Jump to content


KundeT

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 9 พฤศจิกายน 2554
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2557 19:49
-----

#740752 ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย แถลงข่าวได้ชุ่ย และ โง่ มาก รอฟังบุญทรงต่อครับ

โดย redfrog53 on 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 16:02

@bunnaroth 
แค่ถามว่าใช้เงินเท่าไหร่ ขาดทุนเท่าไหร่ ทำไมโยนไปโยนมา ทำไมยากนักคะ : นักข่าว #เจ๋ง




#740732 ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย แถลงข่าวได้ชุ่ย และ โง่ มาก รอฟังบุญทรงต่อครับ

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 15:54

เงิบ

นักข่าวถาม จะบอกได้สักทียังคะว่าขาดทุนเท่าไร ขายได้เท่าไร ท่านเอาแต่บอกว่าประชาชนได้ประโยชน์ ประเทศชาติได้ประโยชน์

แต่ทำไมท่านบอกตัวเลขขาดทุนไม่ได้ค่ะ


#740699 ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย แถลงข่าวได้ชุ่ย และ โง่ มาก รอฟังบุญทรงต่อครับ

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 15:40

ประชาชนมีสิทธิ์จะรู้นะคะท่านว่าเงินหกแสนล้าน ใช้ทำอะไรบ้าง

คารวะหนึ่งจอก นักข่าวถามตรงประเด็น


#739842 ถึง "hentai" ในฐานะ "เพื่อนสมาชิกร่วมบอร์ด" (ขอกระทู้นี้งดแดง...

โดย โจโฉ นายกตลอดกาล on 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 19:42

ถึง hentai

ผมเพิ่งทราบความว่าท่านจะจากเสรีไทยเว็บบอร์ดแห่งนี้ไป ก็รู้สึกใจหายไม่น้อย

เพราะในบรรดาผู้เห็นต่าง มีแต่ท่านที่พอมีสาระ มีมุมมองที่พอจะถกประเด็นได้

ที่ผ่านมาผมเชื่อว่า การสื่อสารฯหรืออื่นใดที่ไม่ชัดเจน ทำให้เพื่อนฯ บางท่าน เข้าใจว่าท่าน

มีเจตนาซ้อนเร้นในเรื่องของสถาบันฯ แต่เชื่อเถอะครับว่ามันเป็นเรื่องของการสื่อสารฯล้วนๆ

ทั้งตัวท่านเอง ที่สื่อ "สาร" ออกไป และ เพื่อนฯผู้รับ "สาร" ก็ดี

ทัศนคติของผมต่อเรื่องการล้มเสาหลักบ้าน

ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งแผ่นดิน แต่แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครมีความคิดต่ำบัดซบที่จะโค่นเสาหลักของบ้านลง

เพียงแต่เรื่องจริงๆ สาเหตุเกิดมาจาก "พวกขี้แพ้แล้วไม่รู้จักลดละความอาฆาตพยาบาท ตั้งแต่ยุคแผ่นดินก่อน"

จนถึงวันนี้ถ่ายทอด "ทายาทอสูร" มาปลุกปั่นคนในชาติ โดยใช้ "เสื้อสีแดง" เป็นสัญลักษณ์

และ ใช้ "ความไม่เป็นธรรม การเลื่อมล้ำทางชนชั้น" เป็นธงนำ

แต่ความจริงที่ไม่มีใครทราบ หรือ รู้แต่ไม่ยอมรับ คือ "ทายาทอสูร" พวกนั้นกินดีอยู่ดี

กว่าพวกที่โดนหลอกเรื่องความเลื่อมล้ำทางสังคมเสียอีก และ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการช่วงชิง และ รักษาไว้

ซึ่ง "รัฐอำนาจ" อำนาจที่มีแล้วยังคงคุมความได้เปรียบ ทั้งด้านทุน กำลังคน และ วิธีการที่อำนาจรัฐพึ่งบันดาลได้

จะว่าไปก็เหมือน "ยุคสามก๊ก" อ้วนเสี้ยว vs โจโฉ

ครั้งที่ "พระเจ้า***นเต้" หนีตายจาก "ลิฉุย กุยกี" มีที่ปรึกษาเสนออ้วนเสี้ยวให้ ทำการช่วยเหลือพระเจ้า***นเต้

เพื่อได้มาซึ่ง "รัฐอำนาจ" ที่ถูกต้อง ที่ปรึกษาอีกคน เสนอความเห็นว่า มิควรช่วย เพราะถ้าช่วยมาก็รังแต่เป็นภาระ

และสับสน เพราะมณฑลทั้งสี่ของอ้วนเสี้ยว จะตกอยู่ใต้อาณัติของฮ่องเต้ไปโดยปริยาย อ้วนเสี้ยวอาจเสียอำนาจ

อ้วนเสี้ยวผู้จิตใจคับแคบได้ฟังดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ช่วยพระเจ้า***นเต้ ทำให้สูญ "รัฐอำนาจ" ไป

ผิดกับ "โจโฉ" เขาได้มาซึ่งรัฐอำนาจ และ รู้จักใช้หาผลประโยชน์ใส่ตน ซึ่งพอๆกับพวก "ทายาทอสูร" ในบ้านเรา

ที่รู้จักคิดถึงข้อนี้ และ ใช้มวลชนหนุนฐานรัฐอำนาจไว้ผ่าน "ความไม่เป็นธรรม และ ความเลื่อมล้ำทางสังคม"

อันเป็น "ธงนำ" และ "ประชานิยม" เป็นเครื่องลากจูง สร้างอัตลักษณ์ "ผู้ทำเพื่อประชาชน" แก่พวก "ทายาทอสูร"

เมื่อมีอำนาจรัฐไว้ในมือจะก่อการทำการใดย่อมไม่ยาก ประเทศจะพินาศช่างมัน แต่ทุกวิถีทางต้องได้มาซึ่งอำนาจไว้ก่อน

ได้มาเพื่ออะไร.......? อีกไม่กี่สิบปี หลังยุคแผ่นดินทอง ผู้คนก็จะถูกชักจูงอย่างเบ็ดเสร็จ

ธงนำความเลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรม จะบรรลุ การโค่นเสาหลักของบ้านด้วยมือคนชั่วช้าสัมฤทธิ์ผลในที่สุด

การสร้างบ้านใหม่จะเริ่มขึ้น โดยชูอัตลักษณ์ใหม่ของเหล่า "ทายาทอสูร" ในฐานะผู้สร้างบ้านใหม่

นี่คือความจริงที่ต้องรู้...... ไม่มีใครอยากเอาสีไปป้ายใส่ใคร หรือ ไปล่าแม่มด

แต่คนที่ถูกชักจูงไปแล้ว บางคนถลำลึกฝั่งหัวไปแล้ว บางคนอยากถอยหลังกลับก็กลับไม่ได้ เพราะถูกดึง และ ประณามไปแล้ว

บางคนก็เชื่อในนิยายของพวก "ทายาทอสูร" ที่สู่รู้ทำตัวราวกับ "ผีใต้เตียง"

ทั้งๆที่ความเป็นจริง "ผู้เป็นพ่อ และ แม่" ต่างทุกข์ใจแสนสาหัส จนไม่สบายเข้าโรงพยาบาล เพราะ

"ลูกๆ คิดโกรธ เกลียด พ่อ และ แม่"

ในฐานะลูกที่ดีของพ่อ และ แม่ ควรพึงปฏิบัติเช่นไร ไล่พี่น้องที่เห็นต่าง โกรธ เกลียด พ่อ และ แม่

ออกจากบ้านหรือ....? หรือ ควรพูดจาชี้แนะ ให้เห็นถึงว่าโดนปลุกปั่น ยุยง มาให้เกลียด พ่อ และ แม่

สำหรับผม มอง hentai เหมือน "เพื่อนร่วมบ้าน พี่น้องร่วมเรือน" ถึงเห็นต่าง แต่ไม่คิดจะผลักไสไล่ไป

บางครั้งอาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง มันก็ประสา "เพื่อนพี่น้องกัน"

เด็กเล่นกันมันยังทะเลาะกันบ้าง นับอะไรกับผู้ใหญ่

ถ้า hentai ไม่ถือสา อยากเข้ามาแสดงความเห็นต่อในห้องสภากาแฟแห่งนี้ ผมก็ไม่คิดว่า hentai จะกลืนน้ำลายไป

เพราะการอดเห็น "ตัวหนังสือแดงๆดำๆ" แสดงความเห็น "กลางที่สุดในสามโลก" หรือ "ตรงไปตรงมาที่สุดในสามโลก"

มันน่าเสียดายจริงๆ

ปล. ถ้าตรงไหนไม่เหมาะ ผู้ดูแลจะลบ หรือ แก้ไข ก็ไม่ว่ากัน


#738203 "คลัง" ประณาม "มูดีส์" วิเคราะห์จำนำข้าว-เครดิตประเทศ ยันเจ๊ง...

