"ว.วชิรเมธี" เชื่อคนสมัยก่อนเหาะได้ สอนอย่างมงายในวิทยาศาสตร์
#51
Posted 19 March 2012 - 15:46
ช่วงนี้ คนเป่านกหวีดเสียงดังกันเยอะ ปีนี้เลยกลายเป็น " ปี แสบ หู "
#52
Posted 19 March 2012 - 15:50
ประชาธิปไตยแบบแดง: 1. ไม่ใช่แดง เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ 2. เสียงส่วนใหญ่ คือเสียงถูกต้อง 3. กฎพวกพ้องต้องเหนือกฎหมาย 4. เบื้องสูงมีไว้เหยียบย่ำ 5. ใครทำก็ผิด แต่แดงต้องไม่ผิด 6. คิดร้ายต่อทักษิณย่อมชั่ว 7. มั่วบิดเบือนหลอกพวกเดียวกัน 8. ปั้นน้ำเป็นตัวแล้วแถ
#54
Posted 19 March 2012 - 15:56
#55
Posted 19 March 2012 - 15:57
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ (กราบ)
พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้...
ที่มา : http://www.84000.org...sorrapanya.html
ที่คนส่วนใหญ่มักแย้งเรื่องที่มันเหนือที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็เพราะไม่เคยลองศึกษาและปฏิบัติถึงจุดนั้นจริงๆ ผมก็อยากถามกลับคนที่ตั้งคำถามเหมือนกันว่า ท่านมีอะไรที่สามารถบอกได้ว่าพระธาตุที่แปรมาจากอัฐิ ของพระเถระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแก้วได้อย่างไร เป็นหินใสๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ได้อย่างไร ผมไม่เคยเห็นใครบอกได้สักคน นอกจากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ การที่จะบอกว่ามีหรือไม่มันไม่สามารถบอกหรือแสดงให้เห็นได้ถ้าไม่ปฏิบัติให้เห็นเอง ผมขอยกคำสอนของท่าน ว.วชิรเมธี ที่ท่านเคยพูดเรื่องไสยศาสตร์ไว้ ท่านไม่ตอบว่ามีหรือไม่มี แต่ท่านบอกให้เราคิด ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีตะขาบอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนกลางวันเราก็เห็นมันอยู่ใช่ไหม แล้วถ้ากลางคืนละ ถ้าตะขาบอยู่ที่เดิมเราจะเห็นมันไหม ไม่เห็น แต่ถามว่ามันมีอยู่ไหม มันก็มีอยู่ ... ท่านยกตัวอย่างแบบนี้ หวังว่าคงมีสมองคิดกันได้นะ
"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"
#56
Posted 19 March 2012 - 15:59
#57
Posted 19 March 2012 - 16:00
ต่างคนต่างอยู่...
#58
Posted 19 March 2012 - 16:07
ใครทำใครได้
#59
Posted 19 March 2012 - 16:11
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ถ้าคนมันเหาะได้ทุกคน พระพุทธเจ้าจะต้องไปเรียนทำไม
#60
Posted 19 March 2012 - 16:11
"คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นใคร ถ้าวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้ใช่ไหม วิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอ"ทั้งนี้ ทางพิธีกรถามแทรกขึ้นมาอย่างไม่เชื่อว่า แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์เรื่องดังกล่าวมันเป็นไปไม่ได้ ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า
อันนี้ผมเห็นด้วยกับโปกนะ...ผมไม่เห็นด้วยที่นักข่าวเอาหลักวิทยาศาสตร์มาอ้างมั่วๆ และไม่เห็นด้วยที่ท่าน ว.ฯ ไปประณามหลักวิทยาศาสตร์แบบนั้นด้วย
เพราะจริงๆแล้ว วิทยาศาสตร์ไม่เคยบอกว่า อะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย หรือไม่มีจริงโดยสัมบูรณ์ > แต่วิทยาศาสตร์ยังยอมรับไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อพิสูจน์เชิงประจักษ์ ก็เท่านั้น!
เช่นใครบอกว่าผีมีจริง คนนั้นก็ต้องเอาผีมาทำให้คนอื่นเห็นได้ด้วย ผีถึงจะเป็นที่ยอมรับในเชิงวิทยาศาสตร์ได้
แต่หลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ฟันธงลงไปว่า มันไม่มีจริง 100% ถ้าใครกล่าวแบบนี้ก็แสดงว่าเอาหลักวิทยาศาสตร์มาอ้างมั่วๆ
Edited by Huligan, 19 March 2012 - 16:17.
#61
Posted 19 March 2012 - 16:14
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
แล้วคุณทำสมาธิได้หรือไม่ล่ะครับ ทำไมคนโบราณทำได้?
เอาแค่รู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่คิดเรื่องอื่น นี่คือสมาธิขั้นต้นนะครับ ทำได้หรือไม่ล่ะ?
#62
Posted 19 March 2012 - 16:18
๑ วิทยาศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของการสังเกต ทดลอง และทำซ้ำ ซึ่งเป็นจุดแข็งของวิทยาศาสตร์ ที่สามารถยืนยันทฤษฎีด้วยการทดลองต่างๆได้ และทำให้หลายคนเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มาก
๒ สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่รู้คือ เราไม่สามารถสรุปได้ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความจริงแท้โดยสมบูรณ์ แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นจะได้รับการปรับปรุง หรือ เปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้น นอกจากทำเพื่อทดสอบและยืนยันทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แล้ว หลายการทดลองนั้น ทำเพื่อ "พิสูจน์ว่าผิด" กับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน ตัวอย่างเช่นทฤษฎีความโน้มถ่วงของไอน์สไตน์ นั้นทำนายว่า แสงที่ผ่านมวลสารขนาดใหญ่จะเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้ง แต่ทฤษฎีเก่าของนิวตัน ไม่ได้ทำนายสิ่งนี้ และทฤษฎีเกี่ยวกับแสงที่ทุกคนใช้อยู่ในขณะนั้น แสงเดินทางเป็นเส้นตรง
ตรงนี้แหละครับที่เป็นข้อดีของวิทยาศาสตร์ มีสองทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน มีการทำนายต่างกันและเราสามารถทดลองเพื่อพิสูจน์ได้ว่าใครผิด และเมื่อผลการทดลองที่ทำออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าแสงโค้งจริงๆ เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ทฤษฎีเก่าที่ใช้นั้นไม่ดีพอ และควรหันมาใช้ทฤษฎีใหม่ของไอน์สไตน์แทน
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าไอน์สไตน์นั้นถูกต้องอย่างสมบูรณ์ ทฤษฎีของไอน์สไตน์เอง วันหนึ่งก็อาจจะตกอยู่ในฐานะเดียวกับทฤษฎีเก่าได้เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เรามี เราจึงใช้ไปก่อนและเมื่อมีทฤษฎีใหม่ที่ดีขึ้นเราก็ค่อยเปลี่ยนมาใช้ของใหม่
ต่อความเห็นที่มีต่อท่าน ว. วชิรเมธี
๑ เห็นด้วยกับท่าน ที่บอกว่าสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามี เราไม่สามารถไปสรุปว่ามี แต่ก็ควรจะเตือนสติเพิ่มด้วยว่า สิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามี ก็ไม่ควรเชื่อว่ามีด้วยเช่นกัน
"เมื่อได้ยินได้ฟังสิ่งไดมา อย่าเพิ่งเชื่อว่าจริง และ อย่าเพิ่งเชื่อว่าไม่จริง"
๒ ถ้าเรารู้ว่าจริงๆแล้ววิทยาศาสตร์นั้นมีหลักการอย่างไร เราจะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องงมงาย ดังนั้นผมจึงเห็นแย้งกับท่านที่ว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร" เพราะตัววิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่สิ่งงมงาย การเข้าถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และการทดลองเชิงประจักษ์ทั้งสิ้น
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#63
Posted 19 March 2012 - 16:27
เฮ้อ.......
