"คำผกา"___ศาสนาพุทธ คือยา กล่อมประสาท - การสวดมนต์เป็นสิ่งไร้สาระ - ไม่มีศาสนาพุทธ คนไทยก็อยู่ได้ไม่ตายซะหน่อย
#51
Posted 16 March 2012 - 22:24
#52
Posted 16 March 2012 - 22:53
คำสอนของอัครสาวกตู่ เต้น กี้ คงเป็นยาบ้า
#53
Posted 16 March 2012 - 22:54
แต่จากการที่ได้ฟัง เธอพูดในรายการนี้.... ผมทราบและตระหนักได้เลยว่า
เธอเป็นผู้หญิงที่ขาด... ศรัทธาในชีวิตไปเสียแล้ว น่าสงสารผู้หญิงคนนี้มากครับ
#54
Posted 16 March 2012 - 23:09
http://topicstock.pa...6/Y8341716.html
พอมีพวกคนไม่ศาสนาและชอบเหยียดหยามศาสนา
มันทำให้ผมอดนึกถึงลัทธิจารวากไม่ได้จริง
ขออภัยย้อนหลัง สำหรับคนที่ไม่อยากได้ยินคำว่า จารวาก
Edited by Maratiraj_, 16 March 2012 - 23:11.
#55
Posted 16 March 2012 - 23:12
http://www.youtube.com/watch?v=JAhiQE5ZpiI&feature=player_embedded
http://www.youtube.c...d&v=40QL3W0lAa4
ฟังจบแล้ว ผมว่าเธอประจานตัวเองแท้ๆ เธอวิจารณ์ศาสนาพุทธ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลักสำคัญของศาสนสพุทธคืออะไร เอาศีล ๕ มาสนับสนุนความคิดตัวเอง ทั้งที่เป็นแค่หลักธรรมเบื้องต้น เธอไม่รูู้เลยว่าต่อจากศีล คือ สมาธิ ปัญญา ที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ต่างหากคือหัวใจของพุทธศาสนา เธอวิจารณ์คนอื่นเรื่องวิทยาศาสตร์ โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร อนาถจริงๆ
ถ้าเธอนั่งสนทนาในที่สาธารณะ ที่เปิดโอกาสให้คนซักถามหรือโต้เถียงได้ ผมเชื่อว่าเธอจะกลายเป็นขยะภายในห้านาที
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#56
Posted 16 March 2012 - 23:18
จารวาก ตัวแม่ เลยนะเนี่ย
http://topicstock.pa...6/Y8341716.html
พอมีพวกคนไม่ศาสนาและชอบเหยียดหยามศาสนา
มันทำให้ผมอดนึกถึงลัทธิจารวากไม่ได้จริง
ขออภัยย้อนหลัง สำหรับคนที่ไม่อยากได้ยินคำว่า จารวาก
http://www.oknation....1/03/03/entry-2
อันนี้ละเอียดกว่าครับ
#57
Posted 16 March 2012 - 23:19
จารวาก ตัวแม่ เลยนะเนี่ย
http://topicstock.pa...6/Y8341716.html
พอมีพวกคนไม่ศาสนาและชอบเหยียดหยามศาสนา
มันทำให้ผมอดนึกถึงลัทธิจารวากไม่ได้จริง
ขออภัยย้อนหลัง สำหรับคนที่ไม่อยากได้ยินคำว่า จารวาก
http://www.oknation....1/03/03/entry-2
อันนี้ละเอียดกว่าครับ
ขอบคุณมากครับ ผมกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี
มันเป็นลิทธิที่สะดุดใจผมมาตั่งแต่สมัยเรียนแล้ว
Edited by Maratiraj_, 16 March 2012 - 23:26.
#58
Posted 16 March 2012 - 23:29
เอ็งขอเป็น"ขี้ข้าโจร" ข้าเลือกเป็น"ข้าธุลีพระบาท" เอ็งขอเป็น"ไพร่" ข้าเลือกเป็น"พสกนิกร"
#59
Posted 16 March 2012 - 23:43
ถ้ามีธรรมะอยู่ในใจ ภาพอัปรีย์***เช่นนี้ คงไม่เกิดขึ้น
น้ำยาล้างตาด่วน
Edited by Jaimah20, 16 March 2012 - 23:44.
#60
Posted 17 March 2012 - 00:05
จริงของคำผกาที่มนุษย์มามาก่อนพุทธศาสนาแต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่าหลักธรรม
ของศาสนาพุทธได้มาจากพระเจ้าองค์ใหนเพียงแต่เป็นหลักที่ใช้กันมาอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ดดยเฉพาะกับสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูงมันมีกฏเกณฑ์เสมอ
เขียนเรื่องการเมือง : ดราม่า ,เขียนเรื่องสังคม : ดราม่า เขียนเรื่องบันเทิง : ดราม่า
แต่พอโพสเรื่องหื่น : มีความเห็นเป็นไปทางเดียวกันเสมอ >3<
#61
Posted 17 March 2012 - 00:14
ความจริงการที่ไม่เชื่อในศาสนา มันก็คือความเชื่ออย่างหนึ่ง คือเชื่อว่าอะไรในศาสนานั้นๆ ไม่มีจริง
เช่นเชื่อว่าไม่มีบาปกรรม เชื่อว่าไม่มีชาติหน้า แบบนี้มันก็คือความเชื่อ คือเชื่อว่าไม่มี
แต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
แต่ในทางกลับกัน ความเชื่อของคน มันคือความจริงที่ดำรงอยู่ เป็นความจริงที่ว่าทุกคนต้องมีความเชื่อ
คนเราคนหนึ่งเมื่อเทียบกับจักรวาลนี้แล้วเล็กยิ่งกว่าหนึ่งเม็ดทรายในท้องทะเล
ย่อมไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้ทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน ตรรกะการดำเนินชีวิตของคนจึงอิงอยู่บนความเชื่อของคนคนนั้น
หากใครเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ แม้สิ่งที่เชื่อนั้นจะจริงหรือไม่ หรือไม่มีทางพิสูจน์ได้
แต่ถ้าทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างปกติสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นก็ถือได้ว่าเหมาะสมแล้ว
และผมก็เชื่อว่า ความปกติสุขของโลก มีค่ามากกว่าความจริงบางสิ่งอันไร้ประโยชน์มากมายนัก
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#62
Posted 17 March 2012 - 05:56
จารวาก ตัวแม่ เลยนะเนี่ย
http://topicstock.pa...6/Y8341716.html
พอมีพวกคนไม่ศาสนาและชอบเหยียดหยามศาสนา
มันทำให้ผมอดนึกถึงลัทธิจารวากไม่ได้จริง
ขออภัยย้อนหลัง สำหรับคนที่ไม่อยากได้ยินคำว่า จารวาก
http://www.oknation....1/03/03/entry-2
อันนี้ละเอียดกว่าครับ
ขอบคุณมากครับ ผมกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี
มันเป็นลิทธิที่สะดุดใจผมมาตั่งแต่สมัยเรียนแล้ว
สรุปคือพวกนิติราด และเสื้อแดงอย่างคำผกา คือพวกจารวากกลับชาติมาเกิดน่ะเอง
ความคิดเหมือนกันเป๊ะเลย
#63
Posted 17 March 2012 - 07:05
atheist หมายถึงพวกที่ไม่เชื่อการดำรงอยู่ของพระเจ้านะครับ ซึ่งพุทธเถรวาทก็จัดอยู่ในพวกนี้ด้วยนะแต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#64
Posted 17 March 2012 - 07:57
E ควาย รกประเทศชิืบ
อ้าว...คิดว่าอยู่คอก เอ๊ย ค่ายเดียวกันซะอีก
#65
Posted 17 March 2012 - 08:12
ถ้ามีธรรมะอยู่ในใจ ภาพอัปรีย์***เช่นนี้ คงไม่เกิดขึ้น
ทำไมจุกสีชมพู?
