"ว.วชิรเมธี" เชื่อคนสมัยก่อนเหาะได้ สอนอย่างมงายในวิทยาศาสตร์
#101
Posted 19 March 2012 - 20:55
โพสแล้วก็หายจ้อย อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
#102
Posted 19 March 2012 - 20:56
ส่วนตัว ก็ศึกษาในทางธรรม มาบ้าง ฝึกวิปัสนา มาบ้าง แม้ปัจจุบัน จะห่าง ล้างลา มานาน ก็ยังมั่นใจว่า สิ่งที่เคยรู้มาเกี่ยวกับพุทธศาสนา ยังยึดเอาเป็นความจริงได้อยู่ ครับ ผมลองตีความสิ่งที่ท่านว.วชินะเมธีกล่าวในรายการไว้ ... ท่านว. มิได้ดูถูก วิทยาศาสตร์ แต่ท่านพูดความจริงของวิทยาศาสตร์ ซึ่ง วู๊ดดี้เอง ก็ยอมรับ ...จากคำพูดที่ว่า ...
ท่านว.วชิระเมธี /// "อะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนั้น ถือเอาว่าไม่มี ได้ไหม"
วู๊ดดี้ตอบว่า /// "ไม่ได้" ...
วิทยาศาสตร์ ที่แท้จริงคือ การยอมรับแต่ความจริงที่พิสูจน์แล้ว แต่วิทยาศาสตร์ ไม่ลบหลู่ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ตั้งหน้าตั้งตาหาทางพิสูจน์ สิ่งเหล่านั้น ... แต่คนที่อ้างวิทยาศาตร์ไปดูถูกสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แบบเหมารวม ว่าโกหกหลอกลวง นี่คือ พวกงมงายในวิทยาศาสตร์ ครับ ..
สิ่งนี้คือที่ท่าน ว.วชิระเมธี ต้องการจะสื่อ หรือไม่ ...
อีกประเด็นหนึ่ง ที่อยากเสริม ... วิทยาศาสตร์ จะยอมรับ ในสิ่งที่พิสูจน์ได้ ที่จริงแล้ว วิทยาศาสตร์ จะพิสูจน์ สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่มีมวล มีรูปร่าง สัมผัสได้(ตา จมูก หู ลิ้น กาย) หรือมองไม่เห็น ก็ต้อง อ่านค่าได้ เช่นพลังงานในรูปต่างๆ ...
คำกล่าวที่ว่า "คนเหาะได้" มาจากไหน ส่วนตัวเชื่อว่า ตามคำอธิบายหนึ่งว่าไว้ สมัยโบราณ คนคนเดียว ไปปรากฎตัวในต่างสถานที่ ที่ห่างกันมาก ได้อย่างไร เหมือนกับว่า เหาะมา นี่เป็นเหตุของคำว่า บุคคล ท่านนั้นเหาะมา แน่ๆ ....
แต่ในทางการฝึกวิปัสนา เหาะได้ สิ่งที่น่าจะใกล้เคียงที่สุด น่าจะ เป็นการถอดจิต ออกจากกายเนื้อ (เหาะเลย นี่ผมยังชั่งใจอยู่ครับ) แต่จิตที่แรงกล้าของผู้ฝึกฝนนี่ ตะหาก ที่ทำให้จิตที่ถอดออกมา มีพลังงานมากพอ ที่จะให้สร้างรูปร่างให้คนอื่นเห็นได้ .... สมมุติฐานของวิทยาศาสตร์ จึงเริ่มพยายาม พิสูจน์จากตรงนี้ โดยการพยายามมองหาพลังงานที่หลุดออกจากร่างกายคนที่ฝึกวิปัสนา ...
ส่วนตัว โลกของมนุษย์ ปุถุชน เป็นโลกของโลกียะ ที่ใช้ ผัสสะทั้ง5 ในการรับรู้ .... แต่โลกของศาสนาชั้นสูง เป็นโลกของโลกุตระ ซึ่งต้องใช้ จิต เป็นสัมผัส ...วิทยาศาสตร์พื้นฐาน จึงพิสูจน์ได้แค่ โลกียะ แต่นักวิทยาศาสตร์ ก็มีเหมือนกัน ที่ใช้การฝึกวิปัสนา ในการทำเข้าใจ โลกที่ผัสสะทั้ง5 สัมผัสไม่ได้ ตรงนี้ก็เห็นนักวิทยาศาสตร์หลายคน ยอมรับมาแล้ว นี่ครับ ...
ถ้าคนศึกษาแล้วดำเนินตามคำสอนพุทธองค์จะสังเกตุเห็นได้ว่า พระพุทธองค์เน้นไปที่ "จิต" โดยเฉพาะเลย ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา และความมุ่งมั่นของจิต, มโน หรือวิญญาณ สิ่งที่พระพุทธองค์สั่งสอนให้มรรคานุคาทั้งหลายดำเนินคือการฝึกจิต ตามครรลองของอริยสัจสี่ ซึ่งเป็นดังคัมภีร์พาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เรียนรู้ได้ไปสู่ความเป็นอมตะของพระนิพพาน
ผู้ควบคุม และเห็นได้ถึงการเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลาของจิต, มโน หรือวิญญาณ นั่นคือผู้ค้นพบประตูสู่นิพพานของพระพุทธองค์ ดังพระอรหันต์เจ้าหลายๆองค์ในอดีต...
#103
Posted 19 March 2012 - 21:40
เมื่อก่อนคนเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล
เมื่อก่อนคนเชื่อว่าเวลาคือสิ่งที่คงที่
เมื่อก่อนคนคิดว่าอะตอมคือธาตุที่เล็กที่สุด แต่ปจบ เมื่อค้นลึกลงไปมีธาตุเล็กๆอีกมากมายที่เล็กมากๆจนเกือบจะเรียกได้ว่าว่างเปล่า ดังนั้นสิ่งมีชีวิตอย่างเราๆนั้นเกิดมาจากอะไร ความว่างเปล่าหรือ อะไรคือพลังขับเคลื่อนให้เราเดิน คิด พูด และอยู่ดีๆก็ตายไ่ปเมื่อหมดอายุไขของมัน วิทยาศาสตร์ยังตอบไม่ได้เลย
มดดำรงชีวิตในโลก 2 มิติ ไม่เคยเห็นว่า โลก 3 มิติเป็นไง มันคิดไม่ออกเพราะในโลกของมันมีแค่สองมิติ คนก็ดำรงชีวิตในโลก 3 มิติ โดยใช้กายเนื้อสัมผัส ไม่รู้ว่ามีมิติที่ 4 ที่เชื่อกันว่าสัมผัสได้ด้วยจิตละเอียดเท่านั้น การเหาะเหินเดินอากาศก็คือการเดินทางในมิติที่ 4 โดยจิต ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์
เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า มิติที่สี่นี้ผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น เล่าให้ใครฟังก็ไม่เข้าใจ นึกภาพไม่ออก เพราะคนไม่รู้จักมิติที่สี่ จะสัมผัสมิติที่สี่ก็ด้วยจิตเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องไ่ฝึกจิตก่อนถึงจะรู้ได้
ก่อนจะว่าอะไรใครศึกษาให้ดีก่อน อย่าหัดมีอคติให้มาก วิทยาศาสตร์มีจุดอ่อนก็เยอะแหกตาอ่านหนังสือบ้าง วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีนะ
รู้สึก ีพวกเสื้อแดงนี่มันทำตัวหัวก้าวแบบเว่อร์ๆ ไร้สติ บูชาเงิน และปชตกลวงๆ บ่นด่าศาสนา
คือแบบว่าวัตถุนิยมจัดๆ มองอะไรตื้นๆ ต่ำๆ เถื่อน ถ่อย กุ้ย โทษทีนะพิมพ์ผิดเยอะใช้ไอโฟนพิมพ์
#104
Posted 19 March 2012 - 21:48
#105
Posted 19 March 2012 - 21:52
-เป็นการนำศานามาเถียงเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่
-แสดงความเห็น บนเนื้อที่ และเวลาที่จำกัด จะเป็นที่เข้าใจ ชัดเจนหรือไม่
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า จะทดลองดู
แกนกลางของศานาพุทธคือ อนัตตา ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถีง
อนัตตาหมายความว่า ไม่อยู่ในบังคับบัญชา ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สิ่งใดเกิดขึ้นก็ต้องมีเหตุ
