ทำไมน้ำท่วม?
#1
Posted 28 October 2011 - 21:46
ก่อนมันจะไกล ผมอยากให้ท่านทั้งหลายลัดับที น้ำท่วมเพราะอะไร เริ่มเมื่อไหร่
ขอบคุณครับ
#2
Posted 28 October 2011 - 22:48
1. ปริมาณน้ำฝนรวมทั้งหมดในรอบปี มากว่าปรกติ
2. ร่องระบาย คลอง แม่น้ำตื้นเขินกว่าเดิม ในปริมาณน้ำฝนปรกติประจำปี
3. แหล่งซับน้ำเปลี่ยนสภาพไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ คือรากพืช ลำต้นไม้ ใบไม้และป่าไม้ในแต่ละปีลดลง
4. รากพืชรักษาหน้าดินลดลงจากการปลูกพืชหรือทำการเกษตรเชิงเดียว เป็นผลให้การกักเก็บน้ำและรักษาหน้าดินลดลง
5. การตัดถนนโดยไม่คำนึงถึงทางน้ำ ทำให้เบียงเบนไปในพื้นที่ ที่ไม่สามารถเป็นร่องน้ำโดยธรรมชาติได้ แม้จะช่วยกักน้ำไว้ได้แต่ไม่เป็นระบบ
6. การตื้นเขินและเบี่ยงเส้นทางสะดวกของน้ำ หรือเปิดช่องรอดไม่เพียงพอในการไหลหลากตามฤดูหรือช่วงเวลาน้ำหลาก จากเหตุผลข้างบน
7. การปล่อยและระบายน้ำไม่สัมพันธ์ก็ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาคหรือพื้นที่ ทั้งบนที่จะลงมา และล่างที่มีอยู่อย่างอิ่มตัว
หลักๆก็มีประมาณนี้แหละครับ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องปรากฏการณ์ต่างๆของโลก ซึ่งหาก 7 อย่างนี้ไม่มีปัญหา น้ำก็ไม่ท่วม ที่เหลือก็เป็นการวางแผนบริหารจัดการ ทั้งแผนพัฒนาประเทศ และแผนประจำปีครับ
หากวางแผนไม่ถูกต้อง ก็ควบคุมบังคับไม่ได้ครับ
#3
Posted 28 October 2011 - 23:00
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หลัก ๆ ก็ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน
ปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำที่กักเก็บไว้ในเขื่อน การระบายน้ำ การควบคุมน้ำที่มาตามเส้นทาง และมาตรการรับมือน้ำท่วม
สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความชิหายครั้งนี้ มาจากความบกพร่อง ประมาท เลินเล่อ และอ่อนประสบการณ์ของคนที่มีหน้าที่จัดการกับปัจจัยที่ควบคุมได้ครับ
#4
Posted 28 October 2011 - 23:02
การไม่ยอมทยอยปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไหลลงมา ตามปกติ เก็บจนเต็มแล้วก็ปล่อยที่เดียว และยังปล่อยพร้อมๆกันทุกเขื่อน สภาพที่เห็น คือ ความเร็วของกระแสน้ำ นั้นพังทลายพนังกันน้ำมาหลายนิคมแล้ว และที่มั่นใจว่าจากเขื่อน ก็เพราะความเร็วกระแสน้ำนี้เอง คิดง่ายๆ เตรียมน้ำปริมาณเท่ากัน ให้ไหลจากฝักบัว กับไหลจากขันอาบน้ำ อันไหนจะสร้างความเสียหายและให้เกิดกระแสน้ำที่รุนแรงมากกว่ากัน ส่วนถ้าเป็นปัจจัยของพายุ ก็อย่าลืม พายุ ไม่ได้ตกเฉพาะที่เขื่อน ถ้าฝนที่เกิดจากพายุตกที่เขื่อน เขื่อนก็เก็บน้ำ แต่ถ้าไปตกลงในส่วนที่ไม่ใช่เขื่อน ก็ไหลลงไปตามธรรมชาติ ตรงนี้ก็โดนนับเป็นปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมาในปีนี้ด้วย ฉะนั้นผมตั้งข้อสังเกตุแค่ว่า ปริมาณน้ำฝนที่วัดๆกันได้ ว่าเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากพายุที่เคลื่อนผ่านประเทศไทย
ถ้าจะไล่สถิติ ผมว่ามีคนโพสต์ในบอร์ดนี้ก็เยอะแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เรียงเรียงให้ดีๆเท่านั้นเอง
แต่ที่น่าจะต้องด่าและโทษที่สุด ก็คือเรื่องการบริหารจัดการน้ำนั้นเอง
โดยส่วนตัวแล้ว ไม่เชื่อว่า ทั้งประเทศไทย จะไม่มีใครสามารถคำนวนปริมาณที่กำลังไหลมาได้ อย่างน้อยๆ มีสัญญาเตือนภัยว่ามีบ้างจังหวัดที่น้ำท่วมก่อนปูแหล ได้รับตำแหน่งจริง แต่หลังจากนั้นละ กินเวลานานเกือบ 2 เดือน กว่าจะไหลมาสู่ กทม ถ้ารู้จักการเตรียมการ คำนวนปริมาณน้ำ ความแรง ผมเชื่อว่า มันก็พอที่จะเตือนภัยในการป้องกันได้
เวลาเกือบ 2 เดือน มนุษย์ช่วยกันสร้างทางน้ำ ขุดคลอง เตรียมตัว ไม่ยากเกินไปที่จะทำในสมัยนี้
#5
Posted 29 October 2011 - 09:37
เอาง่ายๆ เลยนะ ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนี้แหละมาเป็นคำถามเพื่อหาคำตอบ ถ้าเสี่ยเค้าเป็นรัฐบาลอยู่ จะรักษานิคมทั้ง 7 ได้อย่างไร ถ้ามีมวลน้ำขนาดใหญ่กว่าเขื่อนภูมิพลจอคอหอยอยู่
#6
Posted 29 October 2011 - 10:56
2. บัญเอิญโชคร้าย ปลายปีพายุเข้า 5 ลูกติด แทนที่จะแล้งเลยน้ำท่วมแทน
3. เขื่อนจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำ แต่ถูกร้องขอให้กักไว้ก่อนจากรัฐมนตรีบางคน เพราะกลัวชาวนาเกี่ยวข้าวไม่ทัน รัฐมนตรีก็คาดไม่ถึงว่าน้ำจะมากขนาดนั้น คิดว่า "เอาอยู่" (ยังไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก)
4. รัฐบาลยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังคงลอยชายไปเตะบอลที่เขมร และทำภารกิจประชาธิปไตยเพื่อแม้วๆอยู่
5. พายุยังเข้าไม่เลิก ระดับน้ำในเขื่อนเข้าขั้นวิกฤติ ยังไงก็ต้องปล่อย ไม่งั้นเขื่อนแตก
6. พอปล่อยก็ซ้ำเติมสถานะการณ์ นำ้ท่วม ทำให้นำ้ยิ่งท่วมหนักเข้าไปอีก
7. รัฐบาลเริ่มแผนปฎิบัติการป้องกันภัยอย่างขะมักเขม้น แต่คิดเองเออเอง พวกนักวิชาการสลิ่มทั้งหลายไปไกลๆเลย กรูรู้ กรูเทพ กรูทำได้ "เอาอยู่้" ซ้ำมีปฎิการสร้างภาพ เอาหน้าอย่างเต็มที่
8. แต่ก็เอาไม่อยู่ นิคมอุตสหกรรมจมไป 7 แห่ง เขตที่ไม่น่าท่วม ท่วม! เริ่มมีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ ถึงวิธีแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ปฎิบัติการสร้างภาพเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึุงความเหมาะสม
9.การทำงานของรัฐบาลเองก็มีอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องจากการขาดความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งอคติของฝ่ายตรงข้าม และเรื่องไม่ดีไม่งามจากคนของตนเอง ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสะดุดมีปัญหา มีความสับสนอลหม่านและความไม่มีระเบียบเกิดขึ้น และรัฐบาลไม่มีมาตราการใดๆรองรับเลย
10. แผนบรรเทาสาธารณภัยของรัฐล้มเหลว คันแตกไปหลายจุด สาเหตุหลักๆ เพราะมีคนไปพังคัน แล้วรัฐบาลไม่กล้าใช้กฎหมายเพราะคนพังคันก็คือฐานเสียงของตนเอง จะใช้ทหารก็ไม่กล้ากลัวปฎิวัติ -*- !