ตัวปลอมรึเปล่า?
#67
Posted 17 March 2012 - 09:35
atheist หมายถึงพวกที่ไม่เชื่อการดำรงอยู่ของพระเจ้านะครับ ซึ่งพุทธเถรวาทก็จัดอยู่ในพวกนี้ด้วยนะ
แต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าใช้นิยามของคำว่า atheist กินความไปถึงขนาดไหน
ไม่ใช่แค่พระเจ้า สามารถกินความไปถึงการปฏิเสธในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย
เช่นเรื่องวิญญาณ เรื่องกฎแห่งกรรม
โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคนที่เป็น atheist ก็คือพวกที่ไม่มีศาสนา
เพราะถ้าเป็นพุทธก็จะเรียกตัวเองว่า buddhism ไม่ใช่ atheist
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#68
Posted 17 March 2012 - 09:40
#69
Posted 17 March 2012 - 10:18
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะใช่ครับเพราะศาสนานั้นพวกฝรั่งใช้กับความเชื่อที่นับถือพระเจ้า เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าถือว่าเป็นพวกไร้ศาสนา
atheist หมายถึงพวกที่ไม่เชื่อการดำรงอยู่ของพระเจ้านะครับ ซึ่งพุทธเถรวาทก็จัดอยู่ในพวกนี้ด้วยนะ
แต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าใช้นิยามของคำว่า atheist กินความไปถึงขนาดไหน
ไม่ใช่แค่พระเจ้า สามารถกินความไปถึงการปฏิเสธในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย
เช่นเรื่องวิญญาณ เรื่องกฎแห่งกรรม
โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคนที่เป็น atheist ก็คือพวกที่ไม่มีศาสนา
เพราะถ้าเป็นพุทธก็จะเรียกตัวเองว่า buddhism ไม่ใช่ atheist
atheist ภาษาไทยมันก็พวกอเทวนิยม อันนี้ไม่น่ายากเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วนี่ครับ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยมล่ะครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#70
Posted 17 March 2012 - 10:33
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะใช่ครับเพราะศาสนานั้นพวกฝรั่งใช้กับความเชื่อที่นับถือพระเจ้า เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าถือว่าเป็นพวกไร้ศาสนา
atheist หมายถึงพวกที่ไม่เชื่อการดำรงอยู่ของพระเจ้านะครับ ซึ่งพุทธเถรวาทก็จัดอยู่ในพวกนี้ด้วยนะ
แต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าใช้นิยามของคำว่า atheist กินความไปถึงขนาดไหน
ไม่ใช่แค่พระเจ้า สามารถกินความไปถึงการปฏิเสธในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย
เช่นเรื่องวิญญาณ เรื่องกฎแห่งกรรม
โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคนที่เป็น atheist ก็คือพวกที่ไม่มีศาสนา
เพราะถ้าเป็นพุทธก็จะเรียกตัวเองว่า buddhism ไม่ใช่ atheist
atheist ภาษาไทยมันก็พวกอเทวนิยม อันนี้ไม่น่ายากเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วนี่ครับ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยมล่ะครับ
With respect to the range of phenomena being rejected, atheism may counter anything from the existence of a deity, to the existence of any spiritual, supernatural, or transcendental concepts, such as those of Buddhism, Hinduism, Jainism and Taoism.[48]
quote มาจาก wikipedia ครับ
ถ้าแปลความตามตัวอักษร atheist อาจจะแปลว่าไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
แต่ในความเป็นจริงคนที่เป็น atheist ก็มักจะปฏิเสธสิ่งอื่นๆ ที่เหนือธรรมชาติด้วย
ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธจะใกล้เคียงกับ atheist หรือจะอ้างว่าเป็น atheist ก็ตาม (กรุณาอย่าแปลเป็นภาษาไทย)
แต่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า buddhist กับ atheist ก็เป็นคนละกลุ่มคนละพวกอย่างชัดเจน
คนพุทธไม่เรียกตัวเองว่า atheist และคนที่เป็น atheist ก็ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนพุทธ
ตรรกะความเชื่อและวิธีคิดก็เป็นคนละชุดกันอยู่ดี
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#71
Posted 17 March 2012 - 10:52
ที่คุณบอกว่ากลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า buddhist กับ atheist ก็เป็นคนละกลุ่มคนละพวกอย่างชัดเจน มันก็ประเภทเดียวกับคนคริสต์เรียกตัวเองว่า christian ไม่ได้เรียกว่า theist นั่นแหละ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะใช่ครับเพราะศาสนานั้นพวกฝรั่งใช้กับความเชื่อที่นับถือพระเจ้า เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าถือว่าเป็นพวกไร้ศาสนา
atheist หมายถึงพวกที่ไม่เชื่อการดำรงอยู่ของพระเจ้านะครับ ซึ่งพุทธเถรวาทก็จัดอยู่ในพวกนี้ด้วยนะ
แต่ประเด็นคือคนที่เชื่อแบบนี้ ที่เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า atheist
มักคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อคือความจริง และสิ่งที่คนอื่นเชื่อนั้นไม่จริง
ทำให้รู้สึกหยิ่งผยอง ว่าเป็นความเท่ ว่าข้านี้รู้แต่ความจริง และพวกนับถือศาสนาเป็นพวกงมงายล้าหลัง
ซึ่งมันไม่ใช่ สรุปมันก็คือความเชื่อทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าใช้นิยามของคำว่า atheist กินความไปถึงขนาดไหน