มีปัจจัย ทำให้เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ และเนื่องจากสภาพธรรมอันเป็นอนัตตานี้เองจึงทำให้เกิดทุกข์
ทุกข์ในความหมายของศาสนาพุทธ ไม่ได้หมายความว่า เป็นความเจ็บปวดเพียง ทางกาย ทางใจเท่านั้น
ทุกข์ในศานาพุทธหมายความว่า ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ในเมื่อไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้
นี้เอง จึงทำให้เกิดทุกข์ เพราะ อนัตตาไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร( แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ตาม)
สภาพธรรมทั้งปวง นั้น ไม่ไช่ตัวตน ไม่ไช่สัตว์ ไม่ไช่บุคคล มีลักษณะเฉพาะ ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่
ก็ตาม ใครจะเรียกว่าอะไรก็ตาม หรือไม่เรียกว่าอะไรก็ตาม สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุและปัจจัยแล้วดับไป พระองค์ทรงแสดงธรรม แก่ท่านพระอานนท์ว่า
“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา”
คำว่า สัตว์ บุคคล หญิง ชาย ฯลฯ เป็นเพียงคำบัญญัติ ให้รู้ความหมายของสิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่รู้สึก จะวิจิตรพิศดารเพียงใด ก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่มีสิ่งที่ไปรู้ สิ่งที่ไปคิด สิ่งที่ไปเห็น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ สภาพธรรมที่รู้ความหมาย นึกคิด เรื่องต่างๆว่า “จิต”
จิตนี้เอง ทีทำให้เกิด ความวิจิตร พิศดาร และลึกชั้งเกินกว่าที่ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจได้โดยง่าย
เราเติบโตมาภายใต้กรอบคิดแบบวิทยาศาสตร์ นับแต่ ยุคของ NEWTON มาถึง วันนี้ ของ STEVEN HAWKING
ถ้าถามว่า อะไรคือสิ่งที่เร็วที่สุดในจักรวาล คำตอบก็คือ แสง และวันนี้ cern กำลังพยายามพิสูจน์ว่ามีสิ่งใดเร็วกว่า
แสงอีก หรือไม่ เพื่อจะหา อนุภาคพระเจ้า หรือ higgs
แต่ถ้าถามทางพุทธศาสนา ว่าสิ่งใดเร็วที่สุด ท่านจะได้คำตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า จิต
แสงงใช้เวลา 8 นาทีเดินทางถึงดวงอาทิตย์ แต่ จิตไม่ใช้เวลาเลย ท่านนึกถึงดวงอาทิตย์ จิตของท่านก็อยู่ที่นั้นได้ทันที
พระพุทธองค์ทรงมุ่งแสดงเฉพาะทางดับทุกข์เท่านั้น ไม่เคยสอนถึงอิทธิ ปาฎิหารย์แม้สิ่งนั้นจะมีจริงตามพระไตรปิฎก
เพราะไม่ทำให้เราหลุดพ้นไปจากความทุกข์ เราก็ต้องอยู่ภายใต้ สถาพธรรมที่เป็นอนัตตาอยู่ดี
การอุบัติขึ้นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องยาก ใช้เวลายาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ต้องให้ถึงพร้อมทั้งเหตุและปัจจัย เจ้าชายสิทธัตถะ ใช้เวลานานถึง4 อสงไขยแสนกัปป์ (หนึ่งอสงไขยเท่ากับ เลขหนึ่ง ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว)
จนกระทั่งรู้แจ้ง เห็นจริง พระพุทธองค์สามารถที่จะล่วงรู้ได้หมดทุกสิ่งในจักรวาล ถ้าปรารถนาจะรู้ เราเรียกคุณสมบัติอันนี้ว่า
ตรัสรู้
จุดประสงค์ของการศิกษาเรื่องจิต ไม่ไช่เพื่อต้องการเป็นผู้มีความรู้เรื่องจิตมากๆ แต่เพื่อ ปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น จะได้คลาย
การยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็น ตัวตน
หลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้เป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงตรึกตรองว่าจะแสดงธรรมอันละเอียด ลึกชึ้ง เข้าใจตามได้ยาก ได้อย่างไร จึงทรงแสดงเรื่อง อจินไตย ประกอบไปด้วย
อจินไตย แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของ ปุถุชน มี 4 อย่างคือ
-วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
-วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
-วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผลและการรับวิบากกรรม
-วิสัยการมีอยู่ของโลก
ทางพระพุทธศาสนา ไม่แนะนำให้คิดเรื่อง อจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้ โดยถูกต้องถ่องแท้ ในฐานะที่เป็นเรื่องลึกชึ้ง เป็นเรื่องทางจิต เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ หากใครคิดเอาด้วยตรรกะตัวเอง อาจกลายเป็นบ้าได้
อจินไตยจีงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมขั้นสูงเท่านั้น
มาถึงจุดที่ผมอยากแสดงความเห็นบ้างครับ
อจินไตย ตามที่อธิบายไปหน้าที่แล้ว
ว่าไม่อยู่ในวิสัยที่ปุถุชนจะไปคิด เพราะคิดไปก็มีแต่จะบ้า ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของพุทธศานา ทั้งที่เรื่องอิทธิปาฏิหารย์ต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดา มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยนำมาเป็นสาระสำคัญ ในการเผยแพร่ แสดงธรรม อีกทั้งยังตำหนิ ว่าเป็นการอวด อุตริอีกด้วยซ้ำไป แต่ไม่ได้หมายความว่า
ไม่มีสิ่งเหล่านี้
ตอน โอบามาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้พูดคำว่า " ขอพระเจ้าโปรดประทานพร" (so help me God)
คุณก็ต้อง ไปประณาม ประธานธิบดี สหรัฐ เช่นเดียวกัน ว่าเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
มิติทางวิทยาศาสตร์ ไม่ไช่ มิติทางศาสนา
ไมจำเป็นที่ศาสนาจะต้องเดินตามวิทยาศาสตร์ เป็นคนละเรื่องกัน
การที่ถามว่า"คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นใคร ถ้าวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้ใช่ไหม วิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอ"
เป็นคำถามที่ถูกต้องแล้ว ในมุมมองของพุทธศาสนา
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#106
Posted 19 March 2012 - 21:54
โกหก ก็ดี
กินเหล้าเมายา ก็ดี
....(พวกฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ฟังแค่นี้)....