11. ในที่สุดน้ำก็ท่วมกรูงเทพฯ รัฐบาลเริ่มยอมรับความจริง เริ่มขอความช่วยเหลือจากทุกๆ ภาคส่วน ทำให้การทำงานเริ่มดีขึ้นแต่ดูเหมือนจะสายไปแล้วรึเปล่าว?
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม คือ ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
คุณธรรมที่พร้ำสอน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา ส่วน ประชาธิปไตยน่ะรึ เอาเข้าจริงๆ สำคัญอันใด??
#7
Posted 29 October 2011 - 11:22
#8
Posted 29 October 2011 - 11:31
สาเหตุก็ตามๆ ข้างบนแหละ อยากพูดเรื่องการบริหารจัดการน้ำมากกว่า คืออยากทราบว่าถ้าเป็นพรรคเทวดามาบริหาร มันจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างไรบ้าง ที่ผมมั่นใจเลยคือเสี่ยเค้าจะประกาศ พรก.ฉุกเฉิน แน่ๆ แต่มันจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้จริงเหรอ ส่วนเรื่องนิคมที่โดนท่วมไป ผมก็ยังไม่เคยเห็นวิธีรับมือจากพรรคเทวดาเลย ซึ่งคำตอบจริงๆ คือ ไม่มี คงได้แต่สร้างคันดินสู้น้ำซึ่งๆ หน้าอย่างที่เห็นๆ กัน เพราะจังหวัดอื่นๆ ไม่ได้มีบุญวาสนาที่มีเครื่องไม้เครื่องมี และลำคลองมากมายมหาศาลมาจัดการน้ำเหมือนกรุงเทพ
เอาง่ายๆ เลยนะ ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนี้แหละมาเป็นคำถามเพื่อหาคำตอบ ถ้าเสี่ยเค้าเป็นรัฐบาลอยู่ จะรักษานิคมทั้ง 7 ได้อย่างไร ถ้ามีมวลน้ำขนาดใหญ่กว่าเขื่อนภูมิพลจอคอหอยอยู่
ผมไม่รู้คุณคิดไง
แต่
พรรคที่คุมน้ำคือชาติไทย ตั้งแต่สมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์
ลองไปถามเขาดีไหม นับวันผมยิ่งอยากฟังจากปากคำเขา
#9
Posted 29 October 2011 - 11:36
1. ต้นปีมีการคาดการว่าฝนแล้ง เขื่อนจึงเก็บกักน้ำไว้มากกว่าปรกติ เพื่อใช้ยามเกิดภัยแล้ง
2. บัญเอิญโชคร้าย ปลายปีพายุเข้า 5 ลูกติด แทนที่จะแล้งเลยน้ำท่วมแทน
3. เขื่อนจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำ แต่ถูกร้องขอให้กักไว้ก่อนจากรัฐมนตรีบางคน เพราะกลัวชาวนาเกี่ยวข้าวไม่ทัน รัฐมนตรีก็คาดไม่ถึงว่าน้ำจะมากขนาดนั้น คิดว่า "เอาอยู่" (ยังไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก)
4. รัฐบาลยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังคงลอยชายไปเตะบอลที่เขมร และทำภารกิจประชาธิปไตยเพื่อแม้วๆอยู่
5. พายุยังเข้าไม่เลิก ระดับน้ำในเขื่อนเข้าขั้นวิกฤติ ยังไงก็ต้องปล่อย ไม่งั้นเขื่อนแตก
6. พอปล่อยก็ซ้ำเติมสถานะการณ์ นำ้ท่วม ทำให้นำ้ยิ่งท่วมหนักเข้าไปอีก
7. รัฐบาลเริ่มแผนปฎิบัติการป้องกันภัยอย่างขะมักเขม้น แต่คิดเองเออเอง พวกนักวิชาการสลิ่มทั้งหลายไปไกลๆเลย กรูรู้ กรูเทพ กรูทำได้ "เอาอยู่้" ซ้ำมีปฎิการสร้างภาพ เอาหน้าอย่างเต็มที่
8. แต่ก็เอาไม่อยู่ นิคมอุตสหกรรมจมไป 7 แห่ง เขตที่ไม่น่าท่วม ท่วม! เริ่มมีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ ถึงวิธีแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ปฎิบัติการสร้างภาพเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึุงความเหมาะสม
9.การทำงานของรัฐบาลเองก็มีอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องจากการขาดความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งอคติของฝ่ายตรงข้าม และเรื่องไม่ดีไม่งามจากคนของตนเอง ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสะดุดมีปัญหา มีความสับสนอลหม่านและความไม่มีระเบียบเกิดขึ้น และรัฐบาลไม่มีมาตราการใดๆรองรับเลย
10. แผนบรรเทาสาธารณภัยของรัฐล้มเหลว คันแตกไปหลายจุด สาเหตุหลักๆ เพราะมีคนไปพังคัน แล้วรัฐบาลไม่กล้าใช้กฎหมายเพราะคนพังคันก็คือฐานเสียงของตนเอง จะใช้ทหารก็ไม่กล้ากลัวปฎิวัติ -*- !
11. ในที่สุดน้ำก็ท่วมกรูงเทพฯ รัฐบาลเริ่มยอมรับความจริง เริ่มขอความช่วยเหลือจากทุกๆ ภาคส่วน ทำให้การทำงานเริ่มดีขึ้นแต่ดูเหมือนจะสายไปแล้วรึเปล่าว?
