จะเห็นว่าเส้นเขียวซึ่งเป็นตัวแทนของปีนี้ยืนเหนือเส้นกราฟของทุกปีที่กล่าว มา สรุปเป็นภาษาคนได้ว่า “ปริมาณน้ำฝนในปี ๒๕๕๔ มีมากกว่าทุกปี รวมถึงปี ๔๙ และ ๓๘ ที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในอดีต” ข้อมูล นี้ก็สอดคล้องกับข้อสรุปของกรมอุตุฯที่ว่า “ภัยพิบัติทางธรรมชาติ พ.ศ. 2554 ที่เกิดขึ้นนับได้ว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ และเมื่อเปรียบเทียบกับ ปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงเดือนกันยายน ปรากฏว่า ปริมาณฝนรวมทั้ง ประเทศสูงกว่าค่าปกติ ประมาณ 32 % ซึ่งสูงกว่าทุกปีที่เคยตรวจวัดมา” (http://www.tmd.go.th...8%B5%202554.pdf )
ถึงตรงนี้ก็น่าจะสรุปและโต้แย้งให้ผกร.ทั้งหลายได้ตาสว่าง กันแล้ว ว่าที่น้ำท่วมนั้นเพราะอะไร เพราะนายกปู เพราะปลอดประสพ หรือเพราะใคร ก็ขึ้นอยู่กับผกร.แล้วล่ะ ว่าจะกล้าเปิดใจยอมรับหรือไม่
ปัจจัยที่สอง-เขื่อนมีส่วนซ้ำเติมอุกทกภัย
ผกร.ทั้ง หลายพยายามโจมตีว่า รบ.นี้เป็นต้นตอของหายนะ เพราะจัดการกับน้ำในเขื่อนไม่ดี ทำให้น้ำในเขื่อนไหลมาสมทบกับน้ำในที่ลุ่มแม่น้ำภาคกลาง จนน้ำท่วมวิกฤตสาหัส ถ้าดูกันตามตรงก็ต้องตอบว่า “เขื่อนมีส่วนซ้ำเติมอุทกภัยจริง” เพราะในตอนที่เขื่อนทั้งสองปล่อยน้ำเต็มกำลัง จะมีน้ำไหลมาตามแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่านรวมเกือบๆ ๒๐๐ ล้านลบ.ม./วัน (เขื่อนภูมิพลปล่อยเกิน ๑๐๐ ล้าน เขื่อนสิริกิตปล่อย ๖๐ ล้าน)
แต่ ถ้าถามว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดรัฐบาลยิ่งลักษณ์มั้ย ในตอนที่แล้วผมก็ได้ตบเกรียนไปแล้วว่าไม่จริง ยิ่งถ้าเอากรอบเวลาที่ว่ารบ.แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๒๓ สิงหา มาเทียบดูปริมาณน้ำในวันนั้น จะเห็นว่าน้ำปริมาณมหาศาลได้รออยู่ก่อนแล้ว และเกือบจะถึงระดับวิกฤตของเขื่อนแล้วด้วยซ้ำ
คำถามที่ต้องตอบตรงนี้คือ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขื่อนใหญ่ๆ ทั้งสอง คือภูมิพลและสิริกิต์?
เพื่อจะตอบคำถามนั้นเราย้อนกลับไปดูสถิติการรับน้ำเข้าเขื่อนและการระบายน้ำออกกันอีกทีดีกว่าครับ
ข้างต้นคือสถิติของเขื่อนภูมิพล ต่อไปข้างล่างคือเขื่อนสิริกิต์ครับ
(ทั้งสองกราฟคัดลอกมาจาก http://www.thaiwater.../rid_lgraph.php
ซึ่ง สามารถดูข้อมูลน้ำในเขื่อนต่างๆ แบบเปรียบเทียบได้หลายปีเลยครับ แต่เสียดายที่ไม่ได้มีข้อมูลถึงปี ๓๘ ไม่งั้นน่าจะเห็นอะไรมากขึ้น)
กราฟ ที่ยกมานี้จะเปรียบเทียบข้อมูลสี่ปี คือปี ๒๕๕๑-ปีปัจจุบัน ขั้นแรกเรามาดูกันที่กราฟปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนก่อนนะครับ จะเห็นได้ว่าในช่วงต้นปีไม่ว่าปีไหนฝนจะน้อยมากๆเหมือนกัน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนพ.ค.ซึ่งเป็นฤดูฝน เส้นกราฟจะเริ่มยกตัวขึ้นแสดงว่ามีน้ำเติมเข้าเขื่อนแล้ว หากเราพิจารณาที่เส้นสีแดงซึ่งแทนปริมาณน้ำของปีนี้จะพบว่าน้ำไหลเข้าเขื่อน ทั้งสองเขื่อนมีปริมาณสูงกว่าทุกปีที่ยกมา และพอถึงเดือนก.ค.เส้นกราฟก็จะพุ่งปรี๊ดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งน่าจะเกิดจากอิทธิพลของพายุต่างๆที่ได้ยกมาในช่วงต้นแล้วนั่นเอง