ล้วนไม่ดี
#107
Posted 19 March 2012 - 22:46
แต่ถ้าจะมีคนเชื่อ ก็ไม่เห็นว่าจะทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำแต่อย่างใด
ยังดีกว่าพวกที่หลงเชื่อนักการเมือง โดนหลอกไปตายตั้งเยอะ
~ ทักษิณตาย เสรีไทยไชโย ~
#108
Posted 19 March 2012 - 22:54
ท่าน ว. พูดสิ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก Pooklook บอกไม่จริง แล้วไอ้แม้วและแก๊งมันทำอย่างนี้ พวกไสดำชัดๆPooklookกลับชื่นชม ต่ำวะไอ้ควาย
http://www.youtube.com/watch?v=A5zRQe0l5F0
พอไอ้คนห่มเหลือง พูดเสร็จ ควายก็โห่
สรุป มันเข้าใจ จริง เปล่า
#109
Posted 19 March 2012 - 23:12
โดนหลอกให้บริจาคเงิน เพื่อขึ้นสวรรค์จนหมดตัว พวกแดงยังศรัทธาเหล่าอลัชชีพวกนี้ได้เลยผมก็ไม่เชื่อนะว่าคนสมัยก่อนจะบินได้
แต่ถ้าจะมีคนเชื่อ ก็ไม่เห็นว่าจะทำให้ชีวิตของเขาตกต่ำแต่อย่างใด
ยังดีกว่าพวกที่หลงเชื่อนักการเมือง โดนหลอกไปตายตั้งเยอะ
ไ้อ้แม้ว ปู ลีลาวดี ก็ลูกศิษย์ อลัชชีธรรมชโย
#110
Posted 19 March 2012 - 23:16
อีนี่ก็หยิบประเด็นจุดนั้นมาขยายความ ไม่ได้ดูบริบทรวม และก็ไม่เคยหาข้อมูเพิ่มเติมก่อนค่อยมาโพส พวก s h a l l o w
กุเบื่อคนประเภทนี้ อย่าแสดงความ ก ล ว ง ให้มากโพสคุณจะไม่เหลือราคาให้เสวนา
#111
Posted 19 March 2012 - 23:16
อีนี่ก็หยิบประเด็นจุดนั้นมาขยายความ ไม่ได้ดูบริบทรวม และก็ไม่เคยหาข้อมูเพิ่มเติมก่อนค่อยมาโพส พวก s h a l l o w
กุเบื่อคนประเภทนี้ อย่าแสดงความ ก ล ว ง ให้มากโพสคุณจะไม่เหลือราคาให้เสวนา
#112
Posted 19 March 2012 - 23:18
รู้สึก ีพวกเสื้อแดงนี่มันทำตัวหัวก้าวแบบเว่อร์ๆ ไร้สติ บูชาเงิน และปชตกลวงๆ บ่นด่าศาสนา
คือแบบว่าวัตถุนิยมจัดๆ มองอะไรตื้นๆ ต่ำๆ เถื่อน ถ่อย กุ้ย โทษทีนะพิมพ์ผิดเยอะใช้ไอโฟนพิมพ์
พวกนี้ตื่นเต้นตัวสั่น จนอั้นไม่ไหวต้องออกมาสรรเสริญตัวเองบอกชาวบ้านว่าพวกผม "ก้าวหน้า"
ที่จริงแถวบ้านผมเรียกพวกเกรียนเห่อหมอ... นะ
It's us against the world
#113
Posted 19 March 2012 - 23:22
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าถ้าเราดูใจความทั้งหมด ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ ก็คงมีแต่คนโง่ๆ ที่นินทาแบบโง่ๆ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อท่านซักเท่าไหร่ ตราบไดที่ท่านยังทำความดีอยู่เสมอ ผมก็ขออนุโมทนา ความเห็นบางอย่างที่ไม่ตรงกับท่าน ก็ไม่ได้ทำให้ความดีของท่านลดน้อยลงไป ผมยังมองท่านเป็นพระที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดพระศาสนาอยู่เสมอ
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#114
Posted 19 March 2012 - 23:28
พอลองคิดดูอีกที ผมรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมพวกแดงถึงได้โจมตีท่าน ว.วชิรเมธี มากเหลือเกิน แล้วใช้วิธีค่อนข้างสกปรกเสียด้วย คือชอบเอาคำพูดตัดตอน แล้วก็สรุปสั้นๆ เหมือนพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของพระรูปนี้ เท่าที่เห็นเรื่องที่เราถกเถียงกันอยู่นี้ รวมถึงเรื่องก่อนหน้านี้คือ ฆ่าคน-ฆ่าเวลา จะเห็นได้ว่า มันไม่ใช่ใจความสำคัญในบทสนทนาเลย ไปๆมาๆ ผมชักรู้สึกว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของการสร้างกระแสบางอย่างหรือเปล่า??
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าถ้าเราดูใจความทั้งหมด ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ ก็คงมีแต่คนโง่ๆ ที่นินทาแบบโง่ๆ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อท่านซักเท่าไหร่ ตราบไดที่ท่านยังทำความดีอยู่เสมอ ผมก็ขออนุโมทนา ความเห็นบางอย่างที่ไม่ตรงกับท่าน ก็ไม่ได้ทำให้ความดีของท่านลดน้อยลงไป ผมยังมองท่านเป็นพระที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดพระศาสนาอยู่เสมอ
อย่าได้แปลกใจเลย นั่นเป็นเพราะท่าน ว. ออกมาเตือนสติเสื้อแดงหลายครั้งหลายหน แกนนำมันกลัวมวลชนไปฟังท่านเลยต้อง มีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือ เหมือนๆกับที่คนดังๆหลายคนโดน เช่น คุณกนก คุณพงพัฒน์
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
เพื่อคืนสันติสุขกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน เราคนไทยควรร่วมกันแสวงหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ร่วมกัน โดยช่วยกันสร้าง “มาตรการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” จากทุกภาคส่วน เช่น
๑. กำหนดวิสัยทัศน์เฉพาะหน้าของประเทศให้ชัดเจนโดยเน้นไปที่ “การนำประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด”
การชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานและการเข้าแก้ปัญหาของภาครัฐอย่างเด็ดขาดที่ผ่านมาทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไปกลายเป็นการเผาบ้านเผาเมือง มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งสุดวิสัยที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันอีก สิ่งที่ควรทำต่อจากนี้ก็คือ คนไทยต้องร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์แห่งชาติว่า เราจะต้องร่วมกันนำพาประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อออกไป ความเสียหายที่ประมาณไม่ได้ก็จะยิ่งทวีคูณออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขืนชักช้าก็จะเป็นการเปิดช่องให้กับองค์กรต่างประเทศเข้ามาเป็น“หุ้นส่วน” ในการดับวิกฤติและนั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยจะกลายเป็น“รัฐที่ล้มเหลว” ในสายตาของชาวโลก และไม่สามารถบริหารจัดการประเทศของตัวเองได้อย่างเสรีเช่นเดิม ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นประเทศไทยที่มีทหารของยูเอ็นกระจายอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ใครๆ ก็คงไม่อยากเห็นเมืองไทยตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
ทุกวันนี้ เราแค่มี “การเมืองที่ล้มเหลว” ซึ่งนับว่ายังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าทิ้งยืดเยื้อออกไปจนกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ก็เท่ากับว่า ประเทศไทย คนไทย หมดสิ้นปัญญาอย่างสิ้นเชิงที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งหากการณ์เป็นเช่นนั้น ก็นับเป็นความอัปยศร่วมกันของคนทั้งชาติ
๒. บังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวข้ามสภาวะ “อนาธิปไตย”
การลุกลามของปัญหามากมายในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้นมาจากสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวมมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ “กระบวนการนอกประชาธิปไตย” ในรูปแบบต่างๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง และปฏิบัติการท้าทายกฎหมายบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายกลุ่ม หลายกระบวนการ หลายสีเสื้อ จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่กล้าแม้แต่จะทักท้วง หรือไม่อาจหยัดยืนที่จะบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เอากลับกลุ่มใด ผลก็คือ ประเทศเข้าสู่สภาวะ“อนาธิปไตย” ที่กฎหมายไม่มีผลในทางปฏิบัติ บ้านเมืองไร้ขื่อแป สภาวะเช่นนี้ ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญที่คนไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันว่า ในอนาคตจะต้องไม่มีปฏิบัติการนอกกฎหมายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ดังนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ อย่างสมบูรณ์ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันที่ว่า “เสรีภาพภายใต้กรอบของกฎหมาย” แต่ถ้าหากกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพที่มี ก็จะกลายเป็นเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่เสรีที่จะทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักยิ่งของตนเองมาก่อน
ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพจะต้องไม่เกินกรอบของกฎหมาย ทำอย่างไร เราจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเคารพกฎหมายให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทย และทำอย่างไรเราจะทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์เสมอภาคกันในทุกกาลเทศะ คำว่า “สองมาตรฐาน” จะต้องหมดไป ไม่ปล่อยให้กลายเป็นเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำร้ายคนไทยด้วยกันอีก นี่เป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่งที่คนไทยทั้งหมดจะต้องตอบร่วมกัน เพราะหากสังคมไม่มีกฎหมายเป็นหลักประกันในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความวุ่นวายจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด และเมื่อคุมกันไม่อยู่ ผลสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยเลือดและน้ำตาซ้ำซากปร ะเทศไทยจะจมอยู่แต่ฉากเดิมๆ กับตัวละครเดิมๆ ไม่มีวันก้าวกระโดดออกมาจากวิกฤติอย่างยั่งยืน