โดย พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน on 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 15:01

ควายแดงอาจจะสงสัยว่า มูดีส์ คืออะไร 

 

ยาฆ่าหญ้าชนิดใหม่หรือเปล่า หรือยากำจัดศัตรูพืชชนิดใหม่  :lol:  :lol:  :lol:




#737561 "คลัง" ประณาม "มูดีส์" วิเคราะห์จำนำข้าว-เครดิตประเทศ ยันเจ๊ง...

โดย puggi on 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 10:17

ตอนก่อนเกิดต้มยำกุ้ง  เท่าที่ผมจำได้ เพราะตอนนั้นกำลังเลือก Major การเงิน อยู่พอดี

 

รํฐบาลสมัยนั้นก็ ด่่ามูดี้ส ว่า ไม่รู้เรื่องมาลดเครดิต ได้ยังไง  ไม่กี่เดือน ต่อมา ต้มยำหม้อใหญ่เกิดขึ้นทันที

 

คราวนี้  ผมว่า ฟ้ามีตาครับ หากว่า มูดี้ส ลดเครดิตประเทศ จริงๆ อาจจะชลอความเสียหายได้

 

เพราะว่า การกู้ สองล้านล้าน  ต้องใช้ เรตติ้งตัวนี้มาอ้างอิงการออกพันธบัตร  ดังนั้น

 

ต้นทุนการเงินจะขึ้นเยอะมาก   ผมภาวนาให้  S&P  FITCH rating  รีบ ตามมูดี้สมาเลยครับ

 

อยากดูดิ  ไ้อ้ที่บอกว่า เงินในอากาศที่พวกมันจะเสก จะทำยังไง  ควายจะตาสว่างมั้ย

 

ใครจะว่าผมเลว ผมยอมละ ผมอยากไทยเศรษฐกิจพังจริงๆ  ไม่งั้นควายตาไม่สว่าง

 

เศรษฐกิจพัง ยังกอบกู้ได้  แต่ว่า ควายถ้าตาไม่สว่าง ประเทศฉิบหายแน่ๆ




#738066 อู้ววว. จารย์เจิม ล่อไลค์ไปตั้งหมื่นฝ่า สื่อ 55 ยังบอกว่า "ด่ามากกว่าชม...

โดย Suraphan07 on 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 13:59

แถมแชร์อีก ร่วม  2 พัน

 

https://www.facebook...&type=1

 

ว่าแต่ว่า จารย์ถามว่าจริงมั๊ยนี่

ไม่รู้จาตอบยังไงดีเลย เพราะที่จารย์ถามนั่น

พวกมรัน ก็ภูมิอกภูมิใจ ประกาศกันไปเองทั้งน้าน... ;)

 

หรือเพื่อนๆว่าไม่จริง..;)




#733700 Thai PM Yingluck Shinawatra addresses Sri Lanka Parliament อย่าว่าแต่ฝรั่งงง?...

โดย Hilton(ปาล์มาลี) on 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 09:15

คนที่ดูถูกคนอื่น ภาษาอังกฤษดีกว่าเธอเหรอครับ ดูตัวเองด้วย

"the member of the parliament"

คนที่ฟังเธอพูดและดูถูกเธอนั้น

ประโยคข้างบนอ่านว่าไรครับ

 

คอมเม้นนี้ เป็นกำลังใจให้น้องๆที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษนะครับ




#733133 เป็นไงล่ะลีเจ้าจักรยาน-รร.เล็กต่ำ 60 ครู 4 ที่หนึ่งโอเน็ต 6 ปีซ้อน อัํยหย่ะ

โดย ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ on 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 14:35

http://www.manager.c...D=9560000065787

 

น่าน - พบโรงเรียนขนาดเล็กเมืองน่าน มีนักเรียน 54 คน ครู 4 คน ผล O-Net กลับครองอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 49-55 คะแนนสูงกว่าทั้งระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับประเทศ ครู ผู้นำชุมชนยันเป็นไปได้ ครูต้องทุ่มเท ชุมชนหนุนช่วย
       
       ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ กำลังมีนโยบายยุบ-ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ และผลักดันให้จัดงบประมาณไปซื้อรถตู้เพื่อนำมาให้บริการรับ-ส่งนักเรียนแทน ภายใต้แนวคิดที่ว่า โรงเรียนขนาดเล็กประสบปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่ด้อยคุณภาพ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมไทยอย่างหนักนั้น
       
       อย่างไรก็ตาม ในระยะที่ผ่านมาก็มีโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดน่าน สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องมีการยุบ หรือควบรวมใดๆ เช่น ร.ร.บ้านห้วยท่าง ม.5 ต.ไชยวัฒนา อ.ปัว จ.น่าน สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาการประถมศึกษาน่าน เขต 2 ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กระดับ อนุบาล 1-ประถม 6 มีนักเรียนรวม 54 คน และครู 4 คน ห้องเรียน 8 ห้อง ซึ่งมีผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-net ในระดับ ป.6 ใน 8 สาระวิชา มีผลสัมฤทธิ์สูงทุกวิชาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549-2555
       
       ขณะที่ผลการประเมินพบว่าสูงเป็นอันดับ 1 มีคะแนนสูงกว่าระดับจังหวัด ระดับสังกัด และระดับประเทศ แม้ว่าจะประสบกับปัญหาครูไม่ครบชั้นเรียน และเด็กนักเรียนมีน้อย แต่ก็สามารถบริหารจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับครูที่มีคุณภาพ และชุมชนให้การสนับสนุน
       
       นางอรนันท์ สิทธิชัย ครูประจำโรงเรียน เล่าว่า มีครูจำนวน 4 คน ซึ่งนับรวมนายเฑียร ธีรศิรปัญญา ผอ.ร.ร.ที่ลงมาช่วยสอนนักเรียนด้วย ครูแต่ละคนเป็นครูที่ให้ความสำคัญเรื่องการจัดการเรียนการสอน และติดตามผลการเรียนของเด็กนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆวัน โดยใช้เทคนิค Back up again คือ การบันทึกการสอน และวิเคราะห์การเรียนของเด็กนักเรียน
       
       ในทุกๆ วัน ครูจะต้องทำการประเมิน และวิเคราะห์การเรียนของเด็ก ซึ่งหากพบว่ามีเด็กนักเรียนที่เรียนไม่ทัน หรือเรียนช้าก็จะต้องลงไปเรียนซ่อมเสริมทันที นอกจากนี้ เด็กนักเรียนเป็นเด็กเล็ก ลืมง่าย ก็ต้องใช้วิธี ซ้ำ ย้ำ ทวน ทำบ่อยๆ ให้เด็กได้ฝึกฝนเกิดทักษะติดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครูต้องใช้ความอดทน และทุ่มเทอย่างมาก
       