ไม่ใช่แค่พระเจ้า สามารถกินความไปถึงการปฏิเสธในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย
เช่นเรื่องวิญญาณ เรื่องกฎแห่งกรรม
โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงคนที่เป็น atheist ก็คือพวกที่ไม่มีศาสนา
เพราะถ้าเป็นพุทธก็จะเรียกตัวเองว่า buddhism ไม่ใช่ atheist
atheist ภาษาไทยมันก็พวกอเทวนิยม อันนี้ไม่น่ายากเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้วนี่ครับ ศาสนาพุทธเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยมล่ะครับWith respect to the range of phenomena being rejected, atheism may counter anything from the existence of a deity, to the existence of any spiritual, supernatural, or transcendental concepts, such as those of Buddhism, Hinduism, Jainism and Taoism.[48]
quote มาจาก wikipedia ครับ
ถ้าแปลความตามตัวอักษร atheist อาจจะแปลว่าไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
แต่ในความเป็นจริงคนที่เป็น atheist ก็มักจะปฏิเสธสิ่งอื่นๆ ที่เหนือธรรมชาติด้วย
ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธจะใกล้เคียงกับ atheist หรือจะอ้างว่าเป็น atheist ก็ตาม (กรุณาอย่าแปลเป็นภาษาไทย)
แต่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า buddhist กับ atheist ก็เป็นคนละกลุ่มคนละพวกอย่างชัดเจน
คนพุทธไม่เรียกตัวเองว่า atheist และคนที่เป็น atheist ก็ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนพุทธ
ตรรกะความเชื่อและวิธีคิดก็เป็นคนละชุดกันอยู่ดี
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#72
Posted 17 March 2012 - 11:04
buddhism เป็นชื่อของศาสนา
ในเมื่อศาสนาที่ตัวเองนับถือมีชื่อเรียกอยู่แล้วจะเรียกประเภทของศาสนาไปทำไม
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#73
Posted 17 March 2012 - 11:16
atheism เป็นประเภทของศาสนา
buddhism เป็นชื่อของศาสนา
ในเมื่อศาสนาที่ตัวเองนับถือมีชื่อเรียกอยู่แล้วจะเรียกประเภทของศาสนาไปทำไม
นั่นแหละครับประเด็นของผม ถ้า atheist นับถือพุทธ แล้วจะเรียกตัวเองว่า atheist ทำไม
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#74
Posted 17 March 2012 - 11:23
บางคนแปลว่า "ปฏิเสธพระเจ้า" อันนี้พุทธรวมอยู่ด้วย
บางคนแปลว่า "ไม่มีพระเจ้า" อันนี้พุทธไม่รวม เพราะว่า
พุทธยังมี "พระพรหม" "พระอินทร์" ซึ่งเป็นพระเจ้าใน "ฮินดู"
#75
Posted 17 March 2012 - 13:17
atheism อันนี้เห็นมีคนแปลหลากหลาย
บางคนแปลว่า "ปฏิเสธพระเจ้า" อันนี้พุทธรวมอยู่ด้วย
บางคนแปลว่า "ไม่มีพระเจ้า" อันนี้พุทธไม่รวม เพราะว่า
พุทธยังมี "พระพรหม" "พระอินทร์" ซึ่งเป็นพระเจ้าใน "ฮินดู"
หลัก ของพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่มีว่าไม่มี ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มีว่ามี พระเจ้า ของศาสนา อื่น มีตัวตนเป็นตัวบุคคล แต่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนาม เรียก กรรม ส่วน พระพรหม พระอินทร์ ศาสนา พุทธ ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ แต่ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ สิ่งนั้นมีอยู่ปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมี แต่อย่างไปสนใจให้ความสำคัญ ในหลักศาสนา พราหม์ฮินดู ไม่เหมือนคริสต์ หรือ อิลลาม เพราะทั้ง 2 พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง
แต่อินดู มีเทพเจ้า สูงสุด (ไม่ใช่พระเจ้า) อยู่ 3 องค์ พระพรหม ผู้สร้าง พระนาราย์ผู้รักษา และ พระอิศวร หรือพระศิวะ เป็นผู้ทำลาย
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
#76
Posted 17 March 2012 - 13:40
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
๑ ผมรู้สึกว่า "พรหม" ในศาสนาพุทธ กับ "พระพรหม" ในศาสนาพราห์มน่าจะไม่เหมือนกันนะครับ เพราะพระพรหมในศาสนาพราห์มนั้นเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุด แต่พรหมในศาสนาพุทธนั้นเหมือนเป็นภพภูมิสำหรับคนที่มีจิตสูงใช่มั้ยครับ
๒ ผมไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายครับ atheism หมายถึงไม่ว่ามีเทพเจ้าหรือพระเจ้าใช่มั้ยครับ แล้วที่ว่า atheism คืออิเล็กตรอน ส่วนศาสนาพุทธคืออะตอม นั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะที่ผมเข้าใจนั้น อะตอม ต้องมีอิเล็กตรอน อย่างนี้ atheism เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธใช่มั้ยครับ
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#77
Posted 17 March 2012 - 14:15
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
๑ ผมรู้สึกว่า "พรหม" ในศาสนาพุทธ กับ "พระพรหม" ในศาสนาพราห์มน่าจะไม่เหมือนกันนะครับ เพราะพระพรหมในศาสนาพราห์มนั้นเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุด แต่พรหมในศาสนาพุทธนั้นเหมือนเป็นภพภูมิสำหรับคนที่มีจิตสูงใช่มั้ยครับ
