ขออธิบายนิด
ศาสนาพุทธอาจถือเป็นอเทวนิยม เพราะไม่ได้นิยมเทพนะครับ
แต่ศาสนาพุทธไม่ได้ปฏิเสธเทพ เทวดา และยังมีการระบุและอธิบายโดยละเอียดด้วยซ้ำว่ามีในภพ 7 ภพนั้นมีอะไรบ้าง ตั้งแต่*** เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน มนุษย์ เทพในสวรรค์ 7 ชั้น พรหม & อรูปพรหม ดังนั้นความสำคัญของเทพ เทวดาในความหมายของพุทธนั้นคือ being หนึ่งในภพทั้ง 7 แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทพว่าถึงกับจะมากำหนดชะตาชีวิต หรือสร้างโลกสร้างภพต่างๆแบบที่ศาสนามีพระเจ้าเขาเชื่อกัน
ส่วนสำคัญของภพต่างๆก็คือผู้ที่อยู่ในภพจะต้องมี "ขันธ์ 5" คือ รูป สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ แต่แปลไม่เหมือนภาษาชาวโลก รูป – ก็คือร่างกายหรือฮาร์ดแวร์ เป็นที่ตั้งของผัสสะ หรืออวัยวะในการรับข้อมูลจากภายนอกเพื่อป้อนสู่ในจิต ส่วนที่เหลืออีก 4 เป็นซอฟท์แวร์ หรือส่วนที่เรียกว่านาม ประกอบด้วย สัญญา – คือข้อมูลต่างๆที่ถูกเก็บไว้ในสมองหรือในจิตใต้สำนึก เวทนา - คือข้อมูล ร้อน – เย็น ตึง-หย่อน และแสง-เงา ที่รับจากภายนอกผ่านทางอายตนะรับสัมผัส หู ตา จมูก ลิ้น กาย (ผิวสัมผัส) ใจ (จากการเรียกคืนข้อมูลในสมอง หรือการสัมผัสด้วยจิตตรงๆ)
นิพพานนั้นต่างจากที่คนส่วนใหญ่คิด เพราะนิพพานไม่ใช่ภพ แต่คือการเอาภพออกไปจนหมดจนเหลือแต่ความว่างที่สุด ไม่มีขันธ์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ถ้าเทียบง่ายๆว่าจักรวาลนี้เหมือนสนามฟุตบอล ภพต่างๆก็คือคนที่สวมบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่น กรรมการ คนดู เด็กขายน้ำ ฯลฯ มีความสูงต่ำต่างกันออกไปตามประเภทของกรรมที่แต่ละคนกระทำ แต่นิพพานคือการเดินออกนอกสนาม ยุติการเล่นเกมทั้งหมด ไม่มีบทบาทใดที่จะเล่นอีก
และสำหรับคนที่ศึกษาพุทธจริงจังถึงขั้นวิปัสนา จะรู้ว่าวิปัสนาคือสติปัฎฐาน 4 คือการสังเกตการณ์ กาย – รูปกาย เวทนา – การรับรู้ข้อมูลและอารมณ์ต่างๆ จิต – การเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆของสภาพจิตใจจนถึงขั้นละเอียด ธรรม – การเกิดขึ้นและดับไปของสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิตและห่อหุ้มจิตอยู่ ดังนั้นหัวใจสำคัญของพุทธคือหาจิตให้พบ และจัดการฝึกจิตจนกระทั่งรู้ความจริงแท้ และปล่อยวางเพื่อเลิกเล่นเกม หรืออย่างน้อยที่สุด รู้จักวิธีพัฒนาจิตของตัวเองให้สูงขึ้น ไม่ตกต่ำลงไปกว่าสภาวะจิตของมนุษย์
หัวใจสำคัญของพุทธนั้นเชื่อว่าสภาวะจิตของคนนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตลอดทั้งวัน บางครั้งเราโกรธ บางครั้งเรามีเมตตา บางครั้งเราโลภ ฯลฯ สภาวะจิตบางอย่างถ้าสั่งสมให้เกิดบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นธรรมชาติของจิตดวงนั้น เพราะพุทธเชื่อว่าจิตเกิดและดับตลอดเวลาโดยจิตที่เกิดใหม่จะรับทอดคุณสมบัติบางอย่างมาจากดวงที่ดับไป ดังนั้นถ้าจิตติดธรรมชาติใดๆนานพอที่จะสั่งสมพลังงานออกมาเป็นการกระทำไม่ว่าในความคิด หรือคำพูด หรือการกระทำ ก็จะส่งผลต่อโลกกายภาพภายนอกต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ...คุณเคยเห็นคนบางคนที่เห็นหน้าปุ๊บก็รู้ว่าไอ้นี่เห็นแก่ตัว งก หรือบ้ากามมั้ยล่ะครับ นั่นแหละตัวอย่างของจิตที่ส่งผลต่อกายภาพภายนอก อย่าดูถูกไปเชียว และธรรมชาติของจิตที่สั่งสมไว้นี้แหละที่จะเป็นกรรมสำคัญที่จะส่งผลต่อการสุ่มเลือกฮาร์ดแวร์ใหม่หรือกายใหม่ ที่คุณจะต้องไป Install จิตของคุณลงหลังจากที่ฮาร์ดแวร์เก่าพังไปแล้ว ลองนึกถึงการจูนคลื่นวิทยุ ด้วยสภาวะบางอย่าง จิตดวงสุดท้ายจะจูนหาฮาร์ดแวร์ที่รับคลื่นได้เท่ากันเพื่อการติดตั้งใหม่ ...แต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ผมมองว่าจักรวาลเป็นเหมือนเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงและสื่อสารทำงานร่วมกันถึงกันหมด ขณะที่คนที่บ้าวิทย์ส่วนใหญ่คิดว่ามนุษย์นั้น Stand Alone อยู่เลย
ศาสนาพุทธนั้นเชื่อในพลังของกรรม แต่กรรมก็มีหลายรูปแบบ แสดงตัวออกมาหลายลักษณะ กรรมในปัจจุบันแสดงออกด้วยการกระทำ แต่กรรมในอดีตแสดงตัวออกมาเป็นพลังหรือปัจจัยที่จะช่วยผลักดัน ขัดขวาง หรือแทรกแซงการกระทำใดๆได้หากมันมีพลังงานมากพอ ในพระสูตรมีการอธิบายเรื่องกรรมไว้มากมาย แต่ก็สรุปว่ากรรมเป็นเรื่อง "อจินไตย" คือถ้าคิดมากแล้วจะพาให้บ้า เพราะมันซับซ้อนเกินไป แค่รู้หลักคร่าวๆให้พอปฏิบัติตัวอย่างสอดคล้องให้เอาตัวรอดได้ก็พอแล้ว
การอ่านอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนเข้าถึงศาสนาพุทธได้ลึกพอ คุณต้องหัดปฏิบัติสติปัฎฐานด้วย และเมื่อคุณฝึกได้ถึงระดับหนึ่งที่เรียกว่า "ขึ้นทาง" แล้ว สิ่งที่คุณสงสัยก็จะได้รับคำเฉลยเอง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีศรัทธาเสียด้วยซ้ำ...ศรัทธาจะมาเองหลังจากที่คุณเห็นผลแล้ว
ลองดูครับ...