       นายเฑียร ธีรศิรปัญญา ผอ.ร.ร..บ้านห้วยท่าง กล่าวว่า โรงเรียนขนาดเล็กมีปัญหาไม่ต่างกัน ทั้งเรื่องครูไม่ครบชั้น นักเรียนน้อย งบประมาณไม่เพียงพอ แต่ก็ต้องพยายามแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด โดยทางโรงเรียนจะใช้วิธีการคละชั้นเรียนในบางรายวิชา ที่สามารถเรียนรวมกันได้ เช่น เด็ก ป.1 กับ เด็ก ป.2 นำมาเรียนรวมกันในวิชาสังคม วิชาพระพุทธศาสนา และได้นำการเรียนทางไกลผ่านดาวเทียมจากโรงเรียนไกลกังวล ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเสริมในโรงเรียนด้วย
       
       การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้มีคุณภาพ สำคัญที่ตัวบุคลากรทางการศึกษา และชุมชน โดยต้องใช้โรงเรียนเป็นฐาน และชุมชนเข็มแข็ง มีการสนับสนุนทางการศึกษาที่สอดคล้องกัน
       
       สำหรับเรื่องนโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก แม้ไม่มีผลกระทบ แต่โรงเรียนก็ยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณไม่พอ ปัจจุบันได้งบ 1,900 บาท/คน รวม 60,000 บาท/เทอม หรือ 1 แสนบาทต่อปีการศึกษา ซึ่งไม่พอในการบริหารจัดการทั้งโรงเรียน หลายปีที่ผ่านมา ครูทุกคนจึงได้ช่วยกันออกเงินส่วนตัวเพื่อจ้างอัตราสอนเพิ่ม
       
       ขณะที่ทางชุมชนก็พยายามหาทุนมาช่วยพัฒนาโรงเรียน ซึ่งหากได้รับงบประมาณสนับสนุนที่มากขึ้น หรือเป็นรางวัลพิเศษให้แก่โรงเรียนที่สามารถสร้างเด็กมีคุณภาพทางการศึกษาได้ ก็ควรให้การสนับสนุนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจได้เป็นอย่างดี
       
       ด้านนายสมจิต ปาละ ผู้ใหญ่บ้านห้วยท่าง และในฐานะประธานคณะกรรมการสถานศึกษา กล่าวว่า ชุมชนบ้านห้วยท่าง ไม่สนับสนุนให้บุตรหลานออกไปเรียนที่อื่น ดังนั้น จำเป็นต้องช่วยกัน ร่วมมือกับทางโรงเรียนในการทำให้โรงเรียนของชุมชนมีคุณภาพ
       
       ด้านการศึกษาต้องให้ทางผู้อำนวยการโรงเรียน และครูทุกคนช่วยพัฒนา ในส่วนเรื่องการพัฒนาโรงเรียนชุมชนก็ต้องช่วยกัน อย่างเช่นถนนภายในโรงเรียน อุปกรณ์และอาคารต่างๆ ก็ต้องช่วยกันซ่อมบำรุง ออกเป็นแรง ระดมเงิน และทรัพยากรมาช่วยกันพัฒนาโรงเรียน แม้ว่าชาวบ้านไม่มีเงิน แต่ก็ช่วยเป็นแรงงาน เพื่อลูกหลานบ้านห้วยท่าง ได้มีโรงเรียนที่มีคุณภาพ
       
       “ที่จริงแล้วหากโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้ดี ก็ควรที่จะได้รับการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณ และบุคลากรที่มีคุณภาพ”

 

 

***********************************************************************************************

 

ลีไปซะแล้ว แต่เชื่อว่าคงแวะมาอ่านนะ




#734643 ปากคำ"ชัย ราชวัตร"กับ"ภารกิจสุดท้าย"

โดย Octavarium on 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 09:45

ความเป็นกลางมันคือหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด

 

+1




#734581 ปากคำ"ชัย ราชวัตร"กับ"ภารกิจสุดท้าย"

โดย wat on 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 09:03

B6F3A3A751A84E03A3BD28CDE44EEDA1.jpg

 

ใครล่ะจะคิดว่า "ชัย ราชวัตร" จะวางปากกา ปิดตำนาน "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" ที่อยู่คู่หน้า 5 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานานถึง 34 ปี

 

ที่พูดคือเรื่องจริงจากปากบรมครู"ชัย ราชวัตร" หลังเจ้าตัวยืนยันกับโพสต์ทูเดย์ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะเลิกเขียนแน่เพราะอายุมาก เหนื่อยและล้าเต็มที "ผมลากสังขารมานานเต็มที และก็ 72 อายุมากแล้วด้วย การ์ตูนมันก็เหมือนตัวคนเขียนแหละ คือ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันควรจะวางมือตั้งนานแล้ว ถึงแม้ใจผมชอบการเขียนการ์ตูน แต่พอเขียนนานๆ เข้ามันกลายเป็น หน้าที่ที่ต้องทำ ชอบไม่ชอบก็ต้องทำ ไม่มีอารมณ์จะเขียนก็ต้องทำ มันบังคับไปแล้ว และมันก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาโรงพิมพ์ก็ต่ออายุให้เราเรื่อยๆปกติไทยรัฐเขาเกษียณอายุ 60 ตอนนี้ต่ออายุมา 72 แล้ว ไหนยังต้องคอยหลบภัยจากเรื่องการเมืองนี่มันไม่สนุกหรอก ผมคง หาทางลงที่มันค่อยๆ ลง แต่ไม่ใช่ปุ่บปั๊บ โดดลงจากเวทีเลย" อาการเหนื่อยที่"ชัย ราชวัตร" หมายถึง คือ ทำงานช้าลงกว่าจะเขียนงานแต่ละชิ้นเสร็จ คิดนานไม่เหมือนเมื่อก่อน "ความจริง กว่าจะเป็นการ์ตูนช่องแต่ละชิ้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน เพราะหนึ่ง เราต้องตามข่าวเพื่อหาประเด็นมาเขียน ต้องอ่าน หนังสือพิมพ์ อ่านคอลัมน์วิจารณ์แทบทุกฉบับ อ่านเพื่อสะสมเอาข้อมูล แล้วก็มาจดไว้ว่า สิ่งไหนเป็นประเด็นที่เราจะเอามาวิจารณ์ได้บ้าง แล้วก็คิดมุก มันไม่ใช่การเขียนภาพประกอบนะ เพราะอันนั้นมันง่าย อ่านเสร็จปั๊บ ก็เลือกเอาตอนนึงมา แล้วก็เขียนภาพไปเลย อันนี้มันต้องคิดมุก คือ การ์ตูนที่มีมุกหักมุม ในช่องสุดท้าย มันเป็นกับดักตัวเอง คือ มันคิดอะไรมันยากนะ เพราะบางทีเรามีประเด็นจะเขียน แต่เราไม่มีมุก เพราะมันไม่มีมุกตลก เสน่ห์ของการ์ตูนช่อง มันอยู่ที่มุกตลก ต้องหักมุมช่องสุดท้าย บางทีเราคิดมุกอยู่ 2-3 ชั่วโมง 

 

"ส่วนฉบับวันอาทิตย์ มันยากตรงที่ว่า มันต้องมีหัวข้อ แค่คิดหัวข้อก็ยากแล้ว แล้วก็หาเรื่องทุกเรื่องคือ 6 เรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีเรื่องไรบ้างที่จะเข้ากับหัวข้อที่เราตั้งไว้  บางทีคิดได้ 3 เรื่องที่เหลือคิดไม่ออก ตัน ก็นั่งอยู่ครึ่งวัน กว่าจะหาอะไรมายัดให้มันเต็ม 6 เรื่องได้ มันก็เหนื่อยไปอีกแบบ  ดังนั้น ใครบอกว่า เขียนง่ายๆ ผมโกรธมากเลย"

 

“มีพรรคพวกมาขอให้ช่วยเขียนการ์ตูนลงแม็กกาซีนให้ ก็บอกไม่ไหวแล้ว เขาก็บอก เฮ้ยอะไรหว่ะ  เขาคงคิดว่า หยิบขึ้นมาแล้วเขียนได้เลย เป็นงานที่ไม่ต้องใช้สมอง ความจริงเขียนการ์ตูนมันไม่ได้หนักตรงเขียนเส้น แต่มันหนักตรงที่ใช้ไอเดีย  แล้วเมื่อเขียนมาถึงจุดหนึ่งเป็นที่รู้จักแล้ว ก็มั่วไม่ได้เราก็ไม่อยากฆ่าตัวตาย คือ เขียนไปแล้วจืดชืด ไม่มีอะไร มันก็ฆ่าตัวตายเปล่า    