เห็นด้วยเยอะเลยนะ แต่ข้อแย้งบางข้อละกัน
3. เป็นแค่ข่าวลือ เหมือนที่มีคนบอกว่าเสี่ยมาร์คหนีเที่ยวมัลดีฟนั้นแหละ ผมจำได้ว่าเวลาพูดเสี่ยเค้าทีไร สลิ่มที่นี้มักจะถามหาหลักฐาน ผมว่ารัฐมนตรีคนนั้นก็คงจะถามหาเช่นกัน
4. มุกนี้เล่นกันเกร่อมากๆ แต่ข้อเท็จจริงคือ คนที่ไปเตะบอล และแจกหม้อ มันไม่ได้มีหน้าที่ส่วนโดยตรงในการจัดการน้ำ เตะไม่เตะก็มีผลเท่ากัน ฉะนั้นจะยกมาทำไม
7. ผมว่ามันกลับกันมั้ง นักวิชาการสลิ่ม มันจะไม่ให้ความร่วมมือ ค่อยจะซ้ำเติมอย่างเดียว ดูจากพวกขาประจำทั้งหลายได้เลย
11. ผมว่าเค้ายอมรับความจริงตั้งแต่เอานิคมไม่อยู่แล้วละครับ หลายภาคส่วนคงรู้ตัวแล้วว่าการเป็น hero มันเทห์กว่าทำตัวเกรียนเป็นไหนๆ ไม่เชื่อถาม ผบทบ. ดู
#10
Posted 29 October 2011 - 11:40
สาเหตุก็ตามๆ ข้างบนแหละ อยากพูดเรื่องการบริหารจัดการน้ำมากกว่า คืออยากทราบว่าถ้าเป็นพรรคเทวดามาบริหาร มันจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างไรบ้าง ที่ผมมั่นใจเลยคือเสี่ยเค้าจะประกาศ พรก.ฉุกเฉิน แน่ๆ แต่มันจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้จริงเหรอ ส่วนเรื่องนิคมที่โดนท่วมไป ผมก็ยังไม่เคยเห็นวิธีรับมือจากพรรคเทวดาเลย ซึ่งคำตอบจริงๆ คือ ไม่มี คงได้แต่สร้างคันดินสู้น้ำซึ่งๆ หน้าอย่างที่เห็นๆ กัน เพราะจังหวัดอื่นๆ ไม่ได้มีบุญวาสนาที่มีเครื่องไม้เครื่องมี และลำคลองมากมายมหาศาลมาจัดการน้ำเหมือนกรุงเทพ
เอาง่ายๆ เลยนะ ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนี้แหละมาเป็นคำถามเพื่อหาคำตอบ ถ้าเสี่ยเค้าเป็นรัฐบาลอยู่ จะรักษานิคมทั้ง 7 ได้อย่างไร ถ้ามีมวลน้ำขนาดใหญ่กว่าเขื่อนภูมิพลจอคอหอยอยู่
ต้องแยกให้ออกว่านิคมโดนท่วมแต่ย้ายของออกทัน กับนิคมโดนท่วมเพราะบอกว่าเอาอยู่เลยไม่ได้ย้ายของ มันเสียหายไม่เท่ากัน
อย่างบ้านผมท่วมก็คือท่วม ย้ายรถ ยกของ แต่ผมไม่ได้ฟังศปภ.นะผมฟังกทม.
#11
Posted 29 October 2011 - 11:59
"ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ" - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"คนเราสามารถเปลี่ยนต้นไม้ประหลาด ให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนคนผิดให้เป็นพระเจ้า เปลี่ยนสีขาวให้เป็นสีดำ เพียงเพราะความเชื่อของตัวเองเพียงเท่านั้น"
#12
Posted 29 October 2011 - 12:10
1. ต้นปีมีการคาดการว่าฝนแล้ง เขื่อนจึงเก็บกักน้ำไว้มากกว่าปรกติ เพื่อใช้ยามเกิดภัยแล้ง
2. บัญเอิญโชคร้าย ปลายปีพายุเข้า 5 ลูกติด แทนที่จะแล้งเลยน้ำท่วมแทน
3. เขื่อนจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำ แต่ถูกร้องขอให้กักไว้ก่อนจากรัฐมนตรีบางคน เพราะกลัวชาวนาเกี่ยวข้าวไม่ทัน รัฐมนตรีก็คาดไม่ถึงว่าน้ำจะมากขนาดนั้น คิดว่า "เอาอยู่" (ยังไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก)
4. รัฐบาลยังไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังคงลอยชายไปเตะบอลที่เขมร และทำภารกิจประชาธิปไตยเพื่อแม้วๆอยู่
5. พายุยังเข้าไม่เลิก ระดับน้ำในเขื่อนเข้าขั้นวิกฤติ ยังไงก็ต้องปล่อย ไม่งั้นเขื่อนแตก
6. พอปล่อยก็ซ้ำเติมสถานะการณ์ นำ้ท่วม ทำให้นำ้ยิ่งท่วมหนักเข้าไปอีก
7. รัฐบาลเริ่มแผนปฎิบัติการป้องกันภัยอย่างขะมักเขม้น แต่คิดเองเออเอง พวกนักวิชาการสลิ่มทั้งหลายไปไกลๆเลย กรูรู้ กรูเทพ กรูทำได้ "เอาอยู่้" ซ้ำมีปฎิการสร้างภาพ เอาหน้าอย่างเต็มที่
8. แต่ก็เอาไม่อยู่ นิคมอุตสหกรรมจมไป 7 แห่ง เขตที่ไม่น่าท่วม ท่วม! เริ่มมีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ ถึงวิธีแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ปฎิบัติการสร้างภาพเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึุงความเหมาะสม
9.การทำงานของรัฐบาลเองก็มีอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องจากการขาดความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งอคติของฝ่ายตรงข้าม และเรื่องไม่ดีไม่งามจากคนของตนเอง ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสะดุดมีปัญหา มีความสับสนอลหม่านและความไม่มีระเบียบเกิดขึ้น และรัฐบาลไม่มีมาตราการใดๆรองรับเลย
10. แผนบรรเทาสาธารณภัยของรัฐล้มเหลว คันแตกไปหลายจุด สาเหตุหลักๆ เพราะมีคนไปพังคัน แล้วรัฐบาลไม่กล้าใช้กฎหมายเพราะคนพังคันก็คือฐานเสียงของตนเอง จะใช้ทหารก็ไม่กล้ากลัวปฎิวัติ -*- !
11. ในที่สุดน้ำก็ท่วมกรูงเทพฯ รัฐบาลเริ่มยอมรับความจริง เริ่มขอความช่วยเหลือจากทุกๆ ภาคส่วน ทำให้การทำงานเริ่มดีขึ้นแต่ดูเหมือนจะสายไปแล้วรึเปล่าว?
เห็นด้วยเยอะเลยนะ แต่ข้อแย้งบางข้อละกัน
3. เป็นแค่ข่าวลือ เหมือนที่มีคนบอกว่าเสี่ยมาร์คหนีเที่ยวมัลดีฟนั้นแหละ ผมจำได้ว่าเวลาพูดเสี่ยเค้าทีไร สลิ่มที่นี้มักจะถามหาหลักฐาน ผมว่ารัฐมนตรีคนนั้นก็คงจะถามหาเช่นกัน
4. มุกนี้เล่นกันเกร่อมากๆ แต่ข้อเท็จจริงคือ คนที่ไปเตะบอล และแจกหม้อ มันไม่ได้มีหน้าที่ส่วนโดยตรงในการจัดการน้ำ เตะไม่เตะก็มีผลเท่ากัน ฉะนั้นจะยกมาทำไม
7. ผมว่ามันกลับกันมั้ง นักวิชาการสลิ่ม มันจะไม่ให้ความร่วมมือ ค่อยจะซ้ำเติมอย่างเดียว ดูจากพวกขาประจำทั้งหลายได้เลย
11. ผมว่าเค้ายอมรับความจริงตั้งแต่เอานิคมไม่อยู่แล้วละครับ หลายภาคส่วนคงรู้ตัวแล้วว่าการเป็น hero มันเทห์กว่าทำตัวเกรียนเป็นไหนๆ ไม่เชื่อถาม ผบทบ. ดู
ความเห็นแย้งของท่านก็พอฟังได้บ้าง ยกเว้นข้อ 7
คุณมองพวกเขาในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่าว มักวิชาการที่มีความสามารถเป็นสลิ่มหมดเลยรึ? เป็นสลิ่มแล้วทุกคนใจดำไม่ช่วยเลยรึ? ผมว่าไม่ มันต้องมีคนเต็มใจช่วยบ้างล่ะ
หรือรัฐบาลอคติกับพวกเขา ว่าส่วนใหญ่ชอบเข้าข้างสลิ่มเลยไม่ต้องการให้พวกเขาช่วย? หรือนักวิชาการเหล่านี้เสนอความเห็นขัดรัฐบาล รัฐบาลจึงไม่ฟังพวกเขา?