๒ ผมไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายครับ atheism หมายถึงไม่ว่ามีเทพเจ้าหรือพระเจ้าใช่มั้ยครับ แล้วที่ว่า atheism คืออิเล็กตรอน ส่วนศาสนาพุทธคืออะตอม นั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะที่ผมเข้าใจนั้น อะตอม ต้องมีอิเล็กตรอน อย่างนี้ atheism เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธใช่มั้ยครับ
ศาสนาพุทธ คือศาสนาที่ว่าด้วยเรื่อง ธรรม คือ ความเป็นจริงของจักรวาลนี้ รวมทั้งธาตุธรรมทั้งหลายในสากลจักรวาล อะตอมก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในจักรวาล
วิทยาศาสตร์ กล่าวว่า อะตอมคือส่วนที่เล็กที่สุด แต่ไปๆมาๆ ก็พยายามหาส่วนที่เล็กลงไปกว่านั้น ถึงได้มีโครงการ เซิร์น
แต่ความจริงแล้ว ศาสนาพุทธนี่แหละ ที่ได้บอกกล่าวไว้หมดแล้วถึงความเป็นจริงของสรรพสิ่ง พูดง่ายๆว่า ทั้งจักรวาลนี้ คือ พุทธ ครับ
#78
Posted 17 March 2012 - 14:48
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
๑ ผมรู้สึกว่า "พรหม" ในศาสนาพุทธ กับ "พระพรหม" ในศาสนาพราห์มน่าจะไม่เหมือนกันนะครับ เพราะพระพรหมในศาสนาพราห์มนั้นเป็นหนึ่งในเทพเจ้าสูงสุด แต่พรหมในศาสนาพุทธนั้นเหมือนเป็นภพภูมิสำหรับคนที่มีจิตสูงใช่มั้ยครับ
๒ ผมไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายครับ atheism หมายถึงไม่ว่ามีเทพเจ้าหรือพระเจ้าใช่มั้ยครับ แล้วที่ว่า atheism คืออิเล็กตรอน ส่วนศาสนาพุทธคืออะตอม นั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะที่ผมเข้าใจนั้น อะตอม ต้องมีอิเล็กตรอน อย่างนี้ atheism เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธใช่มั้ยครับ
ข้อ แรกเลย นะครับ ถ้าศึกษา พระพุทธศาสนา ตอนที่พระสารีบุตร โปรดมารดา ที่มารดาถามว่า ใครมาหาลูก แส่งสว่าง ยิ่งกว่าใคร
พระสารีบุตรตอบว่า นั้นท่านท้าวมหาพรหม ชึ่งเป็นอะไรจำไม่ได้ของท่านแม่ แม่ของพะสารีบุตรจึง คึดว่าแม้แต่พระสารีบุตรลูกของตนยังยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นพระพุทธเจ้าจะขนาดไหน หรือ แม้แต่ ในพุทธประวัติก็มีการกล่าวถึงท่านท้าวมหาพรหม อยู่ เหมือนกันครับ เทวดา เป็นภพภูมิใช่ไหมครับ
แล้วท้าวสักกะละเป็นใคร ผู้ที่เป็นหัวหน้าเทวดาทั้งมวลใช่ไหม แล้วพรหมล่ะจะมีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในชั้นพรหมไหม ถ้ามี ท้าวมหาพรหมล่ะ ถ้าไม่มีทำไมถึงกล่าวถึง ท้าวมหาพรหม ซึ่งท้าวมหาพรหมก็มีชื่อว่า สะวัต อะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ ทำไมไม่เรียกชื่อไปเลยเหมื่อน ผกาพรหม ที่นี้เข้าใจหรือยังครับ บุคคลที่จะขึ้นไปภพชาติพรหม ได้ต้องมีญาณด้วยครับ ทั้งรูปญาณ(พรหมมีรูป) อปรูญาณ(พรหมไม่มีรูป)ถ้าจิตใจสูงก็เทวดา ครับ
ส่วนข้อ2 ต้องขอโทษด้วยครับ ทางศาสนาพุทธ ไม่พูดถึง พระเจ้าและเทพเจ้า แต่จะพูดถึงเทวดาชั้นต่างและพรหมชั้นต่างๆ ครับ แต่ถ้าพิจราณาแล้ว จะเห็นว่า มันเหมือนกับ ภาคกลางเรียกฝรั่ง อีสานเรียกบักสีดา ฝรั่งเรียกguava สามคนมีนั่งเถียงกันว่าคำของตัวเองถูกต้อง แต่มีคนคนหนึ่งมาบอกว่าชื่ออะไรไม่สำคัญ รูปแบบนี้ เอารูปไปให้คนภาคกลางอีสานหรือฝรั่ง ดูก็รู้ว่ามันคืออะไร ถูกไหม และพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนี้เพราะคนที่เขาไม่เชื่อว่ามีอยู่ เพราะเขาไม่เห็น ก็มี เขาก็เชื่อว่าไม่มี พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอย่างอื่นให้จนสำเร็จประโยชน์
บ้างคนเชื่อว่ามี ถ้ามันมีพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่ามี ทรงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี แต่ท่านไม่ได้ให้ไปยึดกับมัน สอนในสิ่งที่เป็นประโยชน์
แล้วถ้าไอ้2 คนนี้มันมาเจอกันอะไรจะเกิดขึ้น ผมอาจจะยกตัวอย่างไม่คอยเข้าใจก็ได้ คือเชื่อว่าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร
ส่วนเชื่อว่ามีมันก็มีจริงนั้นล่ะ แต่อย่างไปยึดเพราะมันไม่มีประโยชน์ มันก็เหมือนกันที่ผมบอกล่ะครับ อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ แต่จะให้พูดยังไงล่ะ มันไม่ได้ถูกทั้งหมดแต่ก็ไม่ผิดทั้งหมด แหละครับ
#79
Posted 17 March 2012 - 14:49
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย ถ้าเราสามารถรู้เห็นกรรมดี-กรรมชั่ว ที่ตนและผู้อื่นทำขึ้นเหมือนเห็นวัตถุต่างๆ จะไม่กล้าทำบาปแต่จะกระตือรือร้นทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ ความเดือดร้อนในโลกก็จะลดน้อยลง เพราะต่างก็รักษาตัวกลัวบาปอันตราย
ท่านว่าดี-ชั่วมิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับว่าคล่องแคล่วกว่าขึ้นเป็นลำดับ
เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก อย่านำเรื่องสัตว์มาประพฤติมนุษย์เราจะต่ำกว่าสัตว์และเลวกว่าสัตว์อีกมากมายอย่าพากันทำ ให้พากันละบาปบำเพ็ญบุญทำแต่คุณความดี อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์
หนังสือประวัติของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยพระอาจารย์มหาบัว ญานสัมปันโน
Edited by ดราม่า, 17 March 2012 - 14:51.
#80
Posted 17 March 2012 - 14:50
แล้วทำไมจะต่าง ศาสนา ไม่ได้
#81
Posted 17 March 2012 - 14:55
#82
Posted 17 March 2012 - 15:24
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
Edited by ter162525, 17 March 2012 - 15:24.