     

....อย่างสมัยก่อนเราเขียนการ์ตูนใหม่ๆ เราก็พยายามว่า วันนี้ เขียนได้เท่านี้ พรุ่งนี้ต้องเขียนให้ดีกว่านี้ มะรืนนี้จะต้อง เขียนให้ดีกว่าพรุ่งนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งแล้วมันกลายเป็นว่า วันนี้ต้องพยายามเขียนให้ได้เหมือนเมื่อวานมันกลับกัน เพราะมันถึงจุดสูงสุดของเราแล้ว เราจะเขียนให้ดีกว่านี้ ไม่ได้แล้ว” ชัย ราชวัตร บอกว่า ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุดมันก็ต้องปิดฉาก หยุดงานประจำ แต่อาจเป็นนานๆ อาจปล่อยของออกมาที "ถึงผมจะหยุดไปก็ไม่ได้หมายความว่า เหนื่อยอ่อนเพราะเราเบื่อการเมืองแล้วบ้านเมืองเป็นยังไงช่างมัน แต่ผมอยากให้คนอื่นได้แสดงบ้างส่วนตัวขอมาเป็นกองเชียร์อยู่ข้างๆ แล้วก็มีโอกาสตอดนิดตอดหน่อยบ้าง ก็คงมี นักเขียนการ์ตูนคนต่อไปที่จะสร้างการ์ตูนชุดใหม่ขึ้นมา"

 

7FFAE308A6C54E1C9A6049B5BF91BDCA.jpg

 

ที่มาไอ้จ่อย-ผู้ใหญ่มา

34 ปีกับการ์ตูนล้อการเมือง "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" ได้ทำหน้าที่สะท้อนเหตุบ้านการเมืองในแต่ละยุคสมัยเป็น อย่างดีจุดกำเนิดเริ่มที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ แต่ไม่กี่ปี จากนั้นก็ย้ายวิกมาอยู่ไทยรัฐกระทั่งปัจจุบัน ส่วนที่มาของ ตัวละคร "ผู้ใหญ่มา" กับ "ไอ้จ่อย" สนทนากันเรื่องปัญหาบ้านเมือง "ชัย ราชวัตร" เล่าเบื้องหลังว่าได้ไอเดียมาจาก ช่วงที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เขียนเรื่องสั้นวิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารโดยใช้สัญลักษณ์จดหมายจาก นายเข้ม เย็นยิ่ง ถึง นายทำนุ เกียรติก้อง นายเข้ม คือ ตัวอาจารย์ป๋วย ซึ่งเป็นชื่อจัดตั้งตอนเป็นเสรีไทยต้านญี่ปุ่น ทำหน้าที่เป็นชาวบ้านวิจารณ์การปกครองของหัวหน้าหมู่บ้านชื่อทำนุ เกียรติก้อง แปลมาจาก ถนอม กิตติขจร นั่นเอง "ผมได้ไอเดียจากตรงนั้น เพราะรัฐบาล พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมาจากการปฏิวัติ แม้จะให้เสรีภาพกับประชาชน แต่การจะเขียนอะไรก็ได้ไม่เต็มที่ ผมเลยสมมติประเทศขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ใช้ชื่อว่าทุ่งหมาเมิน แล้วก็สมมติตัวผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก็คือนายกฯ ที่เป็นผู้ปกครอง หมู่บ้าน และก็มีไอ้จ่อยเป็นลูกบ้าน คอยทักท้วงกับผู้ใหญ่มาซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน วันแรกก็คิดแค่ตัวละครสองตัว ถกเถียงปัญหาบ้านเมือง แล้วก็มีตัวอื่นๆตามมาทีหลัง แล้วแต่เหตุการณ์แต่ละเรื่อง"

"ชัย ราชวัตร" ชื่อจริงสมชัย กตัญญุตานันท์ เป็นชาว จ.อุบลราชธานี เดิมทำงานธนาคาร ก่อนลาออกมาเข้า สู่วงการหนังสือพิมพ์เมื่อปี2515 ขณะที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้ เผด็จการทหาร เริ่มเขียนการ์ตูนที่แรกให้หนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ จากนั้นไม่นานเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ประชาธิปไตยเบ่งบาน มีหนังสือพิมพ์ออกมาหลายฉบับ มหาราษฎร์ปิดตัวเองลง "ชัย ราชวัตร" ย้ายไปอยู่หนังสือ พิมพ์เดลินิวส์ โดยวาดภาพประกอบ "งิ้วการเมือง" กระทั่ง เกิด 6 ตุลา 2519 เขาไม่ต่างจากนักหนังสือพิมพ์รายอื่นที่ต้องหลบลี้หนีภัยอำนาจมืด เพราะ "รัฐบาลหอย" ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาล

 

หลบภัยไปสหรัฐยุคเผด็จการ

"ยุคปฏิวัติมีการจับกุมนักศึกษากับกลุ่มปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ สมัคร สุนทรเวช เป็น รมว.มหาดไทย สมัครก็เรียก บก.เข้าไป แล้วก็สั่งห้ามฉบับนั้น คนนั้นคนนี้ เขียน แต่ละฉบับก็จะมีลิสต์ถูกห้ามเขียน ผมเองก็ถูกห้ามด้วย มันก็ต้องหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่รู้จะโดนตั้งข้อหาอะไร เพราะตอนนั้นพอจับกุมแล้วก็ขึ้นศาลทหารไม่ใช่ศาลปกติ ซึ่งศาลทหารก็ขังลืมไปเลย ไม่มีใครฟ้องร้อง"

 

"ชัย ราชวัตร" ตัดสินใจหนีไปอยู่สหรัฐ ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการล้างถ้วยชามในบาร์ ผับ แต่ก็ไม่ทิ้งเลือดผู้รักความเป็นธรรม เพราะยังเข้าร่วมงานกับชมรมชาวไทยเพื่อประชาธิปไตยรณรงค์ต่อสู้ช่วยเหลือนักศึกษาที่ถูกจับตอน 6 ตุลา 2519 พร้อมกับทำหนังสือพิมพ์ไทย ชื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นแนวต่อต้านรัฐบาล อยู่อเมริกาได้ 2 ปี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปฏิวัติ รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร เริ่มคืนเสรีภาพให้ประชาชน หนังสือพิมพ์สามารถวิจารณ์รัฐบาลได้ จึงวางแผนกลับเมืองไทย "ผมอยากกลับเมืองไทย เพราะการไปอยู่เมืองนอก มันก็เหมือนเป็นพลเรือนชั้นสอง พอดีทางเดลินิวส์ตอนนั้นมี เปลว สีเงิน เป็นหัวหน้ากอง บก. เขาโทรทางไกลไป หาผมว่า จะกลับเมืองไทยไหม ถ้ากลับก็มาเลย เพราะบ้านเมืองเริ่มมีเสรีภาพในการเขียนแล้ว จึงตอบตกลงทันที พออยู่เดลินิวส์ได้ 2-3 เดือน ก็มีปัญหาขัดแย้งกับนายทุนหนังสือเกี่ยวกับการบริหาร เมื่อเปลว สีเงิน ลาออก ผมก็ เลยลาออกตาม แต่โชคดีที่ไทยรัฐชวนไปเขียนการ์ตูนผู้ใหญ่มาต่อในปี 2522"

 

ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุค "ชัย ราชวัตร" ยอมรับว่าถูกคุกคามเป็นธรรมดา แต่ไม่ถึงกับสาหัส หรือ ถูกฟ้องร้อง ส่วนใหญ่จะเป็นจดหมายเตือนหรือขู่จะฟ้อง เพราะแต่ก่อนไม่มีเฟซบุ๊กเหมือนปัจจุบัน มีครั้งหนึ่งมี นายทหารออกมาขู่ว่า ทหารจะเอกเซอร์ไซส์ ความหมายคือ จะปฏิวัติอีก และโจมตีสื่อว่าขัดขวางไม่ให้ทหารมา บริหารประเทศทั้งที่ทหารเรียนจบ จปร.มา เขาเขียนการ์ตูน แซวว่า จปร. ย่อมาจากเจ๋งเป้งทุกเรื่องเท่านั้นแหละ เลขานุการกองทัพบกทำจดหมายมาว่า จะฟ้องร้องข้อหาหมิ่นสถาบัน เพราะ จปร.เป็นพระปรมาภิไธย เอามา ล้อเลียนไม่ได้ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบ

 

3C5BD5EC0B954B658C4409C13ADF0BB7.jpg

 

ยุคไหนเขียนยาก-ง่าย

อย่างไรก็ตาม "ผู้ใหญ่มากับทุ่งหมาเมิน" เคยขาดหายไปจากไทยรัฐช่วงหนึ่ง คือ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ถึงขั้นที่เจ้าตัวคิดจะหยุดเขียนไปตลอดชีวิต "ช่วงนั้นทหารปฏิวัติ ก็หยุดเขียน เพราะไม่รู้ทิศทางลมเป็นอย่างไร ตอนนั้นนึกว่าจะหยุดเลย ไม่นึกว่าจะเอากลับมาแล้ว ชิ้นสุดท้ายที่เขียนก็เขียนในลักษณะว่า ตอนนี้ เกิดมีโรคห่าลงมาหมู่บ้าน เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่เคย มีอยู่ก็เงียบหายไป หมู่บ้านทุ่งหมาเมินกลายเป็นทุ่งร้าง ผมก็ทิ้งปริศนาไว้อย่างนั้น แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบไม่มีการจับกุม พอเปิดหนังสือพิมพ์ผมก็เริ่มกลับมาเขียนใหม่ เพราะคนอ่านที่เป็นแฟนเรียกร้องอยากอ่านผู้ใหญ่มาต่อ ก็กลับมาเขียนผู้ใหญ่มาอีกครั้ง เรียกได้ว่าขาดช่วงไปแค่สัปดาห์เดียว" ช่วงไหนเครียดสุด? เขาตอบว่า มักอยู่ในช่วงปฏิวัติ เพราะปฏิวัติแต่ละครั้งเราไม่รู้ว่ารุนแรงแค่ไหน หลายครั้งเขาก็ไล่จับกุม ปิดหนังสือพิมพ์บ้าง พอปฏิวัติทีเราก็ต้องคอยสังเกตทิศทางลม และต้องเบรกตัวเองพักหนึ่งเพื่อดูว่าเขาเล่นงานแค่ไหนถ้าเขาปล่อย เราก็เริ่มเขียนเหมือนเดิม แล้วช่วงไหนเขียนการ์ตูนสบายที่สุด? "มันมีอยู่สองช่วง คือ ช่วง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ เพราะมันมีเรื่องให้ล้อเลียนตลอดและประชาชนก็มีอารมณ์ร่วมด้วย เขียนอะไรไปก็ถูกอกถูกใจ ฉะนั้นในช่วง พล.อ.ชวลิต กับ บรรหาร ถึงขั้นที่เขียนล่วงหน้าทิ้งได้หลายชิ้นเลย ทำให้ผมเที่ยวต่างจังหวัด ไปต่างประเทศได้บ่อย เพราะสามารถเขียนทิ้งไว้หลายชิ้น โดยที่ว่าผลงานก็ออกมามีคุณภาพ เขียนไปแล้วคนก็ยังชอบอยู่ ทั้งที่เขียนล่วงหน้าหลายวัน

 

ความยากในการเขียนการ์ตูนแต่ละยุคแตกต่างกันหลายลักษณะ "ชัย ราชวัตร" สรุปให้ฟัง โดยยกตัวอย่างช่วง 3 อดีตนายกฯ "อานันท์-ชวน-ทักษิณ" ว่า เขียนยาก กันคนละแบบ "ตอนนายกฯ อานันท์ มันยากตรงที่ว่า แกเป็นนายกฯ ในดวงใจ ซึ่งเราก็ชอบ เราศรัทธา อยากได้คนอย่างนี้มาเป็นนายกฯ และเราก็ไม่อยากโจมตี ก็เลยเขียนไม่ออก หรือ อย่างคุณชวนเป็นนายกฯ เราก็เห็นว่าเป็นนายกฯ ที่เราอยากได้ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตก็เลยเขียนไม่ออก เลยไม่มีมุขจะล้อ เพราะนักเขียนการ์ตูนถ้าจะให้เขียนให้สนุกก็คือ นักการเมืองขี้โกงในยุคคอร์รัปชั่น แต่พอไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็เขียนไม่ออก" "แต่ยุคทักษิณนี่ มาเขียนยากอีกอย่าง ตรงที่ว่า ทั้งประชาชน ทั้งสื่อถูกแบ่งแยกเป็นสองขั้ว ไม่เหมือนยุคเผด็จการในอดีต ยุคถนอม ซึ่งประชาชนกับสื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ต่อต้านรัฐบาล เราเขียนอะไรไปคนอ่านก็ชอบ แต่ว่าพอยุคทักษิณเขียนไป คนจำนวนหนึ่งชอบ แต่อีกจำนวนหนึ่งเกลียด โกรธ แปลกมาก เพราะการทำงานหนังสือพิมพ์ เราก็ไม่อยากให้คนออกมาต่อต้านหนังสือพิมพ์ที่เราสังกัดอยู่ พอต่อต้านมากๆ นายทุน เจ้าของหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องคิดมาก เราก็ต้องพยายามเขียนอะไรให้มันเบาลง ไม่รุนแรง อย่างทุกวันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คนจำนวนมากสนับสนุนอยู่ เขียนอะไรบางทีก็ต้องเบรกเหมือนกัน คือ เขียนได้แต่ไม่เต็มที่ ในวงการสื่อด้วยกันก็ไม่ได้สามัคคีเป็นทิศทางเดียวกัน มันก็เลยยาก"

 

ผมไม่เป็นกลาง-เกลียดคนโกงกิน

ปรัชญาการเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในทัศนะของ "ชัย ราชวัตร" คือ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนทุจริตโกงกิน ลิดรอนเสรีภาพสื่อไม่ว่านักการเมืองคนนั้นจะมาจากการเลือกตั้งคะแนนเสียงมหาศาลแค่ไหนก็ตาม "สิ่งที่อยากพูด คือ ผมมักถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง ซึ่งผมเกลียดที่สุดคำนี้ เพราะผมไม่เห็นว่าหนังสือพิมพ์จะต้องเป็นกลาง หนังสือพิมพ์ คือ คนชี้นำประชาชน คอยบอกประชาชนว่า อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว แล้วมันจะเป็นกลางได้อย่างไร หนังสือพิมพ์เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เมื่อโจรมันปีนรั้วเข้ามาสุนัขมันก็ต้องเห่า ดังนั้น ผมไม่เคยเป็นกลางตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าสู่วงการเลย วันแรกนั้นเป็นยุคเผด็จการทหาร ยุคที่ศูนย์นิสิต นักศึกษาออกมาเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล ผมก็ยืนข้างนิสิต นักศึกษา เพราะเห็นว่านั่นคือความถูกต้อง และทุกยุคมารัฐบาลก็โกงกินคอร์รัปชั่นจนเอิกเกริก ผมก็ต้องมายืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ผมจะเป็นกลางได้อย่างไร"

 