ถึงตรงนี้เราก็สรุปได้ในขั้นต้นว่า ที่น้ำในเขื่อนปีนี้วิกฤตหนัก ก็เพราะน้ำไหลเข้าเขื่อนมากมโหฬารทุบสถิตินั่นเอง
(อธิบายน้ำเข้าแต่ไม่บอกน้ำออกและน้ำในเขื่อนในขณะนั้น)
แต่ อย่างไรก็ตาม พอเรามาดูกราฟการระบายน้ำบ้าง กลับจะพบความผิดปกติที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง เพราะในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.ขณะที่ปริมาณน้ำไหลเข้าสูงกว่าทุกปี แต่ปริมาณน้ำระบายออกกลับต่ำกว่าทุกปี! จึงไม่แปลกที่เมื่อดูกราฟปริมาณน้ำสะสมจะแสดงให้เห็นเส้นกราฟที่ไต่ระดับ ตั้งชันขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อ ผนวกกับปริมาณที่ไหลเข้าช่วงก.ค.-ส.ค.ที่มีปริมาณมหาศาล เขื่อนทั้งหลายก็เหมือนกับมีระเบิดเวลาติดตั้งไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นระเบิดเวลาที่จะปลดปล่อยน้ำปริมาณนับพันล้านลบ.ม. ถึงตรงนี้ยิ่งจะเป็นการย้ำคำตอบว่า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้บริหารน้ำผิดพลาด” เพราะเมื่อรบ.นี้เข้ารับตำแหน่งภายหลังแถลงนโยบาย ระเบิดเวลาลูกใหญ่สองลูกก็พร้อมจะระเบิดแล้ว รบ.มีเวลาแค่เดือนเดียวไม่มีทางทำอะไรได้แน่ (ยกเว้นแต่ว่าจะเกณฑ์คนทั้งประเทศไปแดกน้ำในเขื่อนกันคนละซัก ๑๐๐ล้าน ลบ.ม.) เมื่อถึงที่สุดก็ต้องปล่อยน้ำออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้กราฟการปล่อยน้ำวิ่งขึ้นสูงราวกับภูเขาเอเวอเรสต์
มาถึง ตรงนี้ผกร.ทั้งหลายเริ่มจะฉลาดขึ้นบ้างหรือยังครับว่า สปอตไลท์แห่งการจับผิดควรจะส่องไปที่ไหน เอ้า ถ้ายังไม่ฉลาดผมจะตอบให้ ก็ที่เดือนพ.ค.-มิ.ย.ที่ปริมาณการระบายน้ำต่ำจนน่าตกใจไงครับ แล้วถามว่าช่วงเวลานั้นใครเป็นรัฐบาลอยู่เอ่ย... แท่น แท้น นายกมาร์คสุดหล่อและรบ.ประชาธิปัตย์ผู้เป็นที่รักของผกร.ไงครับ อย่างที่ผมบอกไปในตอนที่แล้ว ว่าผกร.ต้องไปถามพี่มาร์คเองแล้วล่ะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยิ่งผกร.ด่ารบ.ปูในเรื่องนี้มากเท่าใด มันก็จะยิ่งเป็นหอกแหลมกลับไปทิ่มแทง(อดีต)รัฐบาลที่ท่านรักมากเท่านั้น เพราะวิกฤตน้ำจากเขื่อนส่วนหนึ่งก็เป็นระเบิดเวลาที่ถูกตั้งเวลามาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนรัฐบาลแล้วนั่นเอง
แต่ แต่ แต่ ครับ แต่... ผมเองมาเขียนบทความตอนนี้ไม่ใช่เพื่อจะมาด่าทั่นมาร์คหรอกครับ หลังจากพิจารณาข้อมูลต่างๆ ผมมีคำตอบของตัวเองแล้วครับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุจากอะไร ซึ่งอาจไม่ใช่จากความห่วยแตกของปชป.ก็ได้ครับ ผกร.สบายใจได้
ด้วย เกรงว่าบันทึกนี้จะยาวไป เลยขอซอยแบ่งออกเป็นสองตอนนะครับ คือตอนนี้เป็น ๓.๑ และเดี๋ยวเราจะมาหาคำตอบกันต่อไปตอนที่ ๓.๒ ว่าทำไมเขื่อนถึงไม่ปล่อยน้ำในช่วงต้นๆปี ซึ่งตอน ๓.๒ นี้จะขอลงพรุ่งนี้ครับ (จริงๆจะเอาลงเลยก็ได้ แต่อยากให้รอกันบ้างอะไรบ้าง อิอิ ***จริงๆ)
http://www.facebook....150416049947090
อ่านกันดูครับ ก็บอกไปแล้วว่า รมต.เกษตรคนเดิม ยังจะมาระเบิดเวลาจาก รบ.เดิม วิเคราะห์กราฟยังโทษฝนเหมือนเดิม อธิบายความสัมพันธ์ของ ปริมาณน้ำในเขื่อน น้ำเข้าและน้ำออก ได้ยังไงดีล่ะ.....