ไม่รู้ล่ะ เท่าที่ผมเห็น นักวิชาการออกมาช่วยน้อยมาก มันทำให้ผมเกิดคำถามว่า สุดท้ายแล้วนักวิชาการเหล่านี้ใจดำ หรือรัฐบาลไม่มีความสามารถในการดึงคนเหล่านี้มาช่วย กันแน่
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ชนะสงคราม คือ ความแข็งแกร่ง และ อุดมการณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
คุณธรรมที่พร้ำสอน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นรองลงมา ส่วน ประชาธิปไตยน่ะรึ เอาเข้าจริงๆ สำคัญอันใด??
#13
Posted 29 October 2011 - 12:41
ข้อ 3 ก็ถูกอยู่แล้ว รัฐบาลพูดมาตลอดว่าเอาอยู่ โดยใช้แผนโง่ๆคือ ทำที่กั้นน้ำ กั้นไปเรื่อยๆโดยที่สูงเท่าเดิม คือ 1-2 เมตร
พอที่กั้นอันแรกพัง น้ำก็เข้ามาที่กั้นอันที่สอง เมื่อน้ำจำนวนเท่าเดิม ที่กั้นแรกเอาไม่อยู่ ที่กั้นสองก็เอาไม่อยู่
ทำแบบนี้มาตั่งแต่ก่อนถึงอยุธยา จนมาท่วมทุกนิคม
ข้อ 4 ผมจำได้ดี คุณไปเตะบอลกับเขมร แต่มารคเตะบอลช่วยน้ำท่วม
ข้อ 7 ข่าวหนังสือพิมพ์ก็บอกอยู่แล้ว http://www.thairath....ent/life/210531
อาจารย์ปราโมทย์ คืออาจารย์ที่ในหลวงใช้มาตลอด
นักวิชาการเก่งๆ คือ อ.ศศิน ดร.เสรี อ.ปราโมทย์
ผมพูดตรงๆเขาเสนอความคิดมาหลายรอบแล้ว แต่รัฐบาลไม่เคยฟังเขา ใช้นโยบายโง่ๆ น้ำท่วมทำที่กั้นน้ำ จบ (เด็กป.4ก็คิดได้)
ข้อ 11 คุณก็รู้ว่ารัฐบาลทำผิดพลาดมาถึงนิคม ...คุณยังทำหูเอานา เอาตาไปไร่ อีกรึ
#14
Posted 29 October 2011 - 12:44
และระบบบริหารจัดการที่เยี่ยมยอด จากคุณยุทธ. คุณประชา. ที่กลัวชาวบ้านตกใจ โดยการแจ้งสถานการณ์หลังเกิดเหตุ
และงานด้านสื่อ แบบนายวิม. ผู้เชื่ยวชาญด้านแก้ต่างและสนับสนุนข่าวลวง
คนไทยส่วนใหญ่เขาแยกแยะได้ ว่านำ้ท่วมเพราะสาเหตุใด สื่อข่าวสารเยอะแยะ. ทั้งไทยทั้งเทศ
แต่ไม่มียุคไหนหรอกที่ชาวบ้านเขาพร้อมใจเลิกให้ความเชื่อถือ หน่วยรงานรัฐ. ผู้ซึ่งจะต้องมีบทบาทมากที่สุด. ให้ความหวังแก่ชาวบ้านมากที่สุด. กลับพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานไม่ได้เรื่อง. ซึ่งมาจากผลการกระทำ และผลจากวาจาที่เชื่อถือไม่ได้
เพียงแต่หาก. ผู้นำประเทศมีภาวะความเป็นผู้นำ. และมีวุฒิภาวะมากพอ. หลายเหตุการณ์คงไม่เกิดขึ้น
หากมาร์คเป็นนายกฯ อยู่ช่วงนี้นั้นหรือ. คงไม่มีใครบอกได้ว่า. เขาจะทำได้ดีแค่ไหน. แต่อย่างน้อยสภาพความเละทุ่มเปะของการบริหารจัดการคงไม่มากขนาดนี้
#15
Posted 29 October 2011 - 13:00
ผมขอตอบตามหลักการนะครับ อาจจะไม่ได้เอาข้อมูลจริงทั้งหมด
1. ปริมาณน้ำฝนรวมทั้งหมดในรอบปี มากว่าปรกติ
2. ร่องระบาย คลอง แม่น้ำตื้นเขินกว่าเดิม ในปริมาณน้ำฝนปรกติประจำปี
3. แหล่งซับน้ำเปลี่ยนสภาพไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ คือรากพืช ลำต้นไม้ ใบไม้และป่าไม้ในแต่ละปีลดลง
4. รากพืชรักษาหน้าดินลดลงจากการปลูกพืชหรือทำการเกษตรเชิงเดียว เป็นผลให้การกักเก็บน้ำและรักษาหน้าดินลดลง
5. การตัดถนนโดยไม่คำนึงถึงทางน้ำ ทำให้เบียงเบนไปในพื้นที่ ที่ไม่สามารถเป็นร่องน้ำโดยธรรมชาติได้ แม้จะช่วยกักน้ำไว้ได้แต่ไม่เป็นระบบ
6. การตื้นเขินและเบี่ยงเส้นทางสะดวกของน้ำ หรือเปิดช่องรอดไม่เพียงพอในการไหลหลากตามฤดูหรือช่วงเวลาน้ำหลาก จากเหตุผลข้างบน
7. การปล่อยและระบายน้ำไม่สัมพันธ์ก็ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในแต่ละภูมิภาคหรือพื้นที่ ทั้งบนที่จะลงมา และล่างที่มีอยู่อย่างอิ่มตัว
หลักๆก็มีประมาณนี้แหละครับ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องปรากฏการณ์ต่างๆของโลก ซึ่งหาก 7 อย่างนี้ไม่มีปัญหา น้ำก็ไม่ท่วม ที่เหลือก็เป็นการวางแผนบริหารจัดการ ทั้งแผนพัฒนาประเทศ และแผนประจำปีครับ
หากวางแผนไม่ถูกต้อง ก็ควบคุมบังคับไม่ได้ครับ
จริงๆ มันก็มีอยู่แค่นั้นและครับ การที่บอกว่าปีนี้น้ำเยอะนั้น ผมกลับมองว่าปีนี้ น้ำปกติ มากกว่า แต่เราไม่มี ทั้งผืนดิน ป่าไม้ และความลึก ของแม่น้ำลำคลอง มากช่วยในการ ดูดซับ ชะลอการไหลของน้ำ และระบาย น้ำ จากฝนที่ตกลงมา ประกอบกับ การเจริญเติบโตของเมือง ทำให้ต้องมีการเทปูน เพื่อสร้าง ถนน และที่อยู่อาศัย ทำให้ผืนดิน ที่คอยดูดซับ น้ำ และป่าไม้ที่คอยชะลอการไหล ของน้ำหายไป
ยิ่งการนั้น การสร้างถนนหนทาง กลับกลายเป็นการ สร้างแนวเขือน เก็บกัก น้ำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถนน สมัยนี้สร้างให้สูงเพื่อกันน้ำท่วม กับกลายเป็นว่าสร้างปัญหาให้กับ ชาวบ้านที่อาศัยบริเวณนั้น