๓. หยุดการใช้ความรุนแรงแล้วเปิดเวทีกลางเพื่อหาทางเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐและผู้ชุมนุม
ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เคยเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างชนผิวดำเจ้าของประเทศและผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นฝรั่งผิวขาว ในสงครามกลางเมืองคราวนั้น ผู้นำทางการเมืองชาวแอฟริกาใต้คือเนลสัน แมนเดลา ใช้วิธีการแบบกองโจรในการเข้าปล้นอำนาจรัฐคืน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เพียงจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น สงครามกลางเมืองยังนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนดั่งใบไม้ร่วง ตัวเขาและมิตรสหายก็กลายเป็นอาชญากรที่รัฐประกาศจับ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นเวลายาวนาน ยิ่งรบยิ่งมองไม่เห็นทางชนะ ยิ่งสู้ยิ่งเข้าตาจน สูญทั้งเงิน สูญทั้งชีวิต ยิ่งใช้วิธีการจรยุทธสันติภาพยิ่งห่างออกไปทุกที เวลาต่อมาแมนเดลาถูกผู้กุมอำนาจรัฐจับไปขัง และเป็นการขังลืมยาวนานกว่า ๒๗ ปี วันเวลาอันยาวนานในคุก ทำให้เนลสัน แมนเดลา สรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ” ดังนั้น พอถึงวันที่เขาได้รับอภัยโทษ แมนเดลาจึงเกิดการเรียนรู้ครั้งใหญ่ว่า “มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะทำให้สันติภาพกลับคืนสู่แอฟริกาใต้อีกครั้ง” ด้วย “ธงแห่งสันติวิธี” ที่เขาปักลงไปในใจของตัวเองและในใจของเพื่อนร่วมชาติ ในที่สุดจึงนำไปสู่การเจรจาระหว่างตัวเขาและประธานาธิบดีในขณะนั้น ผลก็คือ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันทั้งคู่ และที่น่ายินดียิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งเนลสัน แมนเดลาและเดอเคลิก ประธานาธิบดีผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นสองผู้นำคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันมานานได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จากศัตรูกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสันติภาพของประเทศ บทเรียนแห่งชีวิตของแมนเดลา เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศที่เข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกมากมายทั่วโลก ประเทศไทยเอง ก็ควรได้รับอานิสงส์จากบทเรียนของแมนเดลาด้วยเช่นเดียวกัน
ขอให้เราคนไทยเลือก “การเจรจา” เป็นเครื่องมือยุติสงครามกลางเมือง เพราะหากเราเลือกสงคราม ก็มีแต่สงครามต่อไปไม่จบสิ้นเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ส่วนผู้ชนะย่อมก่อเวร” หรือเหมือนที่ มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “หากใช้ตาต่อตา ก็จะตาบอด และหากใช้ฟันต่อฟันก็จะฟันหักกันหมด”
๔. ก่อตั้งสมัชชาปฏิรูประเทศไทยเพื่อเร่งเยียวยาและหาทางออกให้กับประเทศให้รวดเร็ว แต่อย่างยั่งยืนที่สุด
มีการพูดกันมากว่า ควรก่อตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเพื่อหาทางที่จะเยียวยาประเทศไทยหลังวิกฤติ นี่เป็นแนวคิดที่ดี และควรเร่งทำอย่างยิ่ง แต่มีข้อที่ควรพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ควรจะให้สมัชชาปฏิรูปนี้มีวัฒนธรรมการทำงานในแบบราชการคือ แทนที่จะเป็นองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลับเป็นองค์กรประชุม ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะ “ประชุม” และ “นัดประชุม” ทว่าไม่มีผลอย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม ประเทศไทยไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำงานฟื้นฟูบูรณะแบบเช้าชามเย็นชาม หรือแบบ “ความสามัคคีก็ดีอยู่ แต่ต้องมีกูเป็นหัวหน้า” การตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย จึงต้องใช้วัฒนธรรมพิเศษที่รวดเร็ว ก้าวข้ามทิฐิมานะของคณะกรรมการ และมุ่งสัมฤทธิผลมากกว่ามุ่งเอกสารและการประชุม
อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตไว้อย่างหนึ่งก็คือ โรดแม็พการปฏิรูปประเทศไทยเท่าที่มองเห็นในขณะนี้ หลายฝ่ายมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเชิงระบบที่เน้น “กายภาพ” ของปัญหาแทบทั้งนั้น ต่างพากันมองข้าม “มิติทางด้านจิตวิญญาณ” เช่น เรื่องค่านิยม ระบบความเชื่อความคิด และวัฒนธรรมบางอย่าง (นิสัยเห็นแก่ตัว ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจปัญหาสังคม คอรัปชั่นจนเป็นวัฒนธรรม เป็นต้น) ที่นำพาประเทศไทยมาติดตันอยู่ในความขัดแย้งกันไปสิ้น ดังนั้น คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาจึงไม่ควรมองข้ามการปฏิรูปประเทศไทยในระดับทิฐิ หรือระดับจิตวิญญาณด้วย เพราะจากบทเรียนที่ผ่านมา เราปฏิรูปกันมาแล้วหลายครั้ง เราสร้างระบบที่เชื่อกันว่าดีที่สุด (อย่าง รธน.ปี ๒๕๔๐) แต่แล้ว ปัญหาเดิมๆ กลับยังคงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า เราปฏิรูประบบ แต่วิธีคิด ค่านิยม วัฒนธรรมเดิมๆ ที่เป็นตัวปัญหาของชาติ ยังไม่เคยได้รับการปฏิรูปเสียที ย้ำชัดๆ ว่า หากเราไม่ปฏิรูปปกระบวนทัศน์ของคนไทย หรือจิตสำนึกของคนไทย (เช่น ค่านิยมอันตรายที่ว่า โกงก็ได้ แต่ขอให้แบ่งกัน) การปฏิรูปครั้งใหม่ก็จะทำให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่ที่ไม่ต่างไปจากทุกครั้งเท่านั้นเอง
๕. ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนไทยด้วยการจัด “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” ณ ใจกลางสถานที่ชุมนุมเดิม (เช่น แยกราชประสงค์ หรือสถานที่อื่นใด)
สงครามกลางเมืองครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ขวัญและกำลังใจของคนไทยตกต่ำย่ำแย่อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนดังนั้น จึงควรมีการฟื้นฟูบูรณะขวัญและกำลังใจของคนไทยให้ฟื้นคืนมาเหมือนดังเดิมด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจขึ้นมาใหม่ด้วยการทำบุญประเทศในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในที่นี้ขอเสนอให้มีการ “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของคนไทยกลับคืนมาพร้อมทั้งจัดการ “เจริญพระพุทธมนต์” และประพรมน้ำ พระพุทธมนต์ทั่วกรุงเทพฯ โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองหรือหุ้นส่วนของความขัดแย้งทุกกลุ่มมาร่วมในพิธีนี้ ซึ่งจะมีนัยะสำคัญอย่างน้อยสามประการ กล่าวคือ (๑) เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (๒) เพื่อทำบุญประเทศครั้งใหญ่เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พอวิกฤติโรคร้ายสร่างซา พระพุทธองค์โปรดให้พระอานนท์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ประชาชนชื่นใจ (๓) เพื่อสร้าง “อภัยวิถี” คือ วิธีการให้อภัย (ภาวะที่ไม่น่ากลัว) แก่กันและกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นการส่งสัญญาณต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยกลับคืนสู่สันติภาพและเป็นปกติสุขแล้ว
เราทุกคนคือหุ้นส่วนประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเราคนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้ประเทศไทย อยู่ในกำมือของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา เราต้องกล้าที่จะร่วมกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศไทย เวลานี้ เราพูดกันมากว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม คำกล่าวนี้คงไม่ผิด แต่คำว่า “ไม่เหมือนเดิม” ต้องหมายถึง ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่แย่ลงกว่าเดิม ประเทศไทยวันพรุ่งนี้ ต้องดีกว่าวันนี้ นี่คือ สิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นให้ได้ในเร็ววัน
คนดังคนไหน ออกตัวแรง ก็ต้องโดนเสื้อแดงมันตามทำลายนั่นแหละ เรียกว่าเป็นการเตือนคนดังคนอื่นๆไม่ให้กล้า
#115
Posted 19 March 2012 - 23:34
ทำลายพระดีๆ เพื่อเอาลัทธิอลัชชีธรรมชโย มาแทน
Edited by Bookmarks, 19 March 2012 - 23:34.