เฮ้อ........ ไพร่ๆสัมภเวสีอย่างเสื้อแดงพวกเรา บังอาจแตะต้อง ท่าน.ว นี่น่าเป็นห่วง จะเอาเดียรฉานวิชาต่ำๆไปวิจารณ์ท่านว.นี่ ให้แดงทั้งแผ่นดินคัดเลือกมาก็เท่ากับมาอวดโง่
ท่านว.คงไม่เลือกจะคุยด้วยร็อกกก ไปเอาแม้วกลับมาง่ายกว่านะได้ตังค์ด้วยวันละ500ก็ยังดี กำลังอดอยากปากแห้งอยู่ งงฟะ มันไม่เอาแมัวกลับมาละแถไปแขวะพระ
งานถนัดได้ตังค์ไม่ทำ ไปทำเรื่องโชว์โง่
เฮ้อ........
#64
Posted 19 March 2012 - 16:29
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎกดูนะครับ ประเด็นของพระพุทธองค์สอน ไม่ได้สอนให้คนเหาะได้ หายตัวได้ หรือปฏิบัติเพื่อให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า...จุดมุ่งหมายของพระพุทธองค์คือการให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ กลับไปสู่ภพภูมิดั้งเดิมคือการสู่นิพพาน
เหาะได้ หายตัวได้ หรือแม้แต่พรหมเทพ, เทวดา พระองค์ก็ไม่ได้บอกให้ไปสนใจด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่ประเด็น...
#65
Posted 19 March 2012 - 16:32
เห็นหลายคนให้ความเห็นเรื่องพุทธศาสนาแล้ว ผมขอให้ความเห็นเรื่องวิทยาศาสตร์บ้างนะครับ
๑ วิทยาศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของการสังเกต ทดลอง และทำซ้ำ ซึ่งเป็นจุดแข็งของวิทยาศาสตร์ ที่สามารถยืนยันทฤษฎีด้วยการทดลองต่างๆได้ และทำให้หลายคนเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มาก
๒ สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่รู้คือ เราไม่สามารถสรุปได้ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความจริงแท้โดยสมบูรณ์ แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นั้นจะได้รับการปรับปรุง หรือ เปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ การทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้น นอกจากทำเพื่อทดสอบและยืนยันทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์แล้ว หลายการทดลองนั้น ทำเพื่อ "พิสูจน์ว่าผิด" กับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน ตัวอย่างเช่นทฤษฎีความโน้มถ่วงของไอน์สไตน์ นั้นทำนายว่า แสงที่ผ่านมวลสารขนาดใหญ่จะเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้ง แต่ทฤษฎีเก่าของนิวตัน ไม่ได้ทำนายสิ่งนี้ และทฤษฎีเกี่ยวกับแสงที่ทุกคนใช้อยู่ในขณะนั้น แสงเดินทางเป็นเส้นตรง
ตรงนี้แหละครับที่เป็นข้อดีของวิทยาศาสตร์ มีสองทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน มีการทำนายต่างกันและเราสามารถทดลองเพื่อพิสูจน์ได้ว่าใครผิด และเมื่อผลการทดลองที่ทำออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าแสงโค้งจริงๆ เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ทฤษฎีเก่าที่ใช้นั้นไม่ดีพอ และควรหันมาใช้ทฤษฎีใหม่ของไอน์สไตน์แทน
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าไอน์สไตน์นั้นถูกต้องอย่างสมบูรณ์ ทฤษฎีของไอน์สไตน์เอง วันหนึ่งก็อาจจะตกอยู่ในฐานะเดียวกับทฤษฎีเก่าได้เช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เรามี เราจึงใช้ไปก่อนและเมื่อมีทฤษฎีใหม่ที่ดีขึ้นเราก็ค่อยเปลี่ยนมาใช้ของใหม่
ต่อความเห็นที่มีต่อท่าน ว. วชิรเมธี
๑ เห็นด้วยกับท่าน ที่บอกว่าสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามี เราไม่สามารถไปสรุปว่ามี แต่ก็ควรจะเตือนสติเพิ่มด้วยว่า สิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามี ก็ไม่ควรเชื่อว่ามีด้วยเช่นกัน"เมื่อได้ยินได้ฟังสิ่งไดมา อย่าเพิ่งเชื่อว่าจริง และ อย่าเพิ่งเชื่อว่าไม่จริง"
๒ ถ้าเรารู้ว่าจริงๆแล้ววิทยาศาสตร์นั้นมีหลักการอย่างไร เราจะพบว่ามันไม่ใช่เรื่องงมงาย ดังนั้นผมจึงเห็นแย้งกับท่านที่ว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร" เพราะตัววิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่สิ่งงมงาย การเข้าถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และการทดลองเชิงประจักษ์ทั้งสิ้น
ผมเข้าใจว่า บริบทของท่าน ว. ไม่ใช้เหมือนที่ คุณGop ตีความ
คำว่า งมงาย + ในวิทยาศาสตร์ น่าจะมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วคือ อย่าสักแต่อ้างวิทยาศาสตร์เพียงเพราะเชื่อ
มิได้หมายความอย่างคุณGop ที่ไปตีความว่า ท่าน ว. บอกวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งงมงาย
คุณว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีมั๊ยล่ะ แล้วคุณรู้สึกยังไงกับเสื้อแดงที่อ้างประชาธิปไตยแบบงมงาย?