"แต่ถ้าไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยอ้างว่าต้องเป็นกลาง ถ้าอย่างนั้นใครก็มาเป็นนักหนังสือพิมพ์ได้ จบ ป.4 ก็มาเขียนได้ เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นกลางอย่างเดียว แล้วอย่างนี้มันถูกต้องหรือไม่ ฉะนั้นความเป็นกลางมันคือหลุมหลบภัยของคนขี้ขลาด" การเขียนการ์ตูนบนความขัดแย้งสองขั้วเหนื่อยแค่ไหน?"มันเหนื่อยหลายแง่เช่น เหนื่อยตรงที่ว่าบางทีเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกันเพราะบางชิ้นที่เขียนไป เป็นเรื่องที่หนังสือพิมพ์ไม่มีใครกล้าเขียน ไม่เหมือนสมัยก่อน ร่วมมือร่วมใจกัน ต่อสู้เรื่องอะไรก็ไปในทิศทางเดียวกัน" "การเขียนเราก็ต้องเกรงใจเจ้าของหนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องอยู่รอดด้วยโฆษณาที่คนอ่านจำนวนเยอะๆ แต่ถ้าเสียงจำนวนมากคัดค้านทัศนะของเรา เราก็คงลำบาก อีกอย่างถ้าหนังสือพิมพ์ ถูกปิดก็จะลำบาก หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เขาก็จะคอยห้ามปรามไม่ให้นักเขียนเขียนอะไรจนเลยขอบเขต"

 

BA4BD6202CFF4E548EAA5AAD802FCC22.jpg

 

ไม่เคยทรยศคนอ่าน

กลัวอันตรายกับชีวิตบ้างไหม? "ก็มีนะ ... มันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ไม่กลัว เพียงแต่เรามั่นใจว่า สิ่งที่เราเขียนคือความถูกต้อง ถ้าเราไม่กล้าเขียน เพราะเรากลัว เราก็ควรเลิกเขียน หันไปทำอาชีพอื่นซะ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนี้ มันก็ต้องเสี่ยงเอา ไปถามทหารที่รบตามชายแดนเขาเสี่ยงไหม เขาก็กลัว แต่ในเมื่อมันเป็นหน้าที่เขาเขาก็ต้องเสี่ยง ทุกอย่างมันขึ้นกับยุคสมัย บางครั้งมันก็แค่ขู่ๆ หรือถ้าหนักที่สุดในยุคเผด็จการทหาร ก็จับขังคุก มันก็แค่นั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างตอนอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ก็เห็นอยู่แล้วว่า ขนาดนายกฯ ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด ถูกรุมทำร้าย ฉะนั้นประชาชนอย่างเราธรรมดาก็ยิ่งอันตรายหนัก"ยิ่งอันตรายหนัก" ถามไปว่า อยากฝากอะไรกับสังคม "ชัย ราชวัตร" ตอบเพียงว่า "ตลอดที่ผ่านมา ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายืนอยู่ข้างความถูกต้อง" "แม้จะมีคนอื่นบอกว่าผมเป็นฝ่ายอำมาตย์ล้าหลัง แต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ผมก็ยืนในแนวทางของผมชัดเจน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งผมขอบอกคนอ่านว่า ผมไม่เคยทรยศต่อคนอ่าน แล้วก็ไม่เคยทรยศต่อจุดยืนของตัวเอง และเมื่อไรวันไหนวางมือไปผมก็จะวางมือลักษณะนี้ ไม่ใช่วางมือไปเพราะเปลี่ยนจุดยืนตัวเอง" "ไม่เหมือนนักการเมืองบ้านเราเปลี่ยนแปลงตลอด ทุกวันนี้ไม่ได้โกงกินอย่างเดียว แต่มีลักษณะยึดครองประเทศไทยไปถาวรเลย ขนาดคิดจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง มันร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนนี้เยอะแต่ประชาชนไม่ได้ตื่นตัวขึ้นจำนวนมากก็ยังพร้อมขายเสียงเหมือนเดิม คล้ายๆ ว่าค่าตัวแพงขึ้น แต่ก่อนซื้อ 20 บาท เดี๋ยวนี้ซื้อกันเป็นพัน"

 

ปิดท้าย "ชัย ราชวัตร" ไม่ขอพูดถึงคดีที่ตำรวจตั้งข้อหาหมิ่นประมาทนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก กระทั่งกลุ่มเสื้อแดงไปชุมนุมประท้วงที่หน้าอาคารไทยรัฐ เขาบอกเพียงว่า "ขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ บางคนก็ช่วยเยอะ เสนอจะให้บ้าน ให้รถใช้ เปลี่ยนที่หลบภัย มันทำให้ผมรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจริงๆ"

 

ไม่โดดเดี่ยวในวัย 72 ปี ...

 

F0C13B8A8AB14E878A976ED94212D8C4.jpg

 

ความภาคภูมิใจในชีวิต

ผลงานที่สร้างความภูมิใจในชีวิตของ "ชัย ราชวัตร" คือ การได้เขียนการ์ตูนฉบับพระมหาชนกและคุณทองแดง ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง โดยเฉพาะการ์ตูนคุณทองแดง สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 3 ล้านเล่ม "การ์ตูนพระมหาชนกฉบับขาวดำ ยอดพิมพ์ประมาณ 3 ล้านเล่ม ผมว่าไม่ใช่สูงสุดของประเทศไทยเท่านั้น แต่เมืองนอกด้วย ตอนนั้นพระองค์ท่านเห็นว่า หนังสือการ์ตูน พระมหาชนกเล่มใหญ่ คนที่ซื้อกลับไปเอาขึ้นหิ้งเก็บใส่ตู้เพราะหนังสือแพงมาก ไม่กล้าให้ใครแตะ ในหลวงเลยรับสั่งให้ทำฉบับที่ ย่อมเยากว่านี้ ก็เลยพิมพ์ฉบับพ็อกเกตบุ๊กย่อส่วนลงมา ราคาเหลือ 35 บาท จน หนังสือทำยอดได้ 3 ล้านเล่ม ช่วงนั้นในหลวง ตรัสว่า หนังสือพระมหาชนกขาวดำ ถูกก็จริง แต่มันไม่สวย พระองค์เลยมีรับสั่งให้ทำอีกฉบับหนึ่งให้เป็นฉบับสี่สี การ์ตูนก็เลยมีสองเวอร์ชั่นขาวดำกับสี่สี ราคาแพงขึ้นมานิด 65 บาท ส่วนคุณทองแดงก็ขายได้ เพราะเป็นช่วงที่คนเอาไปซื้อแจกปีใหม่ค่อนข้างเยอะ บริษัท องค์กรใหญ่ๆ การบินไทย ให้คนอ่านบนเครื่องแล้วหยิบไปได้ด้วย"

 

"ผมถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ และมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ หลังจาก เสร็จงานแล้ว พระองค์ก็พระราชทานเครื่องราชฯ มาให้ ก็ถือว่าทำงานเป็นที่โปรดปราน"ราชฯ มาให้ ก็ถือว่าทำงานเป็นที่โปรดปราน" เหตุถูกเลือกให้ทำงานครั้งสำคัญชิ้นนี้ "ชัย ราชวัตร" เล่าว่า เพราะตอนนั้นทางอมรินทร์ ซึ่งดูแลเรื่องพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีโครงการจะทำฉบับการ์ตูน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งกับทางอมรินทร์ว่า อยากได้การ์ตูนที่ดูแล้วตลกแบบขายหัวเราะ อมรินทร์ก็เลยทาบทามให้มาวาด ก็ได้ทดลองเขียนตัวอย่างกันอยู่ 2-3 ครั้ง ก็นำทูลเกล้าฯ ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินใจ เมื่อทรงโปรดกับที่ผมเขียนขึ้นไปดูเลยมอบหมายผม พอเขียนเสร็จ จากนั้นอีก 2-3 ปี ทรงมีพระราชประสงค์อยากได้คุณทองแดงเป็นการ์ตูน ทางอมรินทร์เขาก็ตั้งทีมขึ้นมาช่วยให้ผมเป็นหัวหน้าทีม ความยากง่ายระหว่างพระมหาชนกกับคุณทองแดง "ชัย ราชวัตร" อธิบายว่า คุณทองแดงค่อนข้างยาก เพราะพระมหาชนกเป็นเรื่องในพระไตรปิฎกฉะนั้นเราสามารถจินตนาการทุกอย่างขึ้นมาได้ ทั้งเรื่องฉากการแต่งกาย ขณะที่คุณทองแดงยากตรงที่ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงต้องหาข้อมูล ไปในพื้นที่จริง ตามท้องเรื่อง "คุณทองแดงเป็นสุนัขจรจัด อยู่ในซอย ข้างศูนย์การแพทย์ ผมก็ต้องไปสถานที่จริง เอากล้องไปถ่ายอาคารบ้านช่องแถวนั้น เพราะเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรแล้ว พระองค์ท่านจะได้ว่า ใช่ๆ ตรงนี้ ไม่ใช่เราจินตนาการไปเอง หรือฉากตรงนี้ ไม่ใช่เราจินตนาการไปเอง หรือฉากตอนเข้าไปอยู่ในวัง แล้วเราก็ต้องดูว่าเลี้ยงยังไง แล้วกรงอยู่ยังไง เป็นกรงสุนัขแบบชาวบ้าน หรือเป็นกรงพิเศษ แล้วการฝึก มีเครื่องแต่งกายไหม ก็ต้องไปถ่ายข้อมูลจากในวัง" "ทุกอย่างต้องมีข้อเท็จจริง แล้วสุนัข ทุกตัวที่เป็นลูกของคุณทองแดงทั้งหมด 9 ตัว แต่ละตัวจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีสี ลาย ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องถ่ายแต่ละตัว หน้าตรง ด้านข้าง ต้องเก็บเป็นแฟ้ม เวลาวาด ก็ต้องเปิดเลยตัวไหนลักษณะเป็นอย่างไร พอดูปั๊บ ในหลวงจะได้ทรงรู้เลยว่าตัวนี้ใช่ เพราะมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาไม่ได้เลยมันเลยยากตรงนี้"