#83
Posted 17 March 2012 - 15:59
นิพพานไง ชักดาบไม่จ่ายหนี้กรรมได้กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#84
Posted 17 March 2012 - 16:08
#85
Posted 17 March 2012 - 16:13
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
มั่วครับ
#86
Posted 17 March 2012 - 16:34
นิพพานไง ชักดาบไม่จ่ายหนี้กรรมได้
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
ผิดแล้วครับ ก่อนไปนิพพานก็จ่ายมาก่อนครับ แต่ได้อรหัตน์แล้วนิพพานเลยต้องใช้หรือเปล่าไม่แน่ใจไม่ถึง 5555
แต่ถ้าเป็นพระอรหัตน์อยู่ก็ใช้ หนี้ก่อน จ่ายมาซ่ะดีๆๆๆ เหมือนพระพุทธเจ้าพระโมคัลลานะ พระองคคุลลีมาร
#87
Posted 17 March 2012 - 16:55
จ่ายก็ไม่ครบ องคุลีมาลฆ่าคนไปเท่าไหร่จ่ายหนี้แค่นิดเดียวแล้วก็ชักดาบเลย ส่วนเรื่องได้อรหันต์นี่ได้แล้วยังไม่นิพพานนะ อย่างพระราหุลก็นิพพานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นิพพานไง ชักดาบไม่จ่ายหนี้กรรมได้
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
ผิดแล้วครับ ก่อนไปนิพพานก็จ่ายมาก่อนครับ แต่ได้อรหัตน์แล้วนิพพานเลยต้องใช้หรือเปล่าไม่แน่ใจไม่ถึง 5555
แต่ถ้าเป็นพระอรหัตน์อยู่ก็ใช้ หนี้ก่อน จ่ายมาซ่ะดีๆๆๆ เหมือนพระพุทธเจ้าพระโมคัลลานะ พระองคคุลลีมาร
จริง ๆ พระเจ้าเปรียบได้กับธรรมมากกว่านะ
[color=#ff0000;]สำหรับผมคงเลิกเล่นบอร์ดนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไอดีนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ใครบางคนคิดว่าเป็นตัวจริงอยู่จริง เขาก็เข้ามาใช้บอร์ดนี้ต่อเองแต่ไม่ใช่ผมแน่นอน[/color]
ลาก่อน สวัสดีครับ 17 มกราคม 2556
#88
Posted 17 March 2012 - 17:05
atheism อันนี้เห็นมีคนแปลหลากหลาย
บางคนแปลว่า "ปฏิเสธพระเจ้า" อันนี้พุทธรวมอยู่ด้วย
บางคนแปลว่า "ไม่มีพระเจ้า" อันนี้พุทธไม่รวม เพราะว่า
พุทธยังมี "พระพรหม" "พระอินทร์" ซึ่งเป็นพระเจ้าใน "ฮินดู"
หลัก ของพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่มีว่าไม่มี ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มีว่ามี พระเจ้า ของศาสนา อื่น มีตัวตนเป็นตัวบุคคล แต่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนาม เรียก กรรม ส่วน พระพรหม พระอินทร์ ศาสนา พุทธ ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ แต่ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ สิ่งนั้นมีอยู่ปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมี แต่อย่างไปสนใจให้ความสำคัญ ในหลักศาสนา พราหม์ฮินดู ไม่เหมือนคริสต์ หรือ อิลลาม เพราะทั้ง 2 พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง
แต่อินดู มีเทพเจ้า สูงสุด (ไม่ใช่พระเจ้า) อยู่ 3 องค์ พระพรหม ผู้สร้าง พระนาราย์ผู้รักษา และ พระอิศวร หรือพระศิวะ เป็นผู้ทำลาย
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
มั่วครับ "อนัตตา" ปฏิเสธ "อัตตา" ที่ไม่มีอยู่จริง
ความเชื่อของลัทธิอื่นที่ไม่ตรง เรียกว่า "เดียรถีย์"
อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง อย่าไปรับเอา ในฟังแต่
"ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เดียรถีย์ (อ่านว่า เดียระถี) แปลว่า ผู้มีลัทธิดังท่าน้ำอันเป็นที่ข้าม หรือ ข้ามน้ำผิดท่า หมายถึงนักบวชนอกศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล ที่แปลว่า "ข้ามน้ำผิดท่า"
#89
Posted 17 March 2012 - 17:11
จ่ายก็ไม่ครบ องคุลีมาลฆ่าคนไปเท่าไหร่จ่ายหนี้แค่นิดเดียวแล้วก็ชักดาบเลย ส่วนเรื่องได้อรหันต์นี่ได้แล้วยังไม่นิพพานนะ อย่างพระราหุลก็นิพพานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นิพพานไง ชักดาบไม่จ่ายหนี้กรรมได้
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย
นีและครับ ที่ต่างศาสนา เขาเถียงกันเรื่องพระเจ้า จริงๆแล้ว มันก็อันเดียวกันนั้น ล่ะ ถ้าจะให้พิจราณาแล้วมันเหมือนกับที่ผมพูดแหละครับ ฝรั่ง ไง 555555555 คนหนึ่งเขาเรียกว่า ฝรั่ง อีกคนหนึ่งเขาเรียก บักสีดา ทะเลาะกัน คิดว่าตัวเองถูกต้อง ที่แท้มันก็อันเดียวกัน เขาเรียกเพื่อให้มันเป็นสมมุติ ที่เห็นตัวตนเห็นภาพ แต่พุทธจะถือภาพมันแล้วบอก มันคือไอ้นี้ล่ะ
พระเจ้าประทาน เป็นความประสงค์ของพระเจ้า เรามีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมคอยติดตามในผล พระเจ้าของเขาก็เปรียบได้กับ กรรมของศาสนาพุทธแหละครับ
ผิดแล้วครับ ก่อนไปนิพพานก็จ่ายมาก่อนครับ แต่ได้อรหัตน์แล้วนิพพานเลยต้องใช้หรือเปล่าไม่แน่ใจไม่ถึง 5555
แต่ถ้าเป็นพระอรหัตน์อยู่ก็ใช้ หนี้ก่อน จ่ายมาซ่ะดีๆๆๆ เหมือนพระพุทธเจ้าพระโมคัลลานะ พระองคคุลลีมาร
จริง ๆ พระเจ้าเปรียบได้กับธรรมมากกว่านะ
ผมว่าไม่ถึงขึ้นนั้น นะ เพราะธรรม มีขั้นละเอียดที่่ปัญญาอย่างผม ยังไม่สามารถรู้เห็นได้ แต่ถ้าเป็นกรรม มันจะเห็นภาพที่ใกล้เคียงและชัดกว่า
อย่างทำดีแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ทำชั่วก็ไปอยู่ในนรก ของ เราก็กรรมดีย่อมพาไปเกิดในที่ดีกรรมชั่วย่อมพาไปเกิดในที่ชั่ว ของเขาเจอเรื่องดีเรื่องร้ายเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ของเรา ทำกรรมใดไว้กรรมนั้นย่อมให้ผลไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือเลว ผมว่ามันใกล้เคียงมากกว่านะ
#90
Posted 17 March 2012 - 17:19
#91
Posted 17 March 2012 - 17:23
atheism อันนี้เห็นมีคนแปลหลากหลาย
บางคนแปลว่า "ปฏิเสธพระเจ้า" อันนี้พุทธรวมอยู่ด้วย