การบอกว่า "คนโบราณบินได้ขัดหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ยังไม่เคยพิสูจน์(ด้วยอภิญญาจิต)" ถามว่าเป็นความงมงายในวิทยาศาสตร์หรือไม่?
Edited by ดราม่า, 19 March 2012 - 16:35.
#66
Posted 19 March 2012 - 16:39
ไอ้พวกงมงายวิทยาศาสตร์มันก็งมงายในศาสนาด้วย
สัมภเวสี ไม่ยึดหลักธรรม
ไม่ยึดหลักธรรมก็เอาแต่จะเผาบ้านเผาเมือง
#67
Posted 19 March 2012 - 16:41
ท่านว.ท่านพูดถูกแล้ว
คนที่ไม่เคยศึกษาไม่เคยทำความเข้าใจ ก็เลย"ไม่รู้" ดันไปด่าท่าน
พวกยึดวิทยาศาสตร์นี้ก้อนะ จารวากจริงๆ (คือเชื่อเฉพาะสิ่งที่คนสัมผัสได้ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้จะบอกว่าไม่มีทันที)
เห็นแย้งครับ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามี ถึงแม้มองไม่เห็นก็เชื่อได้ครับ อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคลื่นวิทยุมีจริง ถึงแม้มองไม่เห็นก็ตาม แต่สามารถรับส่งสัญญาณได้ ควบคุมได้ตามที่ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ทำนายไว้ทุกประการ เราถึงยอมรับการมีอยู่ของมัน
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#68
Posted 19 March 2012 - 16:43
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ต้องไปศึกษาพระไตรปิฎกดูนะครับ ประเด็นของพระพุทธองค์สอน ไม่ได้สอนให้คนเหาะได้ หายตัวได้ หรือปฏิบัติเพื่อให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า...จุดมุ่งหมายของพระพุทธองค์คือการให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้ กลับไปสู่ภพภูมิดั้งเดิมคือการสู่นิพพาน
เหาะได้ หายตัวได้ หรือแม้แต่พรหมเทพ, เทวดา พระองค์ก็ไม่ได้บอกให้ไปสนใจด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่ประเด็น...
คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าเอาไปพูดกับพวกอวิชชาเลยครับ พวกนั้นไม่สมควรแม้แต่จะได้พบพระ
#69
Posted 19 March 2012 - 16:43
ท่านว.ท่านพูดถูกแล้ว
คนที่ไม่เคยศึกษาไม่เคยทำความเข้าใจ ก็เลย"ไม่รู้" ดันไปด่าท่าน
พวกยึดวิทยาศาสตร์นี้ก้อนะ จารวากจริงๆ (คือเชื่อเฉพาะสิ่งที่คนสัมผัสได้ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้จะบอกว่าไม่มีทันที)
เห็นแย้งครับ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามี ถึงแม้มองไม่เห็นก็เชื่อได้ครับ อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคลื่นวิทยุมีจริง ถึงแม้มองไม่เห็นก็ตาม แต่สามารถรับส่งสัญญาณได้ ควบคุมได้ตามที่ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ทำนายไว้ทุกประการ เราถึงยอมรับการมีอยู่ของมัน
อันนี้คุณ Gop ก็เข้าใจผิดครับ เขาหมายถึงปรัชญาจารวาก คือพวกวัตถุนิยม ลองอ่านดูครับ
http://www.oknation....1/03/03/entry-2
#70
Posted 19 March 2012 - 16:45
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
#71
Posted 19 March 2012 - 16:45
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
เห็นแค่คำถามก็ละเหี่ยหดหู่ใจในตรรกะแล้วครับ
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ถ้าคนมันเหาะได้ทุกคน พระพุทธเจ้าจะต้องไปเรียนทำไม
พระพุทธเจ้าไปเรียนอะไรหรือ ????? อย่าบอกนะ วิชาเหาะ
ตรรกะไม่เป็นเหตุเป้นผล แล้วยังพูดเองเออเองให้ดูไร้สาระเหมือนว่าคนอื่นพูด
Edited by สยาม, 19 March 2012 - 16:46.
#72
Posted 19 March 2012 - 16:46
ครูบาอาจารย์ และ ฆราวาส หลายท่าน ที่รู้จัก
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้จะลบหลู่นะครับ...ไม่ทราบว่ามีการทดสอบแล้วหรือยัง
#73
Posted 19 March 2012 - 16:56
ต้องตายข้างถนนอีกกี่ชาติหนอถึงจะได้ใกล้พระ หรือว่าเราบาปหนาก็ไม่รู้นะ
#74
Posted 19 March 2012 - 16:57
ครูบาอาจารย์ และ ฆราวาส หลายท่าน ที่รู้จัก
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้จะลบหลู่นะครับ...ไม่ทราบว่ามีการทดสอบแล้วหรือยัง
พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสานงานราชสำนัก เคยเล่าให้หมู่คณะฟังถึงเรื่องราวต่อไปนี้...
สมัยหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสให้ท่านไปประสานงานนิมนต์พระสงฆ์ทรงภูมิธรรมในภาคอีสานบางรูป มารับพระราชทานฉันที่กรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถประสานงานนิมนต์ได้ เพราะพระสงฆ์เหล่านั้นได้ออกธุดงค์ไปก่อนแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ว่าออกธุดงค์อยู่ ณ แห่งหนใด
จึงมีกระแสพระราชดำรัสให้ไปกราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งขณะนั้นยังมีสมณศักดิ์ที่ “พระศาสนโสภณ” ให้ช่วยนิมนต์แทน
พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงเดินทางไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร และแจ้งพระราชประสงค์ให้ทราบ สมเด็จพระสังฆราชขอเวลาให้มาฟังผลอีกชั่วยามหนึ่ง ท่านก็นั่งรออยู่ที่กุฏิชั้นล่าง ไม่ถึงชั่วยามก็ได้รับคำตอบว่า..นิมนต์ให้เรียบร้อยแล้ว...ให้นำรถไปรับที่จุดนัดหมายตามวันเวลาที่กำหนด.....
พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์มีความแปลกใจว่า ติดต่อกันโดยทางใด ในที่สุดก็ได้ทราบว่าสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ได้นั่งสมาธิติดต่อทางจิตหรือ “โทรจิต” ติดต่อกับพระสงฆ์ทรงภูมิธรรมนั้น
นับเป็นเรื่องอัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง
นายมนตรี ตัณฑวิรัตน์ อดีตรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้ประสานงานของสมเด็จพระสังฆราช ได้เคยเล่าให้ญาติธรรมฟังว่า...
ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงประชวร มีพระอาการหนักมาก มีข่าวลือทั่วไปว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เป็นเหตุให้คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารซึ่งกำลังเดินทางไปประชุมที่กัมพูชาต้องรีบเดินทางกลับ เมื่อถึงกรุงเทพฯแล้วจึงได้รู้ว่ากลุ่มคนชั่วปล่อยข่าวลือ เพราะพระอาการดีขึ้น และเมื่อทรงฟื้นจากประชวรครั้งนั้น ก็ทรงเล่าให้ฟังว่าความจริงครั้งนั้นประชวรหนักมาก เตรียมใจที่จะละสังขารอยู่แล้ว ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อไปทรงเยี่ยม ณ ที่ประทับรักษาพระองค์
คณะแพทย์ได้ถวายรายงานว่าทรงประชวรอาการมากและสิ้นหวังแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปถึงเตียงที่บรรทม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระหัตถ์ทั้งสองจับพระพาหา (ต้นแขน) ของสมเด็จพระองค์ แล้วกราบทูลว่า พระอาจารย์ พระอาจารย์! พระอาจารย์ หม่อมฉันและสมเด็จพระราชินีมาเยี่ยม ทรงตรัสอย่างนี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง สมเด็จพระสังฆราชก็ทรงฟื้นพระสติ และทรงพยักหน้า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า คราวนี้ทรงประชวรหนัก คณะแพทย์บอกว่าเกินกำลังแล้ว หม่อมฉันเองก็ได้ใช้ความพยายามเต็มที่ หมอที่ไหนดีก็หามารักษา ยาอย่างไหนดีก็หามาถวาย แต่พระอาการไม่มีใครจะช่วยได้แล้ว พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้วนะ พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้วนะ
สมเด็จพระสังฆราชทรงพยักหน้ารับคำอาราธนา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จกลับ โดยมิได้ตรัสประการใดอีก
สมเด็จพระสังฆราชทรงประทานเล่าว่า เมื่อได้ยินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า พระอาจารย์ต้องช่วยพระองค์เองแล้ว ก็ทรงระลึกถึงคำสอนในพระบรมศาสดาเรื่องอิทธิบาท 4 ได้ว่า เป็นธรรมโอสถที่เมื่อเจริญแล้วสามารถดำรงพระชนม์ให้ยืนยาวได้ดังปรารถนาถึงกัลป์หรือเกินกว่ากัลป์ เมื่อทรงระลึกได้ดังนี้ จึงทรงเข้าสมาธิดำรงพระจิตอยู่ในวิหารธรรมที่มีชื่อว่าอิทธิบาทตามคำสอนของพระบรมศาสดา และในไม่ช้าพระอาการก็ทุเลา
Edited by ดราม่า, 19 March 2012 - 16:57.
#75
Posted 19 March 2012 - 17:04
แต่ศาสนาพุทธสามารถให้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ (ถ้าวิทยาศาสตร์มีปัญญาที่จะพิสูจน์)
เช่น กรณี เหาะได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ เรื่องเหล่านี้วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้
ถ้ามาปฏิบัติตามหลักศาสนาพุทธ ปัญหาก็คือเขาจะปฏิบัติได้หรือไม่ แต่เราก็ต้องเขาใจว่า
เรื่องเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ส่งเสริม เพราะปฎิบัติได้ระดับนี้ก็ยังไม่ใชทางพ้นทุกข์ยิ่งถ้า
ไปติดอยู่กับเรื่องเหล่านี้แล้วโอกาสที่จะไปผิดทิศผิดทางตามหลักพุทธสาสนาก็จะมีสูง
ท่านที่สนใจเรื่องเหล่านี้ อาจหาบทความของ ดร อาจอง ชุมสาย (ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งเป็น
นักวิทยาศาสตร์ ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็อาจเห็นแง่มุมวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธเพิ่มขึ้น
#76
Posted 19 March 2012 - 17:06
ครูบาอาจารย์ และ ฆราวาส หลายท่าน ที่รู้จัก
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้จะลบหลู่นะครับ...ไม่ทราบว่ามีการทดสอบแล้วหรือยัง
ท่านเหล่านั้น คงไม่ต้องการให้ทดสอบท่านหรอก
เพราะไม่ได้มีประโยชน์อะไร กับท่านและผู้อื่น
เป็นการรู้จิตของศิษย์ เพื่อชี้สภาพธรรมที่ปรากฎในจิต
ความสามารถพิเศษที่ใช้ในการสอนธรรมะ
ถ้าหากมีการทดสอบ อาจจะถูกสอบ เรื่องอวดอุตริมนุสสธรรม อีก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังเรียนธรรมะ
ครูท่านหนึ่ง ถามว่า หลวงพ่อรู้จิตใจลูกศิษย์ เพราะท่านมีเจโตปริยญาณ (อ่านใจคนได้)
หลวงพ่อ ถามกลับว่า ครูรู้ใจ รู้นิสัย นักเรียนไหม
ครู ก็ตอบว่า รู้
หลวงพ่อท่านว่า แสดงว่า ครูมีเจโตฯ ใช่ไหม?
หลวงพ่อท่านนี้ ฉลาดที่จะตอบ โดยไม่อาบัติ คือ ไม่โกหก และไม่อวดฯ
แต่ เรื่อง เจโตฯ เป็น อภิญญา ในระดับโลกียญาณ ปถุชนก็มีได้
#77
Posted 19 March 2012 - 17:08
Edited by Norachon, 19 March 2012 - 17:11.