 

"เขียนเสร็จก็ต้องส่งให้ในหลวงทรงดู เป็นระยะ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่หัวหิน ผมก็ส่งไปอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็ต้องมีคนประสานงานนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วพระองค์จะหมายเหตุกลับมาว่า ตรงนั้น ตรงนี้ ต้องแก้ ผ่านขั้นตอนค่อนข้างเยอะ แต่ละเล่มทั้งคุณทองแดง พระมหาชนก ก็ใช้ เวลากว่าครึ่งปี"

 

http://www.posttoday...บ-ภารกิจสุดท้าย

 

^_^  ทองแท้... อยู่ที่ใดก็ย่อมเป็นทอง... วันยันค่ำ... คุณค่าอยู่ที่ตัวของตัวเอง... คารวะด้วยใจขอรับลุงชัยฯ




#733335 แนะนำกระทู้ฮาประจำสัปดาห์ "กระบือสอนสลิ่มตุนไข่ไก่"

โดย koong on 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556 - 20:41

เฮ้ออออออ เก็บไว้ 2 อาทิตย์
:mellow:

ถ้าเมริงหยุดไม่โต้ตอบซะ มันก็จบ

พอเถอะ กรูโคคคตร สมเพชเลย




#713102 ว้าว!!! สติ๊กเกอร์ 'ชินวัตรโกง' ฮิต โลกออนไลน์แชร์สนั่น :)

โดย ดอกปีบ on 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 13:10

มนุษย์หนักแผ่นดิน "ใต้เงาคราส" ....... เปลว สีเงิน

14 May 2556 - 00:00

บ้านเมืองตอนนี้ "อยู่ในเงาคราส" ครบเครื่อง ผู้คนจะรุ่มร้อน อึดอัดในอก หงุดหงิดง่ายโดยบางทีตัวเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้เป็นคนน่าทุเรศอย่างนั้น เมื่อโมหะตัณหาบัง...ตา-บังสติ ก็ป่วยการยกเหตุ-ยกผลขึ้นมาพูดจากัน เข้าทำนอง "ยามหน้ามืด" ก็รู้ทั้งรู้ แต่กูชอบของกูอย่างนี้ ใครจะทำไม อะไรประมาณนั้น ฉะนั้น ก็ประกวดด่ากันชิงถ้วยไปพลางๆ ละกัน
ผมก็เหมือนกัน ขี้เกียจจะคุย นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าหน้ากระดาษตรงนี้จะขาวโล่ง วันนี้ก็จะไม่อยากเขียนด้วยซ้ำ ขึ้นชื่อว่าขี้เกียจมันเหนือเหตุผลตลอดกาลแหละ!

อยู่ว่างๆ (ว่างเพราะขี้เกียจ) เลยหยิบผลตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในรอบ ๖ เดือน ครั้งที่ ๒ ของอาจารณ์คณิต ณ นคร ที่นำออกเผยแพร่มาอ่าน ย่อหน้าท้ายสุดในผลตรวจสอบ คอป.ระบุไว้อย่างนี้

"การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของปัญหาเกิดจากกรณีของ "คำวินิจฉัยศาลของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี ๒๕๔๔ ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด

เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน ๒ คน ที่เคยลงมติว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี ซ้ำศาลรัฐธรรมนูญยังนำเอาคะแนนเสียง ๒ เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงจำนวน ๖ เสียงที่วินิจฉัยว่า

พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ และเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศไทย
แต่ที่ผ่านมา รัฐยังละเลยและไม่ได้เข้าไปตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากล หรือความที่น่ากังขาของเรื่องนี้
ดังนั้น คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๒ คน ที่ว่านี้คือ นายผัน จันทรปาน และนายจุมพล ณ สงขลา!

ท่านจำกันได้มั้ย คดีซุกหุ้นทักษิณ อันเป็นต้นเหตุนำไปสู่ "จุดเปลี่ยน" ประเทศถึงทุกวันนี้ จากคำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๔๔ ของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ ๓ ส.ค.๔๔

ความจริงการลงมติครั้งนั้น ควรเป็น ๗ : ๖ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำผิดในข้อกล่าวหาว่าซุกหุ้น ไม่ใช่อย่างที่พลิกตาลปัตร ออกมาเป็นว่า ๘ : ๗ ทักษิณไม่ผิด!

เพราะอะไร?

เพราะตุลาการที่ลงมติมี ๑๕ คน มี ๗ คน วินิจฉัยว่าทักษิณผิด มี ๖ คนวินิจฉัยว่าไม่ผิด และมี ๒ คน คือนายผัน กับนายจุมพล ไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีว่าทักษิณผิดหรือไม่ผิด

แต่ด้วยความไม่ชอบมาพากลที่ คอป.เสนอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ใหม่ การณ์กลับเป็นว่า เอา ๒ เสียง "เจ้าปัญหา" ที่ไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าผิดหรือไม่ผิดนั้น ไปรวมกับ ๖ เสียงข้างน้อย

จาก ๖ เสียงข้างน้อย ลากเอา ๒ ที่ไม่ได้วินิจฉัยไปรวมด้วย จากทักษิณผิด ๗ : ๖ กลายเป็นทักษิณไม่ผิด ไม่ได้ซุกหุ้น ๖ เสียง + ๒ เสียง "สายเดียวกัน" เลยกลายเป็นให้ทักษิณชนะด้วยเสียงข้างมาก ๘ : ๗!