ประกอบกับปีนี้ เราได้รัดบาน(จงใจเขียน) ที่ทั้ง โง่ หลงอำนาจ และชะล่าใจ ทำให้กลายเป็นว่าปัญหาแทนที่จะ เกิดเพียงแค่ระดับ ต่ำ หรือ กลาง กลายเป็นปัญหาใหญ่ ระดับ ชาติ ไปซะงั้น
#16
Posted 29 October 2011 - 13:10
กัน ปัญหามันไม่ได้ จะมีมาแค่ 1-2 อาทิตย์ หรือน้ำป่าทะลัก แบบน้ำปาด ใครด่านายกก็บ้า
ด่าบริหารจัดการไม่ดี *** ควายเกิน แต่นี้ปัญหามันมีมากี่เดือน
น้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้น ช่วง สค-กย ข่าวที่ว่า รมต.บอกอาจจะจริง หรือไม่ แต่ที่เห็นชัดคือน้ำในเขื่อนเพิ่มขึ้น จริง เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือจะแถว่าน้ำในเขื่อนสูงขึ้นไม่จริง น้ำที่เพิ่มสูงขนาดนั้น ในช่วงกลางฤดู แสดงว่า การจัดการมีปัญหาแน่นอน เพราะตามปกติแล้วเขื่อนจะเริ่มเก็บน้ำมากขึ้นช่วงปลายฤดู แล้วผมก็เห็นนักวิชาการออกมาบอกหลายคน ตกลง คนพวกนั้นมีตำแหน่งไหม เอาใครมาเป็นก็เห็นแต่เอาเส้นสาย ไร้ความสามารถ คนหนึ่งพูดอย่างอีกคนพูดอย่าง (ถ้าใจไม้ถูพื้นไม่บอดก็คงเห็น)ปัญหาเดียวกันคนจัดการต่างกันผลต่างกัน
#17
Posted 29 October 2011 - 13:24
กราฟข้อมูลทั้งหมดมีอยู่สามส่วนได้แก่
1. ปริมาณน้ำทั้งหมดในเขื่อน โดยมีปริมาณน้ำเต็มอยู่ที่ประมาณ 13,462 ล้าน ลบ.ม.
2. ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อน
3. ปริมาณน้ำที่ถูกปล่อยออกจากเขื่อน
จากข้อมูลเราพบว่าในช่วงเดือนมีนาคม และเมษายน ปริมาณน้ำรวมที่ไหลเข้าเขื่อนไม่ได้แตกต่างจากปีก่อนๆมากนัก ในขณะที่น้ำที่ถูกปล่อยออกจากเขื่อนมีปริมาณลดลงจากปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่ช่วงเดือน พฤษภาคม ถึงปลายเดือนกรกฎาคม ปริมาณน้ำรวมที่ไหลเข้าเขื่อนมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ ในขณะที่น้ำที่ถูกปล่อยออกจากเขื่อนมีปริมาณต่ำอย่างเห็นได้ชัด โดยมีบางช่วงเวลาน้ำที่ถูกปล่อยเข้าใกล้ศูนย์ ซึ่งได้แก่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ถึงปลายมิถุนายน
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ปริมาณน้ำรวมในเขื่อนได้เพิ่มขึ้นจาก 6,000 ล้าน ลบ.ม. เป็น 8,500 ล้าน ลบ.ม. โดยกราฟมีความชันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ
สถานการณ์ช่วงต้นเดือนสิงหาคม จนถึงปลายเดือนกันยายน ทางเขื่อนมีความพยายามรักษาระดับการปล่อยน้ำที่ประมาณ 30 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งสูงกว่าปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยมีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนสูงกว่าปีก่อนอย่างชัดเจน
ปริมาณน้ำในเขื่อนได้เข้าใกล้ถึงจุดสูงสุดช่วงต้นเดือนตุลาคม โดยมีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนจำนวนมหาศาลโดยบางวันมีปริมาณมากถึง 280 ล้าน ลบ.ม. ในช่วงเวลาดังกล่าวเขื่อนได้ปล่อยน้ำระหว่าง 60 ล้าน ลบ.ม. ถึง 100 ล้าน ลบ.ม. โดยมีบางวันได้ปล่อยถึง 130 ล้าน ลบ.ม.
http://thaienews.blo...-post_2297.html
********
http://youtu.be/s0jQUgfZsrs
นิติภูมิ นวรัตน์ ไปตรวจสอบว่า กทม.ไม่มีการสูบน้ำเพื่อลงทะเล ในเวลากลางคืน!!
...E=mc2 เข้าใจสูตร 3บรรทัดอย่างแตกฉาน
ย่อมรอบรู้กว่า...
...การอ่านตำราหมดทั้งหอสมุด แต่อ่านไปเรื่อยแบบไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจห่าอะไรเลย...
#18
Posted 29 October 2011 - 14:46
#19
Posted 29 October 2011 - 14:53
ชาวบ้านที่โง่ๆ เขาจะดูรู้เรื่องเรอะแบบนั้น
The most valuable things in life are not measured in monetary terms.
The really important things are not houses and lands, stocks and bonds, automobiles and real estate,
but friendships, trust, confidence, empathy, mercy, love and faith.
#20
Posted 29 October 2011 - 14:53
...E=mc2 เข้าใจสูตร 3บรรทัดอย่างแตกฉาน
ย่อมรอบรู้กว่า...
...การอ่านตำราหมดทั้งหอสมุด แต่อ่านไปเรื่อยแบบไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจห่าอะไรเลย...
#21
Posted 29 October 2011 - 14:57
ผมขอยกกระทู้ที่คุณโคนัน มาไว้ที่นี่ เพื่อประกอบการค้นหาสาเหตุนะครับ
โดยเฉพาะ คคห.ที่30 และ 32 ..
http://webboard.seri...น้ำท่วมรุนแ/...
#22
Posted 29 October 2011 - 14:57
นิติภูมิ นวรัตน์ ไปตรวจสอบว่า กทม.ไม่มีการสูบน้ำเพื่อลงทะเล ในเวลากลางคืน!!