#116
Posted 19 March 2012 - 23:35
บางคนยังเชื่อว่าแก้ปัญหาจราจรภายใน 6 เดือนเลย
คนจนจะหมดไปภายในกี่ปีนะ...
อ้อ...เงินในอากาศ
ก็มีควายเชื่อด้วย
อย่างน้อยก็ 15 ล้านตัวล่ะคร๊าบ
#117
Posted 19 March 2012 - 23:44
แต่อ่านหน้าหนึ่ง...
ยังไม่เห็นปุ๊กลุ๊เข้ามา'ดูแล'กระทู้...
ถ้าปุ๊กลุ๊กจะแสดงตนสัก2-3 คคห.
พวกเราน่าจะรู้ว่าปุีกลุ๊กมีความเข้าใจข้อความ
ในคคห.ต่างๆหรือไม่......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ปล.ผมพบนักโทาหนีคุกอีก
ผมแนะนำเขาเพิ่มราคา'บัตรเติมเงิน'เล็กน้อย
เป็นกำลังใจให้ปุ๊กลุ๊กเข้ามาดูแลกระทู้......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
Edited by ปุถุชน, 19 March 2012 - 23:47.
เคียงข้างลุงกำนัน ปฏิรูปการเมืองไทย กำจัดระบอบทักษิณ ขับไล่มวลหมู่ขี้ข้า วันที่ 26 พฤษภาคม 2557...
#118
Posted 19 March 2012 - 23:59
ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก (ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญ ในทางศาสนาพุทธ)
แต่ท่านควรได้คิดพิจารณาอยู่ด้วยเช่นกันว่า เป็นไปไม่ได้จริงๆ หรือ
บางเรื่องเป็นอจิณไตย ไม่ควรคิด มีแต่จะเป็นบ้า
บางเรื่องเป็นวิจิกิจฉา ข้อเคลือบแคลง สงสัย ไม่แน่ใจ
อันเป็นธรรมดาสำหรับปุถุชนทั่วไป ที่ยังไม่เจริญปัญญา เช่นเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย
ลองสมมติตัวเองว่า ท่านเกิดเร็วกว่านี้ สัก 200 ปี แล้วมีคนมาบอกท่านว่า เขาสามารถคุย โต้ตอบ และเห็นหน้าอีกคน
ที่อยู่ต่างที่ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน ว่าเขาจะเชื่อท่าน
เรื่องบางเรื่องไม่อยู่ในวิสัยที่ปุถุชนจะรู้ได้ เข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นไปไม่ได้
สมัยนี้ เราเรียกว่า Technology
ทางศานาพุทธเรียกว่า ได้ฌาณ
ขณะที่บุคคลได้ฌาณในระดับต่างๆ แต่ยังวนว่ายตายเกิดอยู่ใน วัฎฎะสงสาร
พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญ
ขอให้ท่านนับถือศาสนาพุทธด้วยจุดหมายปลายทางที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนา คือการดับทุกข์
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#119
Posted 20 March 2012 - 00:06
คือถ้าไม่รู้จริง หรือยังจับเอาประเด็นโง่ ๆ ง่อย ๆ มาด่าพระด่าเจ้านี่ กรุณาไปเอามาให้ดี อย่าลอก
#120
Posted 20 March 2012 - 00:43
พระปลุกเสกเครื่องราง ของขลัง ครับ โปกและคนเสื้อแดงกราบไหว้ ..
พระ ดูหมอ ครับ โปกและคนเสื้อแดงกราบไหว้ ...
พระเล่นของ ลงยันต์ เจ้าพิธีกรรมครับ โปกและคนเสื้อแดงกราบไหว้ ...
พระนักประชาธิปไตย ยุ่งในเรื่องไม่ใช่กิจของสงฆ์ โปกและคนเสื้อแดงกราบไหว้ ...
คุณว่าพวกเขารู้จัก สงฆ์สุปัฏิปันโน หรือเปล่าล่ะ ....
อวิชชา ชัดๆ ครับ ....
http://www.dek-d.com....php?id=1793433
.. เห็นได้ชัด ประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำให้ได้มา ซึ่งผู้นำที่เก่ง และ ฉลาด ..
ที่นำความอยู่ดี กินดี มาให้ประชาชนได้ แล้วคุณยังจะอ้างประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ทำไม
#121
Posted 20 March 2012 - 01:31
ไม่น่าโง่เลย รู้ทั้งรู้ว่า นี้เป็นเวปการเมือง ( rep#104 rep# 117 )
ไม่มีใครแสดงความเห็นในแง่มุม ศาสนาพุทธกันสักเท่าไหร่
ให้ผมเล่นเป็นประเด็นการเมืองก็ได้้
ให้ผมใช้ตรรกะแบบเสื้อแดงก็ได้
คำถามมีอยู่ว่า
ตอนโอบามา เข้าพิธีสาบานตน รับตำแหน่งประธานาธิบดี ได้พูดว่า" ขอพระเจ้าโปรดประทานพร" (so help me God)
ทำไมไม่ไปประนาม โอบามา ว่า ความคิดไม่เป็นวิทยาศาตร์เลย
อย่างนี้มัน สองมาตรฐาน ไช่ไหม
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#122
Posted 20 March 2012 - 06:28
เรื่องมูมมาม และอีกสารพัดเรื่องเลว ตั้งทู้เสร็จมิงก็หายจ้อย ไปตั้งทูล่อเป้าเบี่ยงเบนอีก เมพขิงๆ
ถ้ามิงอยากเล่นเรื่องศาสนาไมไม่ไปpantip. อย่าทำเป็นเนียนแถวนี้..
#123
Posted 20 March 2012 - 06:55
คือไม่ทุกคนที่จะเข้าใจ และใส่ใจ
ผมขอแบ่งภาคแล้วกัน
ใครสนใจในเนื่้อแท้ศาสนาพุทธ ก็คุยแสดงความเห็นกับผมได้ ตาม rep#104 และ #117
ส่วนใครสนใจเฉพาะส่วนทีเนื้อหาเป็นการเมืองล้วนๆ ผมก็ขอใช้ตรรกะแบบเสื้อแดงว่า
ถ้ากูทำ มึงก็ต้องทำเลวกว่ากู เพื่อไม่ให้กูเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเดียว
คำถามมีอยู่ว่า ทักษิณ ทำพิธีสเดาะห์เคราะห์ เชื่อโหร แม้กระทั่งใช้ศัพท์ทางโหราศาสตร์
ดาวพุทธย้าย ดาวเสาร์แทรก อย่างนี้ ปุกลุก ไม่บอกว่างมงายหรือครับ
ปุกลุกไม่ประนามทักษิณสักหน่อยหรือครับว่า คิดไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ปุกลุกลืมไป หรือแกล้งลีมกันแน่
แล้วสาวกทั้งหลายไม่ post กันสักหน่อยหรือครับว่า งมงายไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ทุกวันนี้ผมเห็น ทักษิณ พูดอะไร ก็เชื่อหมด อย่างนี้เป็นวิทยาศาสตร์หรือครับ
ถ้าปุกลุกคิดได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์จริงก็คงไม่เอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ไปแลกกับความฝันที่ทักษิณกำลังขายให้อยู่หรอก
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#124
Posted 20 March 2012 - 07:19
เป็นธรรมดาที่การนำพาให้บรรลุธรรมต้องมีหลายแนว
ไม่งั้นยุคพระศาสดาจะมีพระโมคคัลลานะที่ใช้อุบายอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์หรือ
และเรื่องราวเหล่านี้มีบันทึกในพระไตรปิฎกไม่ใช่พูดเล่าลอยๆ
" เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่างๆนั้น มีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยวรรคและโกธวรรคว่าวันหนึ่ง พระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์โลกสวรรค์ ด้วยอริยฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาวด้วยแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้าง ทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น
พระเถระจึงถามว่า “แม่เทพธิดา วิมานนี้เป็นของใคร (เกิดขึ้นเพื่อใคร) ?"