บางคนแปลว่า "ไม่มีพระเจ้า" อันนี้พุทธไม่รวม เพราะว่า
พุทธยังมี "พระพรหม" "พระอินทร์" ซึ่งเป็นพระเจ้าใน "ฮินดู"
หลัก ของพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่มีว่าไม่มี ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มีว่ามี พระเจ้า ของศาสนา อื่น มีตัวตนเป็นตัวบุคคล แต่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนาม เรียก กรรม ส่วน พระพรหม พระอินทร์ ศาสนา พุทธ ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ แต่ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ สิ่งนั้นมีอยู่ปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมี แต่อย่างไปสนใจให้ความสำคัญ ในหลักศาสนา พราหม์ฮินดู ไม่เหมือนคริสต์ หรือ อิลลาม เพราะทั้ง 2 พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง
แต่อินดู มีเทพเจ้า สูงสุด (ไม่ใช่พระเจ้า) อยู่ 3 องค์ พระพรหม ผู้สร้าง พระนาราย์ผู้รักษา และ พระอิศวร หรือพระศิวะ เป็นผู้ทำลาย
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
มั่วครับ "อนัตตา" ปฏิเสธ "อัตตา" ที่ไม่มีอยู่จริง
ความเชื่อของลัทธิอื่นที่ไม่ตรง เรียกว่า "เดียรถีย์"
อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง อย่าไปรับเอา ในฟังแต่
"ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เดียรถีย์ (อ่านว่า เดียระถี) แปลว่า ผู้มีลัทธิดังท่าน้ำอันเป็นที่ข้าม หรือ ข้ามน้ำผิดท่า หมายถึงนักบวชนอกศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล ที่แปลว่า "ข้ามน้ำผิดท่า"
ตูจะบ้า ตาย อ่านธรรมไม่เข้าใจธรรม แถม ยัง ยึด มั่นถือมั่นอีก คราวนี้คงไม่ด่าผมว่าปรามาสพระพุทธเจ้าอีกนะ
พระโมคัลนะ พอเจอเปรต พระที่ไม่เห็นก็ต่อว่าท่าน พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี แล้วบอกด้วยไหมว่าทำไมท่านไม่พูดก่อน ผมอาจจะขึ้นผิดก็ได้
พระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ มี ว่าไม่มีปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มี ว่า มี แต่บอกถึงปัจจัยของเหตุ และผลของเหตุนะ
ขอโทษทีเขียนผิดด้วย เหมือน Yes No ภาษาอังกฤษ
#92
Posted 17 March 2012 - 17:46
ตูจะบ้า ตาย อ่านธรรมไม่เข้าใจธรรม แถม ยัง ยึด มั่นถือมั่นอีก คราวนี้คงไม่ด่าผมว่าปรามาสพระพุทธเจ้าอีกนะ
พระโมคัลนะ พอเจอเปรต พระที่ไม่เห็นก็ต่อว่าท่าน พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี แล้วบอกด้วยไหมว่าทำไมท่านไม่พูดก่อน ผมอาจจะขึ้นผิดก็ได้
พระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ มี ว่าไม่มีปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มี ว่า มี แต่บอกถึงปัจจัยของเหตุ และผลของเหตุนะ
ขอโทษทีเขียนผิดด้วย เหมือน Yes No ภาษาอังกฤษ
อ้าว เขียนไทย อย่าเอาไวยกรณ์ภาษาอื่นมาใช้สิท่าน
#93
Posted 17 March 2012 - 17:49
atheism อันนี้เห็นมีคนแปลหลากหลาย
บางคนแปลว่า "ปฏิเสธพระเจ้า" อันนี้พุทธรวมอยู่ด้วย
บางคนแปลว่า "ไม่มีพระเจ้า" อันนี้พุทธไม่รวม เพราะว่า
พุทธยังมี "พระพรหม" "พระอินทร์" ซึ่งเป็นพระเจ้าใน "ฮินดู"
หลัก ของพระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่มีว่าไม่มี ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มีว่ามี พระเจ้า ของศาสนา อื่น มีตัวตนเป็นตัวบุคคล แต่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนาม เรียก กรรม ส่วน พระพรหม พระอินทร์ ศาสนา พุทธ ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ แต่ ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ สิ่งนั้นมีอยู่ปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมี แต่อย่างไปสนใจให้ความสำคัญ ในหลักศาสนา พราหม์ฮินดู ไม่เหมือนคริสต์ หรือ อิลลาม เพราะทั้ง 2 พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง
แต่อินดู มีเทพเจ้า สูงสุด (ไม่ใช่พระเจ้า) อยู่ 3 องค์ พระพรหม ผู้สร้าง พระนาราย์ผู้รักษา และ พระอิศวร หรือพระศิวะ เป็นผู้ทำลาย
แต่จากที่ศึกษาศาสนาพุทธพระพุทธเจ้ารับการมีอยู่เพียงพระพรหม เท่านั้น และ สาเหตุการเกิดเป็น พรหม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดในสมมุติ ที่คุยกันมา atheism เป็นเพียงแค่ อิเล็กตรอนแต่ศาสนาพระพุทธ คืออะตอม อะตอมใช่ อิเล็กตรอนไหม
อิเล็กตรอนใช่อะตอมหรือ
มั่วครับ "อนัตตา" ปฏิเสธ "อัตตา" ที่ไม่มีอยู่จริง
ความเชื่อของลัทธิอื่นที่ไม่ตรง เรียกว่า "เดียรถีย์"
อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง อย่าไปรับเอา ในฟังแต่
"ธรรมวินัย" ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เดียรถีย์ (อ่านว่า เดียระถี) แปลว่า ผู้มีลัทธิดังท่าน้ำอันเป็นที่ข้าม หรือ ข้ามน้ำผิดท่า หมายถึงนักบวชนอกศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล ที่แปลว่า "ข้ามน้ำผิดท่า"
ตูจะบ้า ตาย อ่านธรรมไม่เข้าใจธรรม แถม ยัง ยึด มั่นถือมั่นอีก คราวนี้คงไม่ด่าผมว่าปรามาสพระพุทธเจ้าอีกนะ
พระโมคัลนะ พอเจอเปรต พระที่ไม่เห็นก็ต่อว่าท่าน พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามี แล้วบอกด้วยไหมว่าทำไมท่านไม่พูดก่อน ผมอาจจะขึ้นผิดก็ได้
พระพุทธศาสนา ไม่ปฏิเสธ สิ่งที่ มี ว่าไม่มีปฏิเสธ สิ่งที่ไม่มี ว่า มี แต่บอกถึงปัจจัยของเหตุ และผลของเหตุนะ
ขอโทษทีเขียนผิดด้วย เหมือน Yes No ภาษาอังกฤษ
ต้องศึกษาหลักปฏิจสมุปบาท และกฎอิทัปปัจจยตานั่นคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงท่องไว้เพื่อทรงจำในขณะอยู่วิเวก...