#78
Posted 19 March 2012 - 17:14
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
เห็นแค่คำถามก็ละเหี่ยหดหู่ใจในตรรกะแล้วครับ
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ถ้าคนมันเหาะได้ทุกคน พระพุทธเจ้าจะต้องไปเรียนทำไม
พระพุทธเจ้าไปเรียนอะไรหรือ ????? อย่าบอกนะ วิชาเหาะ
ตรรกะไม่เป็นเหตุเป้นผล แล้วยังพูดเองเออเองให้ดูไร้สาระเหมือนว่าคนอื่นพูด
ขอโทษครับ ผมไม่ใช่เขา ครับ แต่ขี้เกียจตอบ พวกที่่ เป็นแต่ขับรถผ่านวัด
ผมจะว่าให้ฟังแล้วกัน ตอนที่พระพุทธเจ้าท่าน เสด็จออกจากเมือง มา ท่านไปหา ความรู้ที่จะหลุดพ้น ในลักธิต่างๆ และสุดท้ายไปได้
อาจารย์ สอน ญาณ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่ง อาฬารดาบสสินได้ญาณ 7 ส่วนอุทกดาบส สอนได้ญาณ 8 แต่ก็ไม่ใช่ทาง เมื่อตอนพระพุทธเจ้า ตรัสรู ไม่มีการบอกไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าที่ได้เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ตอนที่จะแสดง อิทธิเพื่อจำพรรษา ที่ดาวดึงส์ เป็นกิจของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านทำได้ แสดงว่าท่านได้มาก่อน ตั้งแต่อยู่กับอาฬารดาบส และอุทกดาบส แล้ว เพราะแค่ญาณ 4 ก็แสดงอิทธฤิทธิ์ได้ แล้ว
ครูบาอาจารย์ และ ฆราวาส หลายท่าน ที่รู้จัก
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้จะลบหลู่นะครับ...ไม่ทราบว่ามีการทดสอบแล้วหรือยัง
อันนี้ผมโดนมากับ ตัวเอง เหมือนกัน ครับ ครั้งหนึ่งที่ผมไป วัดป่าห้วยกุม ชัยภูมิ ไปปฏิบัติ ธรรมในป่าข้างวัด ตอนกลางคืน ขณะเดินจงกรมอยู่เหมือนเห็นเงาคนที่หางตา จิตเกิดอาการกลัวขึ้นมาแต่บังคับจิตไปว่าถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่ขอออกจากทางเดินจงกรม เดินจงกรมแล้วนั้งสมาธิต่อตรงหัวทางจงกรมถึงเช้า วันรุ่งขึ้นก็นั้งพิจราณา ถึงสังขารแต่พิจราณาไม่ออก จึงขึ้นไปถามหลวงพ่อสายทอง มีอยู่คำที่ผมต้องฉงน ท่านบอกว่าวัดนี้ไม่มีอะไรต้องกลัว มันเป็นธรรมดาของมันแบบนี้ ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย แค่ถามท่านเรื่องพิจราณาสังขาร ตอบเสร็จท่านก็พูดเรื่องนี้เลย แต่ผมคิดไว้แล้วว่าต้องมีคนไปดูแน่ อีกครั้ง ตอนกลับ มีคนเอาก้อนหินสวยเป็นประกายมาถามท่านว่าเป็นอะไร ท่านตอบเป็นเพชรหน้าถ้ำ ขณะนั้นผมนั้งอยู่
เลยพิจราณา ว่าเราอยากได้ของเขาไหม มันเป็นก้อนหินธรรมดาพิจราณาไปจนเพชรพลอย ท่านพูดมาคำหนึ่ง ว่า จิตไม่ต้องไปทดสอบมันหรอก มันมีมาให้ทดสอบตลอดนั้นล่ะ
เจอของจริงเลย จะไม่ให้เชื่อได้ไง ครับ
Edited by ter162525, 19 March 2012 - 17:17.
#79
Posted 19 March 2012 - 17:14
ความหมายของบัวสี่เหล่าตามนัยอรรถกถา
- (อุคคฏิตัญญู) พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
- (วิปจิตัญญู) พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
- (เนยยะ) พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
- (ปทปรมะ) พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
ผมเข้าใจว่าทำไมโปกถึงได้มีความคิดแค่นี้ ไม่ต่างอะไรกับบัวเหล่าที่ 4 เลย
อเสวนา จ พาลานํ ปญฺฑิตานญฺจ เสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
"Two things are infinite: the universe and human stupidity; and I'm not sure about the the universe."Einstein's words.
"ประเทศไทยจะปฏิรูปไม่ได้ ด้วยการนอนอยู่บ้านเฉยๆ"
#80
Posted 19 March 2012 - 17:18
Edited by อิสระในกรอบ, 19 March 2012 - 17:22.
#81
Posted 19 March 2012 - 17:25
#82
Posted 19 March 2012 - 17:31
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
เห็นแค่คำถามก็ละเหี่ยหดหู่ใจในตรรกะแล้วครับ
สมัยก่อนคนเหาะได้ สมัยนี้จะสร้างเครื่องบินมาทำไม
ถ้าคนมันเหาะได้ทุกคน พระพุทธเจ้าจะต้องไปเรียนทำไม
พระพุทธเจ้าไปเรียนอะไรหรือ ????? อย่าบอกนะ วิชาเหาะ
ตรรกะไม่เป็นเหตุเป้นผล แล้วยังพูดเองเออเองให้ดูไร้สาระเหมือนว่าคนอื่นพูด
ขอโทษครับ ผมไม่ใช่เขา ครับ แต่ขี้เกียจตอบ พวกที่่ เป็นแต่ขับรถผ่านวัด
ผมจะว่าให้ฟังแล้วกัน ตอนที่พระพุทธเจ้าท่าน เสด็จออกจากเมือง มา ท่านไปหา ความรู้ที่จะหลุดพ้น ในลักธิต่างๆ และสุดท้ายไปได้
อาจารย์ สอน ญาณ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่ง อาฬารดาบสสินได้ญาณ 7 ส่วนอุทกดาบส สอนได้ญาณ 8 แต่ก็ไม่ใช่ทาง เมื่อตอนพระพุทธเจ้า ตรัสรู ไม่มีการบอกไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าที่ได้เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ตอนที่จะแสดง อิทธิเพื่อจำพรรษา ที่ดาวดึงส์ เป็นกิจของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านทำได้ แสดงว่าท่านได้มาก่อน ตั้งแต่อยู่กับอาฬารดาบส และอุทกดาบส แล้ว เพราะแค่ญาณ 4 ก็แสดงอิทธฤิทธิ์ได้ แล้ว
ครูบาอาจารย์ และ ฆราวาส หลายท่าน ที่รู้จัก
สามารถอ่านจิต อ่านใจ ผู้อื่นได้
วิทยาศาสตร์ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ได้จะลบหลู่นะครับ...ไม่ทราบว่ามีการทดสอบแล้วหรือยัง