ความเห็นของนิติภูมิก็ดูฉลาดนะ พูดจามีหลักการ มีการตามไปถ่ายคลิปด้วย
แต่ผมขอถามแค่คำถามเดียว แค่หนึ่งคำถาม
ใครเขาเปิดประตูน้ำในคลองตอนน้ำขึ้นครับ? (จะเปิดให้น้ำไหลย้อนจากแม่น้ำมาท่วมเล่นๆหรือครับพี่ ไปเคลีย์กับป้าเช็งก่อนดีกว่านะ)
#23
Posted 29 October 2011 - 15:30
http://www.thairath.co.th/content/life/209612
วันนี้ ขอพามารู้จักพายุที่ทำให้ประเทศไทยเจอกับภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ในปีนี้
ตั้งแต่ ต้นปี 2554 ในช่วงเดือนมีนาคม ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด แต่ประชาชนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้สึกถึงภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลา ต่อมา จากเดิมในช่วงมีนาคม ซึ่งปกติอากาศจต้องร้อนอบอ้าว กลับเป็นหนาวเย็น และมีฝนตก เนื่องจากมาจากอิทธิพลของความกดอากาศสูงที่ประเทศจีน แผ่ปกคลุมมาถึงประเทศไทยตอนบน
และในขณะเดียวกัน หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงก็ส่งผลมาถึงภาคใต้ตอนกลาง ตลอดเดือนมีนาคมนั้นจึงทำให้ภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นเกือบตลอดเดือน ทำให้เกิดอุทกภัยเป็นบริเวณกว้างและรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ
อีกทั้งยัง มีเหตุดินโคลนถล่มใน จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรัง และกระบี่ ซึ่งตั้งแต่นั้นมาภาพรวมของประเทศไทยก็ยังคงมีฝนตกอยู่มากน้อยเป็นบาง พื้นที่ แต่เป็นครั้งแรกที่ไม่มีฝนทิ้งช่วง จึงทำให้ปริมาณของน้ำมากเกินความต้องการ
และที่น่าเป้นห่วงที่สุดก็ คือ ประเทศไทยก็ยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุโหมกระหน่ำเข้ามาอีกหลายลูก ทั้งพายุโซนร้อนไหหม่า, พายุโซนร้อนนกเตน, พายุโซนร้อนไห่ถาง พายุไต้ฝุ่นเนสาด และพายุโซนร้อนนาลแก
พายุโซนร้อนไหหม่า
'ไหหม่า' (Haima) เป็นชื่อพายุมาจากประเทศจีน มีความหมายว่า 'ม้าน้ำ'
พายุ ลูกนี้เกิดจากอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ร่องความกดอากาศต่ำ ซึ่งเข้ามาเมื่อเดือนมิถุนายน โดยเคลื่อนเข้าฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนบนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 แล้วอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเคลื่อนผ่านประเทศลาว จนอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2554
จากนั้นได้เคลื่อนเข้าปกคลุมที่จังหวัดน่าน และสลายตัวในวันเดียว ซึ่งมีผลทำให้ภาคเหนือตอนบนของไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่อง มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดใน 24 ชั่วโมง มีระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อ.ปัว จ.น่าน วัดได้ 335.2 มิลลิเมตร
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนไหหม่า
หลังจากที่พายุสลาย ตัวลงที่ จ.น่าน เพียงวันเดียว ต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน 2554 มีรายงานน้ำท่วมฉับพลัน น้ำปาไหลหลาก ดินถล่มที่ จ.แพร่ เชียงราย พะเยา น่าน ตาก และสุโขทัย มีผู้เสียชีวิตรวม 3 ราย ประชาชนเดือดร้อน 105,703 ครัวเรือน 411,573 8 คน พื้นที่เกษตรเสียหาย 159,598 ไร่
พายุโซนร้อนนกเตน
พายุ นกเตน (Nok-Ten) หรือพายุนกกระเต็น ซึ่งเป็นชื่อที่ประเทศลาวได้ตั้งไว้นั้น
เป็น พายุที่เกิดจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้าน ตะวันตก จนทำให้เกิดฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทย ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม
ซึ่งในวันที่ 25 กรกฎาคม ได้ทวีความแรงขึ้นจนเป็นพายุโซนร้อนและเคลื่อนตัวผ่านเกาะลูซอน ที่ฟิลิปปินส์ ลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลาง จากนั้นเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือที่เกาะไหหลำ และอ่าวตังเกี๋ยขึ้นฝั่งที่เวียดนามตอนบนในวันที่ 30 กรกฎาคม กระทั่งมาผ่านประเทศลาวพร้อมกับอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันในวันที่ 31 กรกฎาคม
ซึ่งในวันเดียวกันก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยที่ จ.น่าน อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือที่ จ.แพร่ ลำปาง เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนนกเตน
อิทธิพลจากพายุ ลูกนี้ ในส่วนของประเทศไทย ทำให้มีฝนตกกระจายหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำฝนมากท่ีสุดใน 24 ชั่วโมง วัดได้ 405.9 มิลลิเมตร ที่ อ.เมือง จ.หนองคาย เกิดเหตุน้ำท่วมรวม 20 จังหวัด
ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ตอนบน มีผู้เสียชีวิต 20 ราย สูญหาย 1 คน บาดเจ็บ 11 คน ประชาชนเดือดร้อน 314,732 ครัวเรือน 1,029,716 คน พื้นที่การเกษตรเสียหาย 619,723 ไร่
หลัง จากที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และร่องความกดอากาศต่ำที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ยั้งแล้ว ในช่วงเดือนกันยายน ประเทศไทยยังต้องรับมือจากอิทธิพลพายุหมุนเขตร้อนอีก 2 ลูกใหญ่ ส่งผลให้หลายจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคกลางตอนบนและตอนล่าง รวมไปถึงภาคอีสานตอนบนเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ ขยายเป็นวงกว้าง
พายุโซนร้อนไห่ถาง
พายุ โซนร้อนไห่ถาง (Haitang) แปลว่า ดอกแคร็ปแอปเปิ้ลบานจากประเทศจีนลูกนี้
เป็น พายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 27 กันยายน 2554 และอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ก่อนเคลื่อนตัวมาที่ลาว จากนั้นอ่อนกำลังลงอีกครั้งเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเคลื่อนเข้าปก คลุมที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทยในวันที่ 28 กันยายน 2554
พายุโซนร้อนเนสาด
พายุ โซนร้อนเนสาด (Nesat) เป็นชื่อที่ตั้งโดยประเทศกัมพูชา แปลว่า การจับปลา หรือคนจับปลา
ซึ่ง เดิมทีเป็นพายุไต้ฝุ่นที่เคลื่อนตัวผ่านอ่าวตังเกี๋ยขึ้นฝั่งที่เมืองฮา ลอง ประเทศเวียดนาม ในช่วงที่มีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อนในวันที่ 30 กันยายน 2554
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนไห่ถางและเนสาด
จาก การถาโถมอย่างแรงของพายุทั้ง 2 ลูกนี้ ในส่วนของประเทศไทยตอนบนนั้น ทำให้ฝนตกชุกหนักถึงหนักมากอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดน้ำท่วมขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ซึ่งในบางแห่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้มาก่อน และด้วยปริมาณน้ำที่มากเกินปกติ
ยังได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ของประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่าง มาก โดยเบื้องต้นนั้นได้มีการประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ แล้วว่ามีมูลค่าถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท
ล่าสุดได้วัดค่าปริมาณน้ำฝน ในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายนแล้ว ว่า มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 32% ซึ่งสูงกว่าทุกปีที่ตรวจวัดมา
พายุโซนร้อนนาลแก
พายุ โซนร้อนนาลแก (Nalgae) จากเกาหลีเหนือ แปลว่า ปีก
เป็นพายุลูกล่าสุดที่พัดเข้ามาสู่ในประเทศไทย เดิมทีเป็นพายุไต้ฝุ่น แต่อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน
เคลื่อน ตัวผ่านเกาะไหหลำ เข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และอ่อนกำลังลงอีกครั้งเป็นพายุดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำตามลำดับ ที่เมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554
ผลกระทบจากพายุโซนร้อนนาลแก
เหมือน เป็นเคราะห์ซ้ำ หลังจากที่เจอพายุ 2 ลูกใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกันในเดือนกันยายน เพราะในเดือนตุลาคม ที่ประเทศไทยต้องเจอกับพายุนาลแก ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนาแน่น จนหลายพื้นที่เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ทั้งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง
ซึ่ง ในระยะนี้ยังมีแนวโน้มว่า อุกทกภัยครั้งนี้จะยาวนาน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิต ตลอดจนพื้นที่การเกษตร และพื้นที่เศรษฐกิจจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมก็ถูกน้ำท่วมไปด้วย และเส้นทางคมนาคมทั้งสายเอเชีย และพหลโยธินที่มุ่งสู่ภาคเหนือ ก็ถูกปิดเส้นทางเดินรถชั่วคราว
ซ้ำหนักในแถบ จ.ปทุมธานี นครนายก สมุทรปราการ รวมไปถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังต้องรับช่วงต่อกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้กรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของไทย ได้รับความเสียหายมากขึ้น
อย่าง ไรก็ดี การอยู่กับภัยธรรมชาติ ซึ่งถือว่าปีนี้รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่สามารถทำได้ก็คอการเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือ
เนื่อง จากในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ทางกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่ายังคงมีปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าค่าปกติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูน้ำหลาก
ปี 2554 ปีแห่งการต่อสู้เพื่ออยู่รอด คงเป็นที่จดจำของทุกคน ทั้งผู้ที่ประสบภัย และผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือ หากมองในแง่บวกอยู่บ้าง ก็นับว่าเป็นอีก 1 เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นคนไทย ที่ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือไม่ทิ้งกัน
ข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา, ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย
http://www.tmd.go.th
#24
Posted 29 October 2011 - 15:39
เรื่องแรก ปริมาณน้ำจากธรรมชาติ มากขึ้น ไหม?