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาล 4 มุข 4 ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค่าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ”
อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาแล้ว หลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา
พระเถระได้จาริกท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่า ทำบุญอะไร ทานด้วยสิ่งใด จึงได้เสวยผลบุญ ได้รับทิพยสมบัติวิมานแล้ว วิมานทองอันงดงามยิ่งนัก เช่นนี้ เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุญทานที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ
- บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้
- บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้
- บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้
- บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ, ลิ้นจี่ ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้
http://th.wikipedia....ระมหาโมคคัลลานะ
ปุ๊กลุกไปเอากระพี้มาขยายความ ทำให้ผู้คนสับสนศาสนา ไม่เฉพาะด้านการเมืองที่ตนสังกัด
ตัวเองรู้อะไรอื่นบ้างนอกจากไปรับงานมา ไม่งั้นต้องเข้ามาเสวนาแสดงภูมิแล้วล่ะ
AMAZING coup d'etat , THAILAND ONLY ..
#125
Posted 20 March 2012 - 07:22
#126
Posted 20 March 2012 - 07:29
ตั้งแต่ ชวนกุ้ไอเอ็มเอฟ สมัครถูกถอดถอนเพราะทำกับข้าว ฯลฯ
ส่วนเรื่องเหาะเหินเดินอากาศ ถ้าเอากายเนื้อไปเหาะ ผมว่าเป็นไปไม่ได้หรอก
ลองอ่านพระไตรปิฎกดูทั้งเล่ม จะเห็นว่าการฝึกฝนทางพุทธ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ
กายภาพเลยแม้แต่น้อย มีแต่ฝึกทางจิตวิญญาณ แล้วจะเหาะไปได้อย่างไรกัน.
น่าจะเป็นการถอดจิตเหาะไปเหาะมามากกว่า หรือเผลอๆ เป็นแค่ปริศนาธรรม
ให้นำไปคิดเอาเอง
ส่วนพระรูปไหน เชื่ออย่างไร มันก็เป็นแค่ความเชื่อ อย่าไปงมงายไม่ว่าจะเป็น
อะไรก็ตาม แม้แต่ธรรมของพระพุทธเจ้า จงใช้ปัญญาใคร่ควรให้รู้แจ้งแทงตลอด
อย่าไปงมงาย
#128
Posted 20 March 2012 - 09:03
---------------------------------------
#129
Posted 20 March 2012 - 09:07
#130
Posted 20 March 2012 - 09:19
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
หลักฐานไม่เคยโกหก (Gilbert Grissom C.S.I.)<p>Beneath this mask there is more than flesh. Beneath this mask there is an idea, Mr. Creedy, and ideas are bulletproof.
#131
Posted 20 March 2012 - 09:26
ผมจึงเน้นว่าเราต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเองดูน่ะครับ
แต่ ข้อเสียมี มันก็น่าจะมีข้อดีบ้างนะครับ
เดี๋ยวขอไปประชุมก่อน บ่ายๆมาคุยใหม่ครับ
#132
Posted 20 March 2012 - 09:28
ล้วนแล้วแต่รอบรู้แตกฉานกันทั้งนั้นเลย
เห็นถกเถียงกันเรื่องการเมือง กฏหมายและ/หรือปัญหาบ้านเมืองกันอย่างออกรส
พอมาถึงเรื่องศาสนา ไม่น่าเชื่อว่าเก่งๆทั้งนั้นเลย
ดีใจครับ ดีใจที่ทุกท่านสนใจในศาสนาในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขออนุโมทนาในธรรมทานกับทุกท่านด้วยครับ สาธุ..............._/\_
ลูกหลานที่รัก จงจำปฏิปทานี้ไว้ “ถ้ามีความจำเป็นเราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย แม้แต่ชีวิตก็ต้องยอม”
#133
Posted 20 March 2012 - 09:30
ตั้งแต่ท่านเพิ่งเริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองใหม่ๆ ยังสงสัยอยู่เลยว่า พระอะไรเก่งขนาดนี้ รู้มันทึกเรื่องไปหมด ใครว่าอะไรก็รู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง
หลังๆ เกาะกระแสดังกับทีวี นักข่าว สื่อ โดยเฉพาะช่วงโปรโมทกับคุณหยุ่น มุมมองของผมเห็นว่า พระรูปนี้เริ่มครอบงำผู้คนโดยใช้คำสอนและภาพลักษณ์นำหน้าไปแล้ว
คำสอนศาสนาพุทธน่ะ ผมเชื่อ โดยเฉพาะผมเลื่อมใสท่านพุทธทาสเป็นอย่างมาก แต่ท่าน ว. ถ้ามองดีๆ แล้วจะเห็นว่า ท่านก็แค่ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองดังก็เท่านั้น
#134
Posted 20 March 2012 - 09:33
ส่วนที่ท่านว.พูดผมเห็นด้วยทุกประการ กลับกันถ้าท่านบอกว่คนสมัยก่อนเหาะไม่ได้ท่านคงจะโดนโจมตีหนักกว่านี้เยอะ
เพราะอย่างไรเสียท่านก็ยังห่มจีวรยังเป็นภิกษุนักบวชในศาสนาพุทธ ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ไม่ควรเป็นพระให้คนกราบไหว้แล้ว
Edited by วิชญ์, 20 March 2012 - 09:34.
#135
Posted 20 March 2012 - 09:44
Edited by patcha, 20 March 2012 - 09:45.
#136
Posted 20 March 2012 - 10:16
ขอโอกาส คุยกันแบบสบายๆ ในกระทู้นี้ก็แล้วกัน
เพราะผมเชื่อโดยบริสุทธิใจ(สำนวนทักษิณ) ว่า ปุกลุก คงไม่มาตอบแล้ว
ทั้งที่ผมให้ทางเลือกที่จะตอบได้ ทั้งทางโลก ทางธรรม
เพื่อความเหมาะสม อยากให้ช่วยกัน พิจารณาว่า สรท ควรมีห้องเฉพาะด้านธรรมะ
และวัฒนธรรมดีหรือไม่ เพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้วสำหรับรากฐานของสังคมไทย หาก
ศาสนาและวัฒนธรรมถูกท้าทายมากขึัน กลืนหายไปกับกระแสสังคม ความเป็นไทยคงเป็น
เพียงแค่ชื่อ ความอบอุ่นและวัฒนธรรมอันดีงามทั้งหลาย ลูกหลานเรา คงไม่รู้จัก เวลาทำผิด
ก็จะถามว่า "ฉันทำผิด เป็นเงินเท่าไหร่" เมื่อถึงวันนั้น เราคงขาดความสุขความอบอุ่นของชีวิต
ศักดิ๋ศรีและความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ คงไม่มีความหมายอีกต่อไป
อีกทั้งจะได้แยกความเห็น ข้อเขียนที่ไม่เหมาะสมทางการเมือง ออกไป จะได้ไม่ต้องมาปนเปื้อน
กับศาสนาและวัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน อย่างน้อยที่สุด เมื่อเข้ามาก็จะได้รู้สึกอบอุ่นกันแบบไทยๆ
นี้ไม่ไช่เป็นการหลีกหนีไปจากโลกแห่งความเป็นจริง แล้วหลบอยู่ในกะลา
แต่เป็นการรักษาสิ่งที่มีค่า ที่น่าหวงแหนไว้ เพื่อสังคมที่อบอุ่นให้ยาวนาน
ลองช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณา
ที่สำคัญคือฝากให้เป็นหน้าที่หลักของผู้ดูแล บอร์ดแห่งนี้ด้วย
ขอบคุณครับ
Everyone thinks of changing the world, but no one thinks of changing himself. Leo Tolstoy
#137
Posted 20 March 2012 - 10:25
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
นอกจากนี้ ยังไม่เข้าใจ พุทธศาสนา ด้วย
พูดได้อย่างไร
ว่า นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนา
หรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา
ได้ยินแล้วปวดตับ
#138
Posted 20 March 2012 - 10:34
ขอสนับสนุนครับ ... แม้จะด้อยปัญญาในเรื่องนี้อย่างยิ่ง แต่เราอาจจะพบว่ามีปราชญ์และผู้เข้าถึงมาแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นให้ได้เจริญปัญญากันยิ่งขึ้นไปได้วันนี้มีเวลาว่าง เพราะป่วยอยู่