อันนี้ผมโดนมากับ ตัวเอง เหมือนกัน ครับ ครั้งหนึ่งที่ผมไป วัดป่าห้วยกุม ชัยภูมิ ไปปฏิบัติ ธรรมในป่าข้างวัด ตอนกลางคืน ขณะเดินจงกรมอยู่เหมือนเห็นเงาคนที่หางตา จิตเกิดอาการกลัวขึ้นมาแต่บังคับจิตไปว่าถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่ขอออกจากทางเดินจงกรม เดินจงกรมแล้วนั้งสมาธิต่อตรงหัวทางจงกรมถึงเช้า วันรุ่งขึ้นก็นั้งพิจราณา ถึงสังขารแต่พิจราณาไม่ออก จึงขึ้นไปถามหลวงพ่อสายทอง มีอยู่คำที่ผมต้องฉงน ท่านบอกว่าวัดนี้ไม่มีอะไรต้องกลัว มันเป็นธรรมดาของมันแบบนี้ ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย แค่ถามท่านเรื่องพิจราณาสังขาร ตอบเสร็จท่านก็พูดเรื่องนี้เลย แต่ผมคิดไว้แล้วว่าต้องมีคนไปดูแน่ อีกครั้ง ตอนกลับ มีคนเอาก้อนหินสวยเป็นประกายมาถามท่านว่าเป็นอะไร ท่านตอบเป็นเพชรหน้าถ้ำ ขณะนั้นผมนั้งอยู่
เลยพิจราณา ว่าเราอยากได้ของเขาไหม มันเป็นก้อนหินธรรมดาพิจราณาไปจนเพชรพลอย ท่านพูดมาคำหนึ่ง ว่า จิตไม่ต้องไปทดสอบมันหรอก มันมีมาให้ทดสอบตลอดนั้นล่ะ
เจอของจริงเลย จะไม่ให้เชื่อได้ไง ครับ
เจอมาคล้ายๆกัน แต่ไม่รู้จะเล่ายังไง ของอย่างนี้ต้องไปเจอกับครูบาอาจารย์ด้วยตัวเองถึงจะรู้ครับ
#83
Posted 19 March 2012 - 17:33
#84
Posted 19 March 2012 - 17:33
ส่วนวิชาอ่านใจนั้นผมเชื่อว่ามีจริง เพราะแค่ตัวเองที่ยังไม่ถึงขั้น ช่วงที่ปฏิบัติเคร่งๆรักษาจิตดีๆ
ถึงจะอ่านความคิดคนไม่ออก แต่อ่านอารมณ์ออกแทบจะทุกเม็ด เพราะจิตละเอียดพอที่จะสังเกต
เห็นแม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆบนใบหน้าได้ ดังนั้นผมเชื่อว่าท่านที่ฝึกได้ในขั้นสูงมากๆ น่าจะทำได้ยิ่งกว่านี้
#85
Posted 19 March 2012 - 17:45
มันเป็นบัวเหล่าที่ห้าบัว 4 เหล่า cr. wikipedia
ความหมายของบัวสี่เหล่าตามนัยอรรถกถา
- (อุคคฏิตัญญู) พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
- (วิปจิตัญญู) พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
- (เนยยะ) พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
- (ปทปรมะ) พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
ผมเข้าใจว่าทำไมโปกถึงได้มีความคิดแค่นี้ ไม่ต่างอะไรกับบัวเหล่าที่ 4 เลย
เรียกว่าบัว เต่าถุย
#86
Posted 19 March 2012 - 18:00
ผมเข้าใจว่า บริบทของท่าน ว. ไม่ใช้เหมือนที่ คุณGop ตีความ
คำว่า งมงาย + ในวิทยาศาสตร์ น่าจะมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วคือ อย่าสักแต่อ้างวิทยาศาสตร์เพียงเพราะเชื่อ
มิได้หมายความอย่างคุณGop ที่ไปตีความว่า ท่าน ว. บอกวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งงมงาย
คุณว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีมั๊ยล่ะ แล้วคุณรู้สึกยังไงกับเสื้อแดงที่อ้างประชาธิปไตยแบบงมงาย?
การบอกว่า "คนโบราณบินได้ขัดหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ยังไม่เคยพิสูจน์(ด้วยอภิญญาจิต)" ถามว่าเป็นความงมงายในวิทยาศาสตร์หรือไม่?
๑ ผมไม่แน่ใจว่าท่าน ว.วชิรเมธี เข้าใจคำว่า "วิทยาศาสตร์" อย่างที่ผมเข้าใจหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกว่าคำ คำนี้ ใช้กันโดยไม่ทราบเลยว่าจริงๆแล้วมันหมายถึงอะไร หลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ผมถึงได้รู้สึกค้านกับคำว่า "งมงายในวิทยาศาสตร์" มาก เพราะผมรู้สึกว่า คนที่เข้าใจวิทยาศาสตร์จริงๆ จะไม่งมงายกับมัน
๒ ผมเชื่อว่า ถ้าจะให้ถูกต้องคือ อย่าเข้าใจวิทยาศาสตร์ผิดๆ มากกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่า การสรุปว่า "คนบินได้ขัดหลักวิทยาศาสตร์" นั้นเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มี ไม่สามารถสรุปว่ามนุษย์บินได้
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#87
Posted 19 March 2012 - 18:07
โปกถึงกับเล่นข่าวนี้เลยเหรอ ไม่กลัวนรกจะรับประทานศีรษะหรือไง
คนเราคิดต่างได้ แต่อย่าคิดชั่ว
ไม่ว่าจะมุมนี้หรือมุมไหน ถ้ามันเป็นเรื่องงี่เง่าไม่ขอเสียเวลามองว่ะ
#88
Posted 19 March 2012 - 18:10
นี่คือ ความเชื่อของไอ้โปก
#89
Posted 19 March 2012 - 18:22
แต่ผมก็ไม่ชอบพวกที่หมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้ หรือให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากกว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง
(เช่นเดียวกับที่ผมไม่เห็นด้วยกับพวกเสื้อแดงที่หลงเชื่อข้อความของไอ้หงอกหรือพวกนิติแรดทั้งที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์)
Edited by Huligan, 19 March 2012 - 20:47.
#90
Posted 19 March 2012 - 18:22
แต่สาระสำคัญอยู่ที่ว่า กระทู้ที่โพสแต่ครั้งนั้น นอกจากไม่มีสาระแล้ว ยังเป็นการประจารณ์การทำงาน ที่ไม่ได้เรื่อง แถมยังเป็นการตอกย้ำให้ประชาชนทั่วไปมองว่าคนเสื้อแดงนั้นด้อยคุณภาพ และ สะท้อนความสามารถในการคัดสรรคนที่ทำงานให้รัฐบาลนี้ด้วยว่า ห่วยแค่ไหน เช่นกระทู้ให้ร้าย พระ เช่นนี้ เมืองไทยเป็นเมือง พุทธ นะอย่าลืม
ป.ล.ถ้าหัวหน้า คนที่มาตรวจสอบ คนจ่ายเงิน หรือว่า จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ มาพบเห็นข้อความนี้ยังไม่ต้องเชื่อนะ แต่กรุณาตรวจสอบย้อนหลังเอา การโพสแต่ละครั้งนั้นเป็นเช่นไร ผมขอแนะนำเป็นการส่วนตัวนะว่าให้เปลียนตัวก็ได้แต่ใช้ Login เดิมเผื่ออะไรมันจะดีขึ้น เพราะทุกวันนี้ไม่มีความประเทืองปัญญาใดๆจากกระทู้ของ PookLook อีกเลยแถมยังย้อนเข้าตัวซะส่วนใหญ่ (ผมหมายความว่าไม่ได้ชอบให้คนมาทะเลาะกันนะ แต่ชอบอ่านข้อมูลของแต่ละฝ่ายที่เอามาหักล้างกันมากกว่า)
ด้วยความนับถือ
SUPER@
Edited by SUPER@, 19 March 2012 - 18:28.