อันนี้สำคัญนะ เพราะหากไม่มากขึ้น ทำไมปีที่แล้วไม่เป็นขนาดนี้
2 ผมกำลังเกิดคำถามในใจ ด้วยปริมาณน้ำหาก กทมยอมให้น้ำผ่าน อยุทธยา และภาคกลางจังหวัดิื่นๆจะแห้งไหม?.
ผมเชื่อว่าหากให้ผ่าน กทม ปริมณฑลแห่ง แต่ภาคกลางแห้ง?เป็นไปได้?
หรือหากปล่อยผ่านตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จังหวัดภาคกลางตอนบนเหนือตอนล่างจะแห้งไหม วานตอบ
#25
Posted 29 October 2011 - 15:59
ตามข้อมูลของการไฟฟ้า http://ichpp.egat.co.th/
ข้อมูลน้ำฝน http://www.thaiwater...ive-report.html
ดูแล้วตาลายต้องดึงข้อมูลมาพร๊อตกราฟ ว่าน้ำเข้าและออกสัมพันธิ์กันหรือเปล่า
ลองทำตัวเลขชุดนี้ก่อน แล้วก็มาดูเรื่องปริมาณไหลในแม่น้ำประกอบกัน ในแม่น้ำสายต่างๆ เช่นปิง วัง ยม น่าน แล้วมาเป็นเจ้าพระยา หาลิงค์ข้อมูลไม่เจอ
เอาเรื่องวิทยาศาสตร์มาคุยก่อน
#26
Posted 29 October 2011 - 16:12
...E=mc2 เข้าใจสูตร 3บรรทัดอย่างแตกฉาน
ย่อมรอบรู้กว่า...
...การอ่านตำราหมดทั้งหอสมุด แต่อ่านไปเรื่อยแบบไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจห่าอะไรเลย...
#27
Posted 29 October 2011 - 17:07
ตอนนี้ ปัญหาน้ำระบายไหลลงทะเลไม่ัทันเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับคนรอบกรุงเทพ อุตสาหกรรมและรอบนอก จมน้ำเสียหายอย่างหนัก...น้ำยังไงก็ต้องไหลลงทะเล ตามระดับสูง-ต่ำ ยิื่งอั้นไว้ มันก็จะยิ่งอยู่นาน...ผมจะถาม ว่าถ้ากั้นน้ำ น้ำมันระเหยแห้งเองได้หรอ...ยิ่งขังนานไหม และเป็นบริเวณกว้าง..คำถามท่านอาจจะถุก ต้องปกป้องกรุงเทพ ที่เป็นเมืองเศษรฐกิจ สำคัญกว่า....แต่คอขวดของน้ำมันไหลไปในทางที่ไม่ใช่ทางของมันจะใช้เวลานานมาก ท่านคำนวนยังปริมาณน้ำขนาดนี้ถ้าใช้เครื่องสูบออกจากระบบรอบกรุงเทพ ให้ระบายออกจากที่ขังแล้วต่อลงช่องทางลงทะเล จะใช้เวลานานเท่าไร 15วัน หรือ1เดือน แล้วความเสียหายโดยรวมจะขนาดไหน....ผมเข้าใจกรุงเทพต้องรอดพ้น แต่ที่อื่นยอมขังนานเป็นเดือน น้ำเน่าโรคภัยไข้เจ็บ....ส่วนเรื่อง ปริมาณน้ำฝน ตกมากกว่าทุกปีไหม ผมยังไม่มี่ข้อมูลที่แ่ม่น ยังไง หาข้อมู่ลที่แท้จริงมาลงก็ดีครับ ....ผมก็รอตัวเลขแบบคุณเหมือนกัน
คุณจ้ะเหมือนคุณฟังอะไรมาครึ่งๆกลางๆเลยจ้ะ
เราว่าคุณต้องฟังอะไรหลายๆด้านนะจ้ะ
ที่เขาต้องปกป้องกทม.เพราะที่นี่เป็นเหมือนหัวใจของประเทศนะจ้ะ
ที่นี่เป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือทุกๆอย่าง
แต่ถ้ากทม.ท่วม แล้วใครจะมาช่วยกันล่ะจ้ะ
วันก่อนเราอ่านข่าว ตอนนี้คนที่เดือดร้อนที่จังหวัดอื่นๆบอกว่าช่วงนี้การช่วยเหลือมีน้อยลง
จะไม่น้อยลงได้ยังไงจ้ะ คนกทม.ที่เขาเคยออกมาช่วยกัน
ตอนนี้เขาเดือดร้อนก็ต้องออกไปเฝ้าบ้านตัวเอง
อย่าไปแยกว่าที่นั่นที่นี่เลยจ้ะ เราอยู่บนแผ่นดินไทยด้วยกัน
แต่ก่อนคนไทยรักกันมากกว่านี้ จะพูดอะไรก็เกรงใจกลัวคนจะเสียน้ำใจ
เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเราแปลกมากจ้ะ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดมั่นถือมั่น
นั่นพวกมรึง นี่พวกกรู ทั้งๆที่ก็คนประเทศเดียวกันแท้ๆ
ส่วนตัวเราๆไม่มีพวกไม่มีพรรคจ้ะ เรารักประเทศนี้ให้ที่กินที่อยู่
พรรคการเมือง นักการเมือง ไม่มีหรอกจ้ะจะรักเราจริงๆ
มันเหมือนกันหมดแหละจ้ะนักการเมือง
คุณอย่าไปหมกมุ่นมากไปเลยจ้ะเรื่องการเมือง
อยากให้คุณเดินออกไปรับอากาศบริสุทธิ์
คุณจะรู้ว่าชีวิตมันสุขสงบมากเลยจ้ะ
ประเทศเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีใครอำมาตย์อะไรหรอกจ้ะ
เขาอยากให้คุณชอบอะไรก็ใส่ข้อมูลคุณก็ตามเขา
เขาอยากให้คุณเกลียดอะไรเขาให้ข้อมูลก็ทำให้คุณเกลียด
คุณต้องมีสตินะจ้ะ ต้องฟังหูไว้หูจ้ะ
คนเราคิดต่างได้ แต่อย่าคิดชั่ว
ไม่ว่าจะมุมนี้หรือมุมไหน ถ้ามันเป็นเรื่องงี่เง่าไม่ขอเสียเวลามองว่ะ
#28
Posted 29 October 2011 - 17:23
