ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมในไทย ที่ได้กลายเป็น ‘อาวุธทางการเมือง’ ที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสะท้อนถึงความแตกแยกอันร้าวลึกในสังคมไทย
0000
"แม้แต่หายนภัยของประเทศ ก็ไม่วายถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง"
แปลจาก Pavin Chachavalpongpun. Even this national disaster is being used as a political weapon. ตีพิมพ์ครั้งแรกในนสพ. The Nation, 26/10/54
http://www.nationmul...l-30168516.html
เธอมันชะนีปัญญาทึบ
เธอโง่เหมือนควาย, สวยไร้สมอง, บาร์บี้หัวกลวง , ผู้นำหญิงเป็นกาลกิณี ทำให้เกิดหายนะของชาติฯลฯ
นี่คือสิ่งที่เหล่าบรรดาขาประจำชนชั้นกลาง-สูงกำลังเรียกขานนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในเวลานี้
พื้นที่บางส่วนของประเทศไทยได้กลายเป็นทะเลมาระยะหนึ่งแล้ว กรุงเทพเองก็กำลังเตรียมตัวรับน้ำก้อนใหญ่นี้ ในไม่ช้ามหานครแห่งนี้อาจจะไม่แคล้วกลายเป็นสระว่ายน้ำยักษ์ ขณะเดียวกันยิ่งลักษณ์ก็กำลังจมจวนขาดใจภายใต้สายวาีรีการเมือง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของมหันตภัยธรรมชาติอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเกมการเมืองอันบ้าคลั่ง
การวิพากวิจารณ์ในเรื่อง "ความโง่" กลายเป็นที่แพร่หลายอย่างไม่หยุดหย่อน ภาพลักษณ์ของยิ่งลักษณ์ถูกทำให้กลายเป็นตัวแทนของ "ความโง่" โดยมีเป้าหมายที่เดาไม่ยากคือทำลายความน่าเชื่อถือส่วนตัว และ ทำให้ความพยายามในการแก้ปัญหากลายเป็นเหมือนเรื่องเด็กเล่น
แต่การจะใช้เรื่องของระดับสติปัญหา "ความโง่" มาประเมินผลงานของยิ่งลักษณ์ จะต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าปกติการเมืองไทยเป็นอาณาจักรแห่งคนอัจริยะ ซึ่งก็น่าสงสัยว่าแล้วเหตุฉไน ผู้นำในอดีตเกือบทั้งหมดต่างก็ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเรื้อรังอันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วม
ถ้าเราจะตัดสินยิ่งลักษณ์ด้วยคำสักคำ บางทีคำว่า "อ่อนแอ" น่าจะเหมาะสมกว่าสำหรับการบ่งชี้ภาวะผู้นำของเธอ เป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอตอบสนองต่อปัญหาน้ำท่วมได้ช้าไม่ทันท่วงที ถึงแม้การลงพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น แต่ในยามวิกฤตอย่างนี้เธอกลับล้มเหลวในการบรูณาการหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เนื่องจากมันง่ายกว่าที่จะโทษคนอื่นในยามวิกฤต ทุกคนจึงพากันโทษไปที่ยิ่งลักษณ์กับการขาดความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตของเธอ
แต่มันยุติธรรมหรือเปล่าทีจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับยิ่งลักษณ์ เธอควรจะรับผิดเพียงผู้เดียวต่อผลจากอุทกภัยครั้งประวัติการณ์นี้หรือ? แล้ว ทำไมกรมชลประทานจึงยังกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนที่สำคัญในช่วงต้นฤดูฝน และไม่ยอมระบายน้ำออกทั้งที่มีพายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องในปีนี้? ทำไมรัฐบาลก่อนหน้าซึ่งก็พึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาอุทกภัยมาจึงไม่ได้วางระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ?
ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จ ที่เกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้มากมายในโซเชียลเนทเวิร์กต่างๆ ภาพซึ่งถูกถ่ายไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ขณะกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพจากเฮลิคอปเตอร์ถูกส่งต่อไปทั่วในเฟสบุ๊คโดยมีคำอธิบายว่า "ประเทศกำลังวิกฤติ แต่ชีกลับแฮป***แก้มปริ" นอกจากนี้ภาพของสาวฟิลิปปินส์ที่ดูเผลินๆคล้ายยิ่งลักษณ์ ขณะกำลังปาร์ตี้และกระดกวิสกี้จากขวด ก็ถูกแชร์ไปทั่วอินเตอร์เนท
ข่าวเรื่องพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่าถ้าหากน้ำท่วมกรุงเทพให้ปล่อยน้ำให้ท่วมวังจิตรดาได้เลยไม่ต้องป้องกัน ที่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ ถูกปฏิเสธโดยสำนักพระราชวัง ภาพขณะที่พระเทพฯทรงพระราชทานถุงยังชีพในปีที่แล้ว (2553) ก็ถูกแพร่กระจายอย่างตั้งใจที่จะทำให้คนไทยเข้าใจผิด
นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันโจมตียิ่งลักษณ์โดยมีจุดหมายที่การทำลายความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์กำลังสารวลในการแย่งความชอบธรรมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หัวหน้าพรรคอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเองก็ผลักดันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อสู้กับภัยน้ำท่วม ภายใต้พรก.นี้ กองทัพจะได้รับอำนาจให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างที่กองทัพต้องการ ซึ่งในบางเรื่องอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลขณะนี้ อย่างไรก็ตามอภิสิทธิ์ไม่ได้อธิบายว่ากองทัพจะสามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร
อภิสิทธิ์ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ มรว.สุขุมพันธ์ (บริพัตร) เพื่อ"แข่งขัน" ไม่ใช่ "ร่วมมือ" กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ถูกหลายคนตราหน้าว่า "โง่" แต่ขณะเดียวกันสุขุมพันธ์ก็แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพิธีกรรมที่มีรากมาจากขอมเพื่อ "ไล่น้ำ" ว่าเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันมหานครจากน้ำท่วม เขายังแสดงความหวงพื้นที่อย่างมาก จนคราหนึ่งถึงกับประกาศกร้าวว่า "ขอให้ทุกคนฟังผมคนเดียวเท่านั้น ผมจะเป็นคนบอกให้อพยพเอง"
ในเวลาเดียวกัน ภาพของทหารที่ลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นที่ประทับใจอย่างมาก แต่ทหารก็เช่นเดียวกับผู้ว่า กทม. คือ ทำงานอย่างเป็นอิสระจากรัฐบาล แสดงให้เห็นภาพของการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้าม และเสียงวิจารณ์ที่แรงที่สุดคือการขอให้ยิ่งลักษณ์ลาออก ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ตีความภาพการแก่งแข่งชิงผลงาน และ แรงกดดันให้นายกลาออก เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ "รัฐประหารด้วยน้ำ"
การไม่หยุดปัดแข้งปัดขาแม้ในสภาวะวิกฤตที่สุดของชาติ แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อหนึ่งของประเทศไทย ที่ว่าความแตกแยกในสังคมไทยตอนนี้มันบาดลึกยากเยียวยา เสียจนทำให้ ความเชื่อทางการเมือง สามารถอยู่เหนือ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และ ความฉุกเฉินในการเยียวยาประเทศได้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ประชาชนยินดีที่จะทิ้งความแตกแยกไว้ข้างหลังแล้วจับมือฟันฝ่ามหันตภัยไปด้วยกันอีกต่อไปแล้ว การอาศัยภัยภิบัติของชาติเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน
การทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกันเมืองหลวงจากการจมอยู่ใต้น้ำนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่นึกถึงแต่ตัวเองของชาวกรุง กรุงเทพที่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่จังหวัดอื่นต่างต้องทนทุกข์อยู่ใต้น้ำที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดมานาน มันแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนเมืองหลวง
ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนที่บ่นมากที่สุด โวยวายเสียงดังที่สุด กลับกลายเป็นคนกรุงเทพ ทั้งที่สวรรค์เป็นใจให้กว่าสองเดือนมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองกรุงยังถูกปกป้องให้คงความแห้งสนิทไว้ได้ ยิ่งลักษณ์เองกำลังตกอยู่ในกับดักความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เธอเข้าใจถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องป้องกันกรุงเทพไว้เพื่อเอาใจเหล่าขาประจำชาวกรุง แต่การทำงานที่ล่าช้าก่อนหน้านี้ไม่สามารถป้องกันจังหวัดรอบข้างไม่ให้จมอยู่ใต้น้ำได้
http://www.prachatai...l/2011/10/37613