พระพุทธองค์ไม่ใช่เทพ หรือเทวดาครับ สิ่งที่พระองค์สั่งสมไว้ทุกๆชาติภพไปคือบารมีเพื่อการค้นหาสัจธรรมของการหลุดพ้นจากโลกธาตุ เพื่อเสวยอมตะในพระนิพพาน เพราะฉะนั้น atheism ที่ว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดครับ
Edited by wat, 17 March 2012 - 17:51.
#94
Posted 18 March 2012 - 00:33
อนัตตาหมายความว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เป็นไปตามอำนาจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่เรา
มีแต่สภาพธรรม สภาพธรรมทั้หลายเกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีใครบังคับให้เกิดขึ้น เมื่อ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครบังคับให้ไม่ดับไปได้ ดังนั้น การบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย
จึงเป็นอนัตตา
ขณะนี้คุณ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ใช่ไหมครับ ขณะนี้เองคืออนัตตาอัน
เป็นสภาพที่บังคับให้เป็นไปตามใจไม่ได้ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้เพราะมีปัจจัย
หลายปัจจัยอุปถัมภ์อยู่ หากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเสื่อมไปหรือขาดไป ขณะนี้คุณ ก็
อ่านข้อความนี้ไม่ได้
ตัวอย่างปัจจัย(ส่วนหนึ่งในปัจจัยอันนับไม่ถ้วน)
- คุณ ตาไม่บอด
- คุณมีความจำความหมายของอักษร คำ และประโยคภาษาไทย มาแล้ว
- มีสีปรากฎ (เป็นตัวอักษร)
- ร่างกายคุณมีอาหารซึ่งให้กำลังอยู่ (มิฉะนั้นจะไม่มีแรง หรือเสียชีวิต)
- กล้ามเนื้อทั้งหลายของคุณ ทำงานปกติดี
- อุณหภูมิรอบตัวขณะนี้ไม่สูงหรือต่ำจนเป็นอันตราย
- มีสภาพแข็ง ที่โต๊ะ เก้าอี้ พื้นห้อง หรือพื้นดิน ที่ทำให้คุณทรงร่างกายไว้ได้
- ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมทุกขณะในชีวิตของเรา ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะ
สำเร็จได้ ซึ่งหากปัจจัยหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างเปลี่ยนไป กิจกรรมทีต้องอาศัยปัจจัย
นั้นก็ย่อมแปรปรวน หรือเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านั้นจะ
เกื้อกูล หรือขัดขวาง ไม่สามารถที่จะไปกะเกณฑ์ให้อะไรอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ
นี่แหละครับ ธรรมะทั้งปวง เป็นอนัตตา
สิ่งที่ไม่เที่ยงต้องแปรปรวนไป ทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายเพียงว่า ปวด
เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์เท่านั้น แต่สภาพธรรมใดเกิดขึ้นและดับไปขณะนี้เองที่
ไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์เพราะแปรปรวนไป ตั้งอยู่ ทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ส่วน
อนัตตาเป็นลักษณะของสภาพธรรม อันหมายถึงว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล แต่
ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีอะไรเลย แต่มีสภาพธรรม แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลนั่น
เอง และอนัตตาก็หมายถึง บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้เห็น บังคับให้ไม่ให้เกิด ไม่
ให้ดับไปได้ไหม เพราะเห็นแล้วและก็ต้องดับด้วย จึงไม่ใช่เราที่ไปมีอำนาจ
บังคับบัญชาเพราะเป็นธรรมและเป็นอนัตตานั่นเอง
เมื่อใด
บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น
ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์
นั่นเป็น
ทางแห่งความหมดจด.