#91
Posted 19 March 2012 - 18:23
ความจริงท่าน ว ท่านก็ไม่ได้พูด เพื่อที่จะให้ใครมาเชื่อถือนะครับ เมื่อพิธีกรไปถามท่าน
ท่านก็ตอบ เมื่อพิธีกรเอาวิทยาศาสตร์ไปถามแย้งท่านอีก ท่านก็ย้อนวิทยาศาสตร์บ้าง
เท่านั้น
ผมอ่านความเห็นที่โจมตีท่าน ว ที่ปุ๊กลุ๊ก เอามาโพส แล้วผมนึกถึงคนตาบอดแต่กำเนิด
เพราะคนตาบอดแต่กำเนิดนี่เขาไม่มีโอกาสเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่คนตาดีเห็น แม้แต่เราบอกว่า
บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ลอยอยู่ เขาก็จะไม่รู้ ไม่เชื่อ เพราะเขาไม่เคยเห็น บางครั้งเขาอาจ
บอกว่าเราโกหกด้วยซ้ำ
เรื่องของศาสนาพุทธ คนที่ไม่ศึกษา ไม่หมั่นปฏิบัติ ก็เหมือนคนตาบอดนั่นแหละครับ อ่าน
คัมภีร์จบหมดทุกเล่ม ก็ได้แต่รู้ครับ แต่ไม่ได้ความจริง เพราะความจริงต้องปฏิบัติเอง ถ้า
เมื่อใดแค่เคยอ่าน หรือเคยศึกษามาบ้าง การวิพากษ์วิจารณ์มันก็จะออกมาแค่ที่ตนเคยอ่าน
เคยศึกษา แบบเป็นท่อน ๆ นั่้นแหละ สุดท้ายก็สรุปง่าย ๆ ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้งมงาย
โดยไม่ได้พิจารณาว่า ที่เขาพูดนั้น เขาพูดให้งมงาย หรือเขาพูดเพราะตอบคำถาม
ถูกต้องครับ
#92
Posted 19 March 2012 - 18:27
เราเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ชาติอื่นๆ เรียก hieroglyplic จะมีภาพ มนุษย์ต่างด้าว หรือคนสมัยก่อนคิดว่าเป็นพระเจ้า นั่งยานพาหนะ ลอยได้ ของชนเผ่าอินคา ก็มี
ปุกลุกคิดว่าสมัยนั้น มีจานบินไหมเป็น วิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์ ล่ะ ในความคิดของปุกลุก ทั้งๆ 2 แผนดินนี้ อยู่ไกลกันมาก หรืออีกนัยหนึ่ง อาจจะเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันแล้วเปลือกโลกเคลื่อนตัว
ไม่ว่าศาสนาไหนๆ ก็มีเรื่องอภินิหารแทรก
จริงไม่จริง ไม่รู้ได้ เพราะไม่เคยเห็นจริงๆ กับตา
ศาสนาพุทธถึงได้สอนว่า อย่าเชื่อที่ตาเห็น อย่าเชื่อเพราะพ่อ แม่ อย่าเชื่อเพราะครู ให้พิสูจน์ว่าจริง จึ่งจะเชื่อได้ (เราจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร)
ขนาดมีคนบ้าๆ บอกทักษิณ เป็นเจ้ามูลเมืองมาเกิดเพื่อนๆเสื้อแดงของปุกลุก ยังเชื่อเลยนี่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประวัติของเจ้ามูลเมืองเลย ไม่มีการจารึกอะไรเกี่ยวกับเจ้ามูลเมือง
เราเป็นคนปรี๊ดดด ง่ายไม่กี่เรื่อง นอกจากสถาบัน ก็เรื่องศาสนานี่แหละ
อย่าให้เราใช้คำหยาบคาย
Edited by koong, 19 March 2012 - 18:28.
#93
Posted 19 March 2012 - 18:29
อันนี้คุณ Gop ก็เข้าใจผิดครับ เขาหมายถึงปรัชญาจารวาก คือพวกวัตถุนิยม ลองอ่านดูครับ http://www.oknation....1/03/03/entry-2
เห็นแย้งครับ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามี ถึงแม้มองไม่เห็นก็เชื่อได้ครับ อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคลื่นวิทยุมีจริง ถึงแม้มองไม่เห็นก็ตาม แต่สามารถรับส่งสัญญาณได้ ควบคุมได้ตามที่ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าได้ทำนายไว้ทุกประการ เราถึงยอมรับการมีอยู่ของมันท่านว.ท่านพูดถูกแล้ว คนที่ไม่เคยศึกษาไม่เคยทำความเข้าใจ ก็เลย"ไม่รู้" ดันไปด่าท่าน พวกยึดวิทยาศาสตร์นี้ก้อนะ จารวากจริงๆ (คือเชื่อเฉพาะสิ่งที่คนสัมผัสได้ สิ่งที่สัมผัสไม่ได้จะบอกว่าไม่มีทันที)
เอาเป็นว่า ผมเห็นว่ามีความต่างอย่างชัดเจนระหว่างการไม่เชื่ออะไรที่สัมผัสไม่ได้กับวิทยาศาสตร์ ก็แล้วกันครับ
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#94
Posted 19 March 2012 - 18:57
#95
Posted 19 March 2012 - 19:08
ส่วนตัว ในพระไตร ก็เป็นอะไรที่พูดอยากนะครับ แต่ก็เชื่อแบบมีเหตุและผลครับ พินิจ พิเคราะห์ พิจารณา 3 ประโยค์นี้ น่าจะช่วยกระจ่างได้ทุกคำตอบนะครับ
ผมว่าหลักปฎิบัติ สามารแสดงให้เห็นคำตอบได้อย่างชัดเจน ครับ การเถียงกันแสดงถึงกิเรด ของแต่ละคนครับ
#96
Posted 19 March 2012 - 19:43
ผมเข้าใจว่า บริบทของท่าน ว. ไม่ใช้เหมือนที่ คุณGop ตีความ
คำว่า งมงาย + ในวิทยาศาสตร์ น่าจะมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วคือ อย่าสักแต่อ้างวิทยาศาสตร์เพียงเพราะเชื่อ
มิได้หมายความอย่างคุณGop ที่ไปตีความว่า ท่าน ว. บอกวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งงมงาย
คุณว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีมั๊ยล่ะ แล้วคุณรู้สึกยังไงกับเสื้อแดงที่อ้างประชาธิปไตยแบบงมงาย?