ตอนนี้ ปัญหาน้ำระบายไหลลงทะเลไม่ัทันเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับคนรอบกรุงเทพ อุตสาหกรรมและรอบนอก จมน้ำเสียหายอย่างหนัก...น้ำยังไงก็ต้องไหลลงทะเล ตามระดับสูง-ต่ำ ยิื่งอั้นไว้ มันก็จะยิ่งอยู่นาน...ผมจะถาม ว่าถ้ากั้นน้ำ น้ำมันระเหยแห้งเองได้หรอ...ยิ่งขังนานไหม และเป็นบริเวณกว้าง..คำถามท่านอาจจะถุก ต้องปกป้องกรุงเทพ ที่เป็นเมืองเศษรฐกิจ สำคัญกว่า....แต่คอขวดของน้ำมันไหลไปในทางที่ไม่ใช่ทางของมันจะใช้เวลานานมาก ท่านคำนวนยังปริมาณน้ำขนาดนี้ถ้าใช้เครื่องสูบออกจากระบบรอบกรุงเทพ ให้ระบายออกจากที่ขังแล้วต่อลงช่องทางลงทะเล จะใช้เวลานานเท่าไร 15วัน หรือ1เดือน แล้วความเสียหายโดยรวมจะขนาดไหน....ผมเข้าใจกรุงเทพต้องรอดพ้น แต่ที่อื่นยอมขังนานเป็นเดือน น้ำเน่าโรคภัยไข้เจ็บ....ส่วนเรื่อง ปริมาณน้ำฝน ตกมากกว่าทุกปีไหม ผมยังไม่มี่ข้อมูลที่แ่ม่น ยังไง หาข้อมู่ลที่แท้จริงมาลงก็ดีครับ ....ผมก็รอตัวเลขแบบคุณเหมือนกัน
คุณจ้ะเหมือนคุณฟังอะไรมาครึ่งๆกลางๆเลยจ้ะ
เราว่าคุณต้องฟังอะไรหลายๆด้านนะจ้ะ
ที่เขาต้องปกป้องกทม.เพราะที่นี่เป็นเหมือนหัวใจของประเทศนะจ้ะ
ที่นี่เป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือทุกๆอย่าง
แต่ถ้ากทม.ท่วม แล้วใครจะมาช่วยกันล่ะจ้ะ
วันก่อนเราอ่านข่าว ตอนนี้คนที่เดือดร้อนที่จังหวัดอื่นๆบอกว่าช่วงนี้การช่วยเหลือมีน้อยลง
จะไม่น้อยลงได้ยังไงจ้ะ คนกทม.ที่เขาเคยออกมาช่วยกัน
ตอนนี้เขาเดือดร้อนก็ต้องออกไปเฝ้าบ้านตัวเอง
อย่าไปแยกว่าที่นั่นที่นี่เลยจ้ะ เราอยู่บนแผ่นดินไทยด้วยกัน
แต่ก่อนคนไทยรักกันมากกว่านี้ จะพูดอะไรก็เกรงใจกลัวคนจะเสียน้ำใจ
เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเราแปลกมากจ้ะ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดมั่นถือมั่น
นั่นพวกมรึง นี่พวกกรู ทั้งๆที่ก็คนประเทศเดียวกันแท้ๆ
ส่วนตัวเราๆไม่มีพวกไม่มีพรรคจ้ะ เรารักประเทศนี้ให้ที่กินที่อยู่
พรรคการเมือง นักการเมือง ไม่มีหรอกจ้ะจะรักเราจริงๆ
มันเหมือนกันหมดแหละจ้ะนักการเมือง
คุณอย่าไปหมกมุ่นมากไปเลยจ้ะเรื่องการเมือง
อยากให้คุณเดินออกไปรับอากาศบริสุทธิ์
คุณจะรู้ว่าชีวิตมันสุขสงบมากเลยจ้ะ
ประเทศเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีใครอำมาตย์อะไรหรอกจ้ะ
เขาอยากให้คุณชอบอะไรก็ใส่ข้อมูลคุณก็ตามเขา
เขาอยากให้คุณเกลียดอะไรเขาให้ข้อมูลก็ทำให้คุณเกลียด
คุณต้องมีสตินะจ้ะ ต้องฟังหูไว้หูจ้ะ
สาธุ แต่ที่เขาว่านะ มันเคยอยู่ในหัวผมมา ตั้ง 1 เดือนแล้ว แต่ไม่ทันแล้วล่ะ
การปล่อยให้น้ำผ่าน แต่ถ้าตอนนี้ รับรอง หายนะแน่ เพราะถ้าด้านบนถ่วงเวลาแล้วด้านล่างช่วยกันเบียงทางน้ำ ลอกคูคลอง ดึงน้ำออกให่มากที่สุดแล้วปล่อยให้ท่วมเลย ท่วมแน่แต่ลดเร็ว
#29
Posted 29 October 2011 - 17:44
แต่เกิดกับตัวเอง...
เหตุการณ์มา ปัญญาเกิด สัมผัสจริง ไม่นั่งเที่ยนนีก แบบคนกรุงเทพนะจ้ะ ไปถามโรงงานต่างๆ สิจ้ะ เครื่องจั้กรมูลค่าเท่ารัย
คุณทำธุระกิจ บนตึกสูงๆ ได้ น้ำท่วมไม่ถึงหรอก..... แต่ฝ่ายผลิต โรงงานต่างๆ ไม่ได้ตั้งอยู่บนชั้น 20 นะจ้ะ ท่วมข้างล่างก็ไปหมดแล้ว
ระบบการผลิตพัง.... คุณแค่ระบบ บัญชี จะเอาอะไรกิน
...E=mc2 เข้าใจสูตร 3บรรทัดอย่างแตกฉาน
ย่อมรอบรู้กว่า...
...การอ่านตำราหมดทั้งหอสมุด แต่อ่านไปเรื่อยแบบไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจห่าอะไรเลย...
#30
Posted 30 October 2011 - 01:09
นิติภูมิ นวรัตน์ ไปตรวจสอบว่า กทม.ไม่มีการสูบน้ำเพื่อลงทะเล ในเวลากลางคืน!!
ความเห็นของนิติภูมิก็ดูฉลาดนะ พูดจามีหลักการ มีการตามไปถ่ายคลิปด้วย
แต่ผมขอถามแค่คำถามเดียว แค่หนึ่งคำถาม
ใครเขาเปิดประตูน้ำในคลองตอนน้ำขึ้นครับ? (จะเปิดให้น้ำไหลย้อนจากแม่น้ำมาท่วมเล่นๆหรือครับพี่ ไปเคลีย์กับป้าเช็งก่อนดีกว่านะ)
พวกนี้. พอโดยสวนกลับ ไปไม่ถูก. เหมือนแก็งควายแดงในเวปนี้ ทั้งที่เอาเหตุผลและหลักการณ์ตามมาตรฐานสากล. แต่พวกนี้มีมาตรฐานแบบแดงควายเท่านั้น
ที่ได้รับ. ISO. คือควายได้อย่างมาตรฐาน ไม่ตกหล่น