ขอโอกาส คุยกันแบบสบายๆ ในกระทู้นี้ก็แล้วกัน
เพราะผมเชื่อโดยบริสุทธิใจ(สำนวนทักษิณ) ว่า ปุกลุก คงไม่มาตอบแล้ว
ทั้งที่ผมให้ทางเลือกที่จะตอบได้ ทั้งทางโลก ทางธรรม
เพื่อความเหมาะสม อยากให้ช่วยกัน พิจารณาว่า สรท ควรมีห้องเฉพาะด้านธรรมะ
และวัฒนธรรมดีหรือไม่ เพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้วสำหรับรากฐานของสังคมไทย หาก
ศาสนาและวัฒนธรรมถูกท้าทายมากขึัน กลืนหายไปกับกระแสสังคม ความเป็นไทยคงเป็น
เพียงแค่ชื่อ ความอบอุ่นและวัฒนธรรมอันดีงามทั้งหลาย ลูกหลานเรา คงไม่รู้จัก เวลาทำผิด
ก็จะถามว่า "ฉันทำผิด เป็นเงินเท่าไหร่" เมื่อถึงวันนั้น เราคงขาดความสุขความอบอุ่นของชีวิต
ศักดิ๋ศรีและความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ คงไม่มีความหมายอีกต่อไป
อีกทั้งจะได้แยกความเห็น ข้อเขียนที่ไม่เหมาะสมทางการเมือง ออกไป จะได้ไม่ต้องมาปนเปื้อน
กับศาสนาและวัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน อย่างน้อยที่สุด เมื่อเข้ามาก็จะได้รู้สึกอบอุ่นกันแบบไทยๆ
นี้ไม่ไช่เป็นการหลีกหนีไปจากโลกแห่งความเป็นจริง แล้วหลบอยู่ในกะลา
แต่เป็นการรักษาสิ่งที่มีค่า ที่น่าหวงแหนไว้ เพื่อสังคมที่อบอุ่นให้ยาวนาน
ลองช่วยกันคิด ช่วยกันพิจารณา
ที่สำคัญคือฝากให้เป็นหน้าที่หลักของผู้ดูแล บอร์ดแห่งนี้ด้วย
ขอบคุณครับ
#139
Posted 20 March 2012 - 10:45
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
รู้สึกไม่ดีกับหนังสือไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่มีความสามารถพอที่จะวิจารณ์อย่างตรงประเด็นได้
1. คิดเอาเองว่าการจะโยงทฤษฎีทางฟิสิกส์เข้ากับพระธรรมนั้น ผู้โยงตัองแตกฉานทั้งสองอย่างจึงจะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งท่านผู้เขียนเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางฟิสิกส์แต่อย่าไร
2. หลังจากอ่านหนังสือไปได้นิดหน่อย พบว่าวิธีเรียบเรียงประเด็นเนื้อหามีความสับสน
ส่วนตัวดิฉันชื่นชอบหนังสือฟิสิกส์ของดร.บัญชาอยู่แล้ว ท่านนำทฤษฎีสัมพัธภาพมาอธิบายในรูปแบบง่ายๆ ยังเคยเขียนจดหมายไปสนทนากับท่านอยู่ รู้สึกยินดีเมื่อท่านได้มาวิจารณ์หนังสือไอน์สไตน์พบฯ เพราะเป็นสิ่งที่เราเองก็ติดใจอยู่
Edited by Classic, 20 March 2012 - 11:05.
#140
Posted 20 March 2012 - 10:46
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
นอกจากนี้ ยังไม่เข้าใจ พุทธศาสนา ด้วย
พูดได้อย่างไร
ว่า นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนา
หรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา
ได้ยินแล้วปวดตับ
นั่นหน่ะสิ ผู้เขียนรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พูดมานั่นเป้นความจริง ผู้เขียนเขามีญาณระลึกชาติได้หรืออย่างไร
Edited by Classic, 20 March 2012 - 10:48.
#141
Posted 20 March 2012 - 10:56
อย่าลืมว่า สิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าจริงด้วยวิถีวิทยาศาสตร์ อยู่บนพื้นฐานการพิสูจน์ผ่านประสาทสัมผัสทางกายภาพประมวลผลต่อด้วยตรรกะสมองเท่านั้น
ส่วนความจริงที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัส หรือใช้สมองคิด แต่ต้องใช้ใจสัมผัสนั้นมีอยู่ดาษดื่น เพียงแต่สื่อสารให้เข้าใจได้ยากเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของลักษณะจิต
#142
Posted 20 March 2012 - 11:15
#143
Posted 20 March 2012 - 11:16
#144
Posted 20 March 2012 - 11:24
คนเราเหาะได้ ก็ต้องมีกำลังภายใน เหมือนแมวมีน้ำหนักตัวมีมวลร่างกาย แต่สามารถกระโดดได้สูงเหมือนราวกับเหาะได้ ผมว่ามีความเป็นไปได้ครับ และในอินเดียวก็มีคนเหาะได้ไกลถึง 10 เมตรมาแล้ว แต่จะเป็นเรื่องของการกระโดดไกลหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ก็เป็นเรื่องของคนเชื่อหรือไม่เชื่ออันนี้ก็เท่านั้น
หลักฐาน หลักฐาน
#145
Posted 20 March 2012 - 11:31
ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่า ผมได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้จนจบเมื่อนานมาแล้ว และมีสิ่งที่ยังคาใจอยู่เป็นช่วงๆเมื่อได้อ่านจนจบ ว่า ผู้เขียนรู้ได้อย่างไร ว่านักวิทยาศาสตร์ที่ผู้เขียนกล่าวถึง ได้มีวิธีคิดแบบโน้นแบบนี้
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
นอกจากนี้ ยังไม่เข้าใจ พุทธศาสนา ด้วย
พูดได้อย่างไร
ว่า นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนา
หรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา
ได้ยินแล้วปวดตับ
เช่น ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง กรณี นิวตั้น พิจารณาแอปเปิ้ล และได้อ้างว่า การที่นิวตั้น คนพบกฎของแรงโน้มถ่วงนั้น เกิดจากการที่นิวตั้น มีสมาธิอย่างแน่วแน่ จนจิตได้รับรู้ อะไรทำนองนี้
หรือกรณีโฟตอนที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้ว(แต่ผมจำไม่ได้จริงๆว่า ผู้เขียนเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องโฟตอนในประเด็นไหน)
ทีนี้ กรณี นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนาหรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา ผมขอเรียนตามตรงว่าผมจำไม่ได้จริงๆว่ามีอยู่ในหนังสือหรือไม่ ถ้าท่านพอจะจำได้ ช่วยเพิ่มเติมรายละเอียดด้วยครับ
สรุปนะครับ ผมคิดว่าข้อดีของหนังสือก็มีนะครับ ตรงที่ทำให้เรากลับมาคิดถึงเรื่องคำสอนของศาสนามากขึ้น
ทำให้ผมเริ่มสนใจพุทธศาสนาและกลับไปหาหนังสือของท่านพุทธทาส และท่าน ว. มาศึกษา ก็ได้ข้อสรุปของตัวเองในใจเพื่อดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
ส่วนข้อเสียก็มี อย่างที่หลายๆท่านได้กล่าวมาแล้ว
ดังนั้นผู้อ่านที่ดีต้องมีวิจารณญาณและค่อยๆคิดตามไปด้วยนะครับ
#146
Posted 20 March 2012 - 11:33
ผมไม่ชอบพวกควายแดง แต่ส่วนตัวท่าน ว. ผมก็ไม่ได้นับถืออะไรท่าน
ตั้งแต่ท่านเพิ่งเริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองใหม่ๆ ยังสงสัยอยู่เลยว่า พระอะไรเก่งขนาดนี้ รู้มันทึกเรื่องไปหมด ใครว่าอะไรก็รู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง
หลังๆ เกาะกระแสดังกับทีวี นักข่าว สื่อ โดยเฉพาะช่วงโปรโมทกับคุณหยุ่น มุมมองของผมเห็นว่า พระรูปนี้เริ่มครอบงำผู้คนโดยใช้คำสอนและภาพลักษณ์นำหน้าไปแล้ว
คำสอนศาสนาพุทธน่ะ ผมเชื่อ โดยเฉพาะผมเลื่อมใสท่านพุทธทาสเป็นอย่างมาก แต่ท่าน ว. ถ้ามองดีๆ แล้วจะเห็นว่า ท่านก็แค่ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองดังก็เท่านั้น
เอาตรงไหนมาบอกว่า พระว.วชิระเมธี ครอบงำผู้คน ครับ ....
