น้ำเหนือ- น้ำทุ่ง "ไปลงทะเลกันดีกว่า" ที่สถานีระบายน้ำสนามบินสุวรรณภูมิ
ขณะนั่งติดตามข่าววิกฤติน้ำท่วมด้วยความเป็นห่วงคนไทยเรา และเกือบเป็น"โรคเมาข้อมูล"บริหารจัดการน้ำจากนักวิชาการอยู่นั้น
คุณเล็ก-พรเทพ เพื่อนนักดูนก ได้โทรศัพท์เข้ามาชวนผมไป
"โครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ" เพื่อตรวจตราระดับน้ำในสถานีสูบน้ำยักษ์ริมทะเลสมุทรปราการแห่งนี้
คุณเล็ก : พี่เคยไปโครงการระบายน้ำสนามบินสุวรรณภูมิ ไหมครับ
ชาลี : อ่า มันอยู่ที่ไหนหรือครับ ชื่อคุ้นๆ
คุณเล็ก : อยู่แถวบางพลีครับ ช่วงบ่ายนี้ผมว่าง เลยอยากไปดูสถานีระบายน้ำที่นี่เขามีวิธีระบายน้ำลงทะเลอย่างไร เห็นว่าเป็นโครงการระบาบน้ำที่ใหญ่มาก
ชาลี : จำได้แล้ว เมื่อตะกี้ได้ยินข่าวว่าสถานีระบายน้ำแห่งนี้ยังมีมวลน้ำ(ศัพท์สูงเชียวนะเรา) ไม่มากนัก สามารถรับน้ำเพื่อระบายลงทะเลได้อีกมาก แล้วก็มีการตั้งคำถามอะไรกันมากมาย
คุณเล็ก : ใช่ครับ พี่ไปถูกไหม
ชาลี : ผมไม่เคยไปเหมือนกัน แต่เรานัดเจอกันที่นั่นดีกว่า เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำแป๊บหนึ่ง
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ ผมก็ควบบลูพิตต้าบึ่งไปโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิทันที ก่อนไปยังไม่ลืมที่จะพึ่งพี่กรูเกิ้ลในการค้นหาเส้นทางเป้าหมายที่จะไป
นึกไม่ถึงว่า นักดู"นก" ต้องชักชวนกันมาเป็นนักดู"น้ำ" แล้วจะไอเด็นออกไหมว่า อะไรเป็น น้ำทุ่ง น้ำคลอง น้ำเหนือ น้ำกรุง น้ำป่า แต่ที่แน่ ๆ "น้ำใจ"นั้นแยกแยะออกแน่นอน
สำหรับโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี และตำบลบางปู อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ใช้ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2548 – ปี 2553 วัถตุประสงค์ที่สร้างขึ้นมานั้น หลัก ๆ เพื่อเป็นคลองระบายน้ำสายหลักของพื้นที่บริเวณโดยรอบสนามบิน โดยการเร่งระบายน้ำจากคลองสำโรงไปยังชายทะเลและสูบระบายออกสู่ทะเลโดยตรง ทำให้สามารถลดสภาวะน้ำท่วมและความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิผล และเพื่อติดตามสภาพน้ำหลากและการทำงานของเครื่องสูบน้ำในการบริหารจัดการน้ำหลากทั้งระบบลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศถึงความพยายามที่จะผันน้ำจากปทุมธานี ออกมาจากภาคตะวันออก ทางฉะเชิงเทรา นครนายก และปทุมธานี หนึ่งในเป้าหมายคือ
ผันน้ำเข้าสู่โครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเร่งระบายลงทะเล แต่ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่นัก ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด
อาจเป็นเพราะพื้นที่บริเวณสมุทรปราการมีความลาดชันสูงกว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของจังหวัดหรือเปล่าไม่ทราบ ก้อนน้ำจึงไม่ไหลงลงมาสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเล แว่ว ๆ ว่า มีความพยายามจะใช้วิธี
"กาลักน้ำ" เพื่อเคลื่อนมวลน้ำลงสู่สมุทรปราการ แต่ไม่ทราบได้ผลมากน้อยขนาดไหน
เมื่อวานนี้ ก็ได้ฟังข่าวอีก (ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมผมจึงเป็นโรคเมาข้อมูล) มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งบอกว่า
ถนนบางนา-ตราด และถนนมอเตอร์เวย์ เป็นตัวขวางกั้นมวลน้ำจากตอนเหนือของกรุงเทพฯ ไม่ให้เคลือนเข้าไปยังฝั่งตะวันออก แล้วจึงเสนอให้รื้อถนนทั้ง 2 สาย เพื่อเปิดให้ทางน้ำผ่าน
บอกตรง ๆ ว่า หากสามารถทำให้ระดับน้ำในนครสวรรค์ อยุธยา และปทุมธานี ลดลงได้ ก็รีบดำเนินการเข้าเถอะครับ แต่ต้องมั่นใจนะว่า การดำเนินการดังกล่าวจะได้ผล หาไม่แล้วก็หายนะดี ๆ นี้เอง
คลองระบายน้ำโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ยาวประมาณ 12.65 กม. เป็นคลองดินท้องคลองกว้าง 48 ม. ลึก 3.36 ม. ระบายน้ำได้สูงสุด 100 ลบ.ม./วินาที (ภาพจาก Facebook ของ Lek Pornthep Katsura)
ชาวบ้านเป็นด่านแรกในการเก็บกวาดขยะและกิ่งไม้ที่ขวางทางน้ำไหล
ทหารสังกัดหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จากสัตหีบ กำลังเก็บเศษขยะและกิ่งไม้ที่หลุดรอดมาจากด่านแรก
ต้องลงไปเก็บในน้ำกันเลยทีเดียว
กองขยะและเศษกิ่งไม้ที่เก็บได้จากน้ำ ปริมาณมากทีเดียว
ระดับน้ำที่ไหลผ่านเข้ามา ยังถือว่าต่ำกว่าระดับก่อนหน้านี้
ดูกันชัด ๆ ระดับน้ำเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2554
ตัวอาคารสะพานน้ำยกระดับ รับน้ำขึ้นมาก่อนปล่อยลงทะเล
เดินขึ้นสู่อาคารทิ้งน้ำรูปตัดตัวยู สูงชันไม่ใช่เล่น
อาคารสะพานน้ำยกระดับและอาคารทิ้งน้ำรูปตัดตัวยู ท้องคลองกว้าง 25.0 ม. สูง 3.15 ม. ยกสูง 5.0 ม. ข้ามคลองชายทะเลและถนนสุขุมวิท
หากจะไปดูจุดที่น้ำลงสู่ทะเล ต้องข้ามถนนสุขุมวิท ไปอีกฟากหนึ่ง (ภาพจาก Facebook ของ Lek Pornthep Katsura)
ความเชี่ยวกรากของสายน้ำที่ปล่อยจากสะพานน้ำยกระดับ เมื่อมองจากจุดปลายน้ำ
กระแสน้ำไหลผ่านทางระบายน้ำที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่น้ำไหลลงทะเล