๘ : ๗ นั้น เป็นตัวเลขไม่ชอบมาพากล "พลิกผัน" ประเทศไทยจนทุกวันนี้ ซึ่งเบื้องหลังอัปยศนั้น สร้างความขมขื่นให้กับประธานศาลรัฐธรรมนูญ "นายประเสริฐ นาสกุล" เป็นอย่างมาก ซึ่งท่านอยู่ใน ๗ เสียงที่วินิจฉัยว่าทักษิณผิด

วันนี้ไม่ประสงค์ให้อ่านเอามัน ประสงค์เพื่อการศึกษาประเด็นให้ชัดเจนขึ้น จะยกข้อสังเกตต่อคำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๔๔ ของ ศ.ดร.อมร รักษาสัตย์ ๑ ใน ๗ ตุลาการที่วินิจฉัยทักษิณผิด อันเป็นเสียงข้างน้อย มาให้อ่าน

๑.คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ อันเป็นมติขององค์คณะที่เข้าร่วมพิจารณากรณีนี้ เรียกกันว่าเป็น "คำวินิจฉัยรวม" ไม่ใช่คำวินิจฉัยของฝ่ายตุลาการเสียงข้างมากอย่างเดียว ฉะนั้น ต้องแสดงเหตุผลของมติเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย

คำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๔๔ ขณะนี้มีแต่ความเห็น เหตุผล และคำวินิจฉัยของเสียงข้างมากถึง ๒๗ หน้ากระดาษ (หลังจากเขียนข้อเท็จจริงรวม ๘๐ หน้า ซึ่งตุลาการทุกคนร่วมกันพิจารณาจัดทำเป็นข้อเท็จจริงโดยสรุป) ส่วนความเห็นของเสียงข้างน้อย มีแต่เพียงว่า "ผู้ถูกร้องมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๕" เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านและประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า

(๑) ฝ่ายข้างน้อยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเลย
(๒) ศาลรัฐธรรมนูญให้ประชาชนฟังความข้างเดียว แทนที่จะเสนอเหตุผลของทั้งสองฝ่าย
๒.เหตุผลของตุลาการฝ่ายข้างมากกว่าตุลาการข้างน้อย สามารถเขียนคำวินิจฉัยส่วนบุคคลได้อยู่แล้ว เป็นเหตุผลที่เอารัดเอาเปรียบข้างน้อยถึง ๒ ข้อ คือ
(๑) ในทางปฏิบัติ ประชาชนโดยเฉพาะผู้มีส่วนได้เสียกับกรณีนี้ ก็จะอ่านแต่คำวินิจฉัยกลาง ซึ่งยาวประมาณ ๑๐๗ หน้า แล้วนำผลการวินิจฉัยไปใช้บังคับเท่านั้น จะมีผู้อ่านคำวินิจฉัยส่วนบุคคล ๑๕ ฉบับ ซึ่งอาจยาวถึง ๑,๕๐๐ หน้า เพียงเล็กน้อย ฉะนั้น สังคมก็จะรับรู้เหตุผลของฝ่ายข้างมากถ่ายเดียว

(๒) ตุลาการฝ่ายข้างมากก็มีหน้าที่ต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของตนเองอยู่แล้วรวม ๘ ฉบับ ฝ่ายข้างน้อยจะเขียนได้เพียง ๗ ฉบับ

๓.คำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๔๔ นี้ เป็นครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุจำนวนคะแนนเสียงข้างมากต่อข้างน้อย คือ ๘ ต่อ ๗ และได้ระบุชื่อบุคคลของแต่ละฝ่ายไว้ด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่บรรจุความเห็นของฝ่ายข้างน้อยไว้เป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยรวมด้วย สังคมไทยจึงจะเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และการให้โอกาสประชาชนได้เรียนรู้เหตุผลของทั้งสองฝ่ายเสมอกัน

๔.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการแถลงด้วยวาจาและที่เป็นหนังสือไม่ตรงกัน คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำเป็นหนังสือเรียกว่า คำวินิจฉัยที่ ๒๐/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ นั้น ได้ทำขึ้นและลงนามในวันที่ ๒๐-๒๑ สิงหาคม มีความแตกต่างจากคำวินิจฉัยที่ตุลาการแต่ละคนแถลงด้วยวาจา เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๔

กล่าวคือ ในการแถลงด้วยวาจามีการแยกประเด็นข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ออกจากกันอย่างเด็ดขาด โดยมีตุลาการ ๔ คน พิจารณาข้อกฎหมายว่า ผู้ถูกร้องพ้นจากตำแหน่งไปก่อนการยื่นบัญชีทรัพย์สิน จึงไม่เข้าข่ายมาตรา ๒๙๕ และว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอีก

ส่วนอีก ๔ คน พิจารณาข้อกฎหมายว่า ผู้ถูกร้องมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินตามมาตรา ๒๙๑-๒๙๕ และได้พิจารณาในประเด็นข้อเท็จจริงว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องจงใจยื่นบัญชีอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ

ต่อจากนั้นจึงลงคะแนนเสียง ตุลาการท่านใดเห็นว่าผู้ถูกร้องมีความผิดหรือไม่ผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๕ ซึ่งผลการลงคะแนนว่า ไม่ผิด ๘ เสียง ผิด ๗ เสียง คำวินิจฉัยเสียงข้างมากจึงเป็นฝ่ายชนะตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ลงนามในภายหลังนี้ ไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดเจนเหมือนครั้งแถลงด้วยวาจา เพราะให้เหตุผลประกอบว่า ไม่จงใจฝ่าฝืนมาตรา ๒๙๕ เสีย ๒๖ หน้า มีเพียงครึ่งหน้าเท่านั้นที่อธิบายว่า มี ๔ คนที่เห็นว่า ไม่ต้องด้วยมาตรา ๒๙๕

จึงขอให้รวมข้อสังเกตนี้ไว้ในสำนวน และรายงานการประชุมด้วย
ครับ...ที่ผมนำ "ของยาก" มายัดเยียดตรงนี้ ประเด็นคือ ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "ทักษิณเป็นคนใช้ไม่ได้-รกแผ่นดิน" จริงๆ
วันนี้ พ.ศ.๒๕๕๖ ด้วยตุลาการที่ "ซื้อไม่ได้" รับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ไว้พิจารณาเท่านั้น ทักษิณไม่พอใจ
ประกาศ "ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ"!

แต่เมื่อ ๓ สิงหา ๔๔ ด้วยบางตุลาการที่ "ซื้อได้" วินิจฉัยให้ชนะคดีซุกหุ้น ทักษิณพอใจ

ประกาศ "รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ"!

"ยิ่งอยู่-ยิ่งหนักแผ่นดิน" คนแบบนี้
 
post-8119-0-91988400-13670719921.jpg

 




#713054 ว้าว!!! สติ๊กเกอร์ 'ชินวัตรโกง' ฮิต โลกออนไลน์แชร์สนั่น :)

โดย ดอกปีบ on 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 12:24

เผยสติ๊กเกอร์ 'ชินวัตรโกง' ฮิต โลกออนไลน์แชร์สนั่น

 
14 พ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ค (FACEBOOK) ได้แชร์ผ่านสติ๊กเกอร์ที่มีรูปของครอบครัว"ชินวัตร" คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาล , โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร , เอม พินทองทา คุณากรวงศ์ และ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร โดยสติ๊กเกอร์ดังกล่าว มีข้อความโจมตีทั้ง 4 คนจากกรณีเรื่องอื้อฉาวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอ้างว่า โกงชาติหลายแสนล้าน , โอ๊ค พานทองแท้ ถูกอ้างว่า โกงสอบรามคำแหง , เอม พินทองทา โดนอ้างว่า  โกงการเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ อุ๊งอิ๊ง แพธารทอง ถูกกล่าวหาว่า โกงข้อสอบเอนทรานซ์เข้าจุฬาฯ

รายงานระบุว่า สติ๊กเกอร์ชิ้นนี้เป็นชิ้นที่มีการแชร์ผ่านโลกออนไลน์มากที่สุดในเวลานี้ด้วย

 

947058_600284523314986_925145650_n1.jpg

 

ที่มา http://www.naewna.com/politic/51666

 

 

post-16492-0-00865200-13684118771.jpg




#710876 ใครว่าแม้วฉลาด ผมขอค้าน

โดย ypk on 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 - 20:59

เหอะ เหอะ  ผมมองว่าเขาไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็น นักธุรกิจ ประเภท ทุนสามานย์  

เมืองไทยมีอยู่เยอะครับ นักธุรกิจประเภทนี้ ตั้งแต่ธุรกิจเล็ก ๆ ไปจนถึงธุรกิจใหญ่ระดับ

นานาชาติ

 

ธุรกิจประเภททุนสามานย์นี้ ต้องอิงอำนาจเพื่อธุรกิจของตนเอง ไม่ได้ใช้ความรู้ความ

สามารถอะไรในการบริหารธุรกิจเลย

 

ธุรกิจประเภทนี้