ทำไมถึงคิดว่า ท่านอยากสร้างชื่อเสียง(อยากดัง) เท่านั้น ครับ ...
คุณทราบ วัตรปฏิบัติ ของท่านหรือไม่ คุณทราบหรือไม่ พระรูปนี้ ทำอะไรให้ พุทธบริษัทไว้บ้าง ...
คุณทราบไหมว่า สุปฏิปันโนสงฆ์ เป็นเช่นไร ...
คุณ แยก คนที่อยากดัง กับคนที่ทำประโยชน์จริงๆ ได้อย่างไร ...
กรุณาตอบ ด้วยนะครับ
เพิ่มเติมว่า ครั้งแรกที่วู้ดดี้ ได้มีโอกาสคุยกับพระรูปนี้ วู้ดดี้ก็คิดเหมือนคุณ คลิปต้นกระทู้ ก็มาจากส่วนหนึ่ง ของรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย ลองดู การสัมภาษย์ฉบับเต็มๆ (ไม่ใช่ที่ตัดต่อแล้วออกอากาศ) คลิปชุดนี้ มี12คลิป ครับ ...
http://youtu.be/Qq9s-fP-Fx4
Edited by นักเรียนตลอดชีพ, 20 March 2012 - 11:44.
.. เห็นได้ชัด ประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำให้ได้มา ซึ่งผู้นำที่เก่ง และ ฉลาด ..
ที่นำความอยู่ดี กินดี มาให้ประชาชนได้ แล้วคุณยังจะอ้างประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ทำไม
#147
Posted 20 March 2012 - 11:57
การที่เชื่อคนหรือเห็นด้วยโดย ดูแค่้ว่า คนพูดเป็นคนที่เราชอบ อย่างนี้เรียกว่า งมงาย และ หมกมุ่น ลุ่มหลง ....
การที่ไม่เชื่อคนหรือไม่เห็นด้วยโดย ดูแค่้ว่า คนพูดเป็นคนที่เราไม่ชอบ หรือ เห็นไม่ตรงกับเรา อย่างนี้เรียกว่า
อคติ....
ผมว่าไอ้คนเหาะได้เนี่ย เพ้อเจ้อ... แต่ ไม่ได้แปลว่าส่วนอื่นที่ท่านพูดเพ้อเจ้อไปหมด...
"คนโง่มักจะชอบว่าคนอื่นว่าโง่"
"ถ้าคนเราคิดเหมือนกันหมด ก็ไม่มีเลือกตั้งซิครับ"
"ผมไม่พูด เรื่อง 112 แล้ว นะครับ กรุณาอย่าถาม (17 พค 2012)"
#148
Posted 20 March 2012 - 11:59
ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่า ผมได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้จนจบเมื่อนานมาแล้ว และมีสิ่งที่ยังคาใจอยู่เป็นช่วงๆเมื่อได้อ่านจนจบ ว่า ผู้เขียนรู้ได้อย่างไร ว่านักวิทยาศาสตร์ที่ผู้เขียนกล่าวถึง ได้มีวิธีคิดแบบโน้นแบบนี้
ลองอ่านหนังสือเรื่อง ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ทั้ง2 เล่ม แล้ววิเคราะห์ด้วยตัวเองดู จะได้ความรู้ในประเด็นนี้เพิ่มขึ้นครับ
ผมขอให้ใช้วิจารณญาณอย่างสูงกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ครับ เพราะคนเขียนหนังสือไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าไหร่เลย และเขียนผิดๆเอาไว้หลายเรื่องครับ ลองอ่านดูใน link ก็ได้ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=295979
นอกจากนี้ ยังไม่เข้าใจ พุทธศาสนา ด้วย
พูดได้อย่างไร
ว่า นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนา
หรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา
ได้ยินแล้วปวดตับ
เช่น ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง กรณี นิวตั้น พิจารณาแอปเปิ้ล และได้อ้างว่า การที่นิวตั้น คนพบกฎของแรงโน้มถ่วงนั้น เกิดจากการที่นิวตั้น มีสมาธิอย่างแน่วแน่ จนจิตได้รับรู้ อะไรทำนองนี้
หรือกรณีโฟตอนที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้ว(แต่ผมจำไม่ได้จริงๆว่า ผู้เขียนเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องโฟตอนในประเด็นไหน)
ทีนี้ กรณี นักดนตรีระดับโลก ชาติก่อน ๆพวกนี้ เคยทำ กายานุปัสสนาหรืออย่าง ไอสไตน์ ก็เคยทำ ธรรมานุปัสสนา ผมขอเรียนตามตรงว่าผมจำไม่ได้จริงๆว่ามีอยู่ในหนังสือหรือไม่ ถ้าท่านพอจะจำได้ ช่วยเพิ่มเติมรายละเอียดด้วยครับ
สรุปนะครับ ผมคิดว่าข้อดีของหนังสือก็มีนะครับ ตรงที่ทำให้เรากลับมาคิดถึงเรื่องคำสอนของศาสนามากขึ้น
ทำให้ผมเริ่มสนใจพุทธศาสนาและกลับไปหาหนังสือของท่านพุทธทาส และท่าน ว. มาศึกษา ก็ได้ข้อสรุปของตัวเองในใจเพื่อดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
ส่วนข้อเสียก็มี อย่างที่หลายๆท่านได้กล่าวมาแล้ว
ดังนั้นผู้อ่านที่ดีต้องมีวิจารณญาณและค่อยๆคิดตามไปด้วยนะครับ
ได้ยินจาก รายการวิทยุ หรือ โทรทัศน์
งานเปิดตัวหนังสือ หรือ การอภิปรายอะไรสักอย่าง หลายปีแล้วครับ
แต่ ก็สามารถอ่านได้จาก link ข้างล่าง เนื้อหาคล้าย ๆ กัน
http://www.facebook....149216861814432
Edited by Apichai, 20 March 2012 - 12:01.
#149
Posted 20 March 2012 - 12:03
การที่ท่าน ว จะเชื่ออะไรที่ไม่น่าเชื่อ ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่ท่าน ว สอน หรือ พูดไม่น่าเชื่อทุกเรื่อง...
การที่เชื่อคนหรือเห็นด้วยโดย ดูแค่้ว่า คนพูดเป็นคนที่เราชอบ อย่างนี้เรียกว่า งมงาย และ หมกมุ่น ลุ่มหลง ....
การที่ไม่เชื่อคนหรือไม่เห็นด้วยโดย ดูแค่้ว่า คนพูดเป็นคนที่เราไม่ชอบ หรือ เห็นไม่ตรงกับเรา อย่างนี้เรียกว่า
อคติ....
ผมว่าไอ้คนเหาะได้เนี่ย เพ้อเจ้อ... แต่ ไม่ได้แปลว่าส่วนอื่นที่ท่านพูดเพ้อเจ้อไปหมด...
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ชอบ หรือไม่ชอบพูดแล้วจึงจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยเสมอไปนี่...คนที่คิดได้แค่นี้ก็แสดงว่ามุมมองการคิด การตัดสินใจไปตามอารมณ์ที่ลุ่มหลงไป ไม่ได้คิดวิเคราะห์ตามสติปัญญา แยกแยะเหตุผล, ถูกผิด ชั่วดี
เพราะฉะนั้นท่านกล่าวทั้งหมดนั่นแหละที่เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน บอกได้ถึงระดับสติปัญญาเลยนะนั่น...
#150
Posted 20 March 2012 - 12:15
ผมว่าคนเขื่อว่าพระเจ้าตากกลับชาติมาเกิดเป็นแม้วเพ้อเจ้อ...ผมว่าไอ้คนเหาะได้เนี่ย เพ้อเจ้อ... แต่ ไม่ได้แปลว่าส่วนอื่นที่ท่านพูดเพ้อเจ้อไปหมด...