การบอกว่า "คนโบราณบินได้ขัดหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ยังไม่เคยพิสูจน์(ด้วยอภิญญาจิต)" ถามว่าเป็นความงมงายในวิทยาศาสตร์หรือไม่?
๑ ผมไม่แน่ใจว่าท่าน ว.วชิรเมธี เข้าใจคำว่า "วิทยาศาสตร์" อย่างที่ผมเข้าใจหรือเปล่า เพราะผมรู้สึกว่าคำ คำนี้ ใช้กันโดยไม่ทราบเลยว่าจริงๆแล้วมันหมายถึงอะไร หลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร ผมถึงได้รู้สึกค้านกับคำว่า "งมงายในวิทยาศาสตร์" มาก เพราะผมรู้สึกว่า คนที่เข้าใจวิทยาศาสตร์จริงๆ จะไม่งมงายกับมัน
๒ ผมเชื่อว่า ถ้าจะให้ถูกต้องคือ อย่าเข้าใจวิทยาศาสตร์ผิดๆ มากกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่า การสรุปว่า "คนบินได้ขัดหลักวิทยาศาสตร์" นั้นเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มี ไม่สามารถสรุปว่ามนุษย์บินได้
ผมเข้าใจคุณGop แต่ผมว่าท่าน ว. ตอบตามความหมายของวิทยาศาสตร์ตามนัยของผู้ถาม เพราะผู้ถามขึ้นต้นเลยว่า ตามหลักวิทยาศาสตร์มันเป็นไปไม่ได้? และถ้าจะให้ ท่าน ว. มานั่งตอบเหมือนข้อ 2 ของคุณGop มันก็ไม่ใช้การสนทนาเชิงปรัชญา แต่มันกลายเป็นภาษาศาสตร์ไป
Edited by ดราม่า, 19 March 2012 - 19:43.
#97
Posted 19 March 2012 - 19:54
ท่านว.วชิระเมธี /// "อะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนั้น ถือเอาว่าไม่มี ได้ไหม"
วู๊ดดี้ตอบว่า /// "ไม่ได้" ...
วิทยาศาสตร์ ที่แท้จริงคือ การยอมรับแต่ความจริงที่พิสูจน์แล้ว แต่วิทยาศาสตร์ ไม่ลบหลู่ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ตั้งหน้าตั้งตาหาทางพิสูจน์ สิ่งเหล่านั้น ... แต่คนที่อ้างวิทยาศาตร์ไปดูถูกสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แบบเหมารวม ว่าโกหกหลอกลวง นี่คือ พวกงมงายในวิทยาศาสตร์ ครับ ..
สิ่งนี้คือที่ท่าน ว.วชิระเมธี ต้องการจะสื่อ หรือไม่ ...
อีกประเด็นหนึ่ง ที่อยากเสริม ... วิทยาศาสตร์ จะยอมรับ ในสิ่งที่พิสูจน์ได้ ที่จริงแล้ว วิทยาศาสตร์ จะพิสูจน์ สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่มีมวล มีรูปร่าง สัมผัสได้(ตา จมูก หู ลิ้น กาย) หรือมองไม่เห็น ก็ต้อง อ่านค่าได้ เช่นพลังงานในรูปต่างๆ ...
คำกล่าวที่ว่า "คนเหาะได้" มาจากไหน ส่วนตัวเชื่อว่า ตามคำอธิบายหนึ่งว่าไว้ สมัยโบราณ คนคนเดียว ไปปรากฎตัวในต่างสถานที่ ที่ห่างกันมาก ได้อย่างไร เหมือนกับว่า เหาะมา นี่เป็นเหตุของคำว่า บุคคล ท่านนั้นเหาะมา แน่ๆ ....
แต่ในทางการฝึกวิปัสนา เหาะได้ สิ่งที่น่าจะใกล้เคียงที่สุด น่าจะ เป็นการถอดจิต ออกจากกายเนื้อ (เหาะเลย นี่ผมยังชั่งใจอยู่ครับ) แต่จิตที่แรงกล้าของผู้ฝึกฝนนี่ ตะหาก ที่ทำให้จิตที่ถอดออกมา มีพลังงานมากพอ ที่จะให้สร้างรูปร่างให้คนอื่นเห็นได้ .... สมมุติฐานของวิทยาศาสตร์ จึงเริ่มพยายาม พิสูจน์จากตรงนี้ โดยการพยายามมองหาพลังงานที่หลุดออกจากร่างกายคนที่ฝึกวิปัสนา ...
ส่วนตัว โลกของมนุษย์ ปุถุชน เป็นโลกของโลกียะ ที่ใช้ ผัสสะทั้ง5 ในการรับรู้ .... แต่โลกของศาสนาชั้นสูง เป็นโลกของโลกุตระ ซึ่งต้องใช้ จิต เป็นสัมผัส ...วิทยาศาสตร์พื้นฐาน จึงพิสูจน์ได้แค่ โลกียะ แต่นักวิทยาศาสตร์ ก็มีเหมือนกัน ที่ใช้การฝึกวิปัสนา ในการทำเข้าใจ โลกที่ผัสสะทั้ง5 สัมผัสไม่ได้ ตรงนี้ก็เห็นนักวิทยาศาสตร์หลายคน ยอมรับมาแล้ว นี่ครับ ...
Edited by นักเรียนตลอดชีพ, 19 March 2012 - 20:03.
.. เห็นได้ชัด ประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำให้ได้มา ซึ่งผู้นำที่เก่ง และ ฉลาด ..
ที่นำความอยู่ดี กินดี มาให้ประชาชนได้ แล้วคุณยังจะอ้างประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ทำไม
#98
Posted 19 March 2012 - 20:17
#99
Posted 19 March 2012 - 20:21
#100
Posted 19 March 2012 - 20:22
คุณตะกวดจะไม่เล่าประสบการณ์ให้สมาชิกฟังหน่อยหรือครับ