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#95
Posted 18 March 2012 - 00:59
หัวใจพระพุทธศาสนาคือความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีจริง
อนัตตาหมายความว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เป็นไปตามอำนาจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่เรา
มีแต่สภาพธรรม สภาพธรรมทั้หลายเกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีใครบังคับให้เกิดขึ้น เมื่อ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครบังคับให้ไม่ดับไปได้ ดังนั้น การบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย
จึงเป็นอนัตตา
ขณะนี้คุณ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ใช่ไหมครับ ขณะนี้เองคืออนัตตาอัน
เป็นสภาพที่บังคับให้เป็นไปตามใจไม่ได้ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้เพราะมีปัจจัย
หลายปัจจัยอุปถัมภ์อยู่ หากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเสื่อมไปหรือขาดไป ขณะนี้คุณ ก็
อ่านข้อความนี้ไม่ได้
ตัวอย่างปัจจัย(ส่วนหนึ่งในปัจจัยอันนับไม่ถ้วน)
- คุณ ตาไม่บอด
- คุณมีความจำความหมายของอักษร คำ และประโยคภาษาไทย มาแล้ว
- มีสีปรากฎ (เป็นตัวอักษร)
- ร่างกายคุณมีอาหารซึ่งให้กำลังอยู่ (มิฉะนั้นจะไม่มีแรง หรือเสียชีวิต)
- กล้ามเนื้อทั้งหลายของคุณ ทำงานปกติดี
- อุณหภูมิรอบตัวขณะนี้ไม่สูงหรือต่ำจนเป็นอันตราย
- มีสภาพแข็ง ที่โต๊ะ เก้าอี้ พื้นห้อง หรือพื้นดิน ที่ทำให้คุณทรงร่างกายไว้ได้
- ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมทุกขณะในชีวิตของเรา ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะ
สำเร็จได้ ซึ่งหากปัจจัยหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างเปลี่ยนไป กิจกรรมทีต้องอาศัยปัจจัย
นั้นก็ย่อมแปรปรวน หรือเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านั้นจะ
เกื้อกูล หรือขัดขวาง ไม่สามารถที่จะไปกะเกณฑ์ให้อะไรอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ
นี่แหละครับ ธรรมะทั้งปวง เป็นอนัตตา
สิ่งที่ไม่เที่ยงต้องแปรปรวนไป ทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายเพียงว่า ปวด
เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์เท่านั้น แต่สภาพธรรมใดเกิดขึ้นและดับไปขณะนี้เองที่
ไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์เพราะแปรปรวนไป ตั้งอยู่ ทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ส่วน
อนัตตาเป็นลักษณะของสภาพธรรม อันหมายถึงว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล แต่
ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีอะไรเลย แต่มีสภาพธรรม แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลนั่น
เอง และอนัตตาก็หมายถึง บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้เห็น บังคับให้ไม่ให้เกิด ไม่
ให้ดับไปได้ไหม เพราะเห็นแล้วและก็ต้องดับด้วย จึงไม่ใช่เราที่ไปมีอำนาจ
บังคับบัญชาเพราะเป็นธรรมและเป็นอนัตตานั่นเอง
เมื่อใด
บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น
ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์
นั่นเป็น
ทางแห่งความหมดจด.
อยากให้คำผกาได้อ่านจังเลย
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#96
Posted 19 March 2012 - 12:49
หัวใจพระพุทธศาสนาคือความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีจริง
อนัตตาหมายความว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เป็นไปตามอำนาจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่เรา
มีแต่สภาพธรรม สภาพธรรมทั้หลายเกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีใครบังคับให้เกิดขึ้น เมื่อ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครบังคับให้ไม่ดับไปได้ ดังนั้น การบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย
จึงเป็นอนัตตา
ขณะนี้คุณ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ใช่ไหมครับ ขณะนี้เองคืออนัตตาอัน
เป็นสภาพที่บังคับให้เป็นไปตามใจไม่ได้ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้เพราะมีปัจจัย
หลายปัจจัยอุปถัมภ์อยู่ หากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเสื่อมไปหรือขาดไป ขณะนี้คุณ ก็
อ่านข้อความนี้ไม่ได้
ตัวอย่างปัจจัย(ส่วนหนึ่งในปัจจัยอันนับไม่ถ้วน)
- คุณ ตาไม่บอด
- คุณมีความจำความหมายของอักษร คำ และประโยคภาษาไทย มาแล้ว
- มีสีปรากฎ (เป็นตัวอักษร)
- ร่างกายคุณมีอาหารซึ่งให้กำลังอยู่ (มิฉะนั้นจะไม่มีแรง หรือเสียชีวิต)
- กล้ามเนื้อทั้งหลายของคุณ ทำงานปกติดี
- อุณหภูมิรอบตัวขณะนี้ไม่สูงหรือต่ำจนเป็นอันตราย
- มีสภาพแข็ง ที่โต๊ะ เก้าอี้ พื้นห้อง หรือพื้นดิน ที่ทำให้คุณทรงร่างกายไว้ได้
- ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า กิจกรรมทุกขณะในชีวิตของเรา ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะ
สำเร็จได้ ซึ่งหากปัจจัยหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างเปลี่ยนไป กิจกรรมทีต้องอาศัยปัจจัย
นั้นก็ย่อมแปรปรวน หรือเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีบ้าง ร้ายบ้าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านั้นจะ
เกื้อกูล หรือขัดขวาง ไม่สามารถที่จะไปกะเกณฑ์ให้อะไรอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ
นี่แหละครับ ธรรมะทั้งปวง เป็นอนัตตา
สิ่งที่ไม่เที่ยงต้องแปรปรวนไป ทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายเพียงว่า ปวด
เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์เท่านั้น แต่สภาพธรรมใดเกิดขึ้นและดับไปขณะนี้เองที่
ไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์เพราะแปรปรวนไป ตั้งอยู่ ทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ส่วน
อนัตตาเป็นลักษณะของสภาพธรรม อันหมายถึงว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล แต่
ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีอะไรเลย แต่มีสภาพธรรม แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลนั่น
เอง และอนัตตาก็หมายถึง บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้เห็น บังคับให้ไม่ให้เกิด ไม่
ให้ดับไปได้ไหม เพราะเห็นแล้วและก็ต้องดับด้วย จึงไม่ใช่เราที่ไปมีอำนาจ
บังคับบัญชาเพราะเป็นธรรมและเป็นอนัตตานั่นเอง
เมื่อใด
บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น
ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์
นั่นเป็น
ทางแห่งความหมดจด.
ลึ้กซึ้ง ยิ่งนัก ภูมิจิตน่าจะสูงกว่าผมนะนี้ ข้าน้อยของคารวะ
#97
Posted 19 March 2012 - 14:03
ถึงผมจะเป็นคนหัวขบถ แต่ไม่คิดทรยศบุญคุณแผ่นดินเกิด
เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตทำร้ายประเทศชาติ
#98
Posted 19 March 2012 - 14:06
สุวรรณบุปผากำลังกระทบชิ่งวัดจานบิน เพราะวัดจานบินก็พุทธ
มันไม่ใช่พุทธ มันเลียนแบพุทธเฉยๆ
อุเหม่...ขนาดนางยกยังต้องไปเป็นประธานตักบาตรอะไรหมื่นๆองค์นั่นแหละ นิกายทุนนิยมเหมือนกันนี่หว่า...
#99
Posted 19 March 2012 - 15:36
หรือปล่อยให้หมาแทะเล่นข้างถนน
#100
Posted 19 March 2012 - 15:56
อีนี่คงไม่เคยอ่านบทสวดมนต์เลยจริงๆ ว่ามีความหมายอย่างไร
แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำการสวดมนต์เพื่ออะไร
ทำไมคนไทย พวกชอบเสนอความเห็น มักเป็นพวกไม่รู้จริงทั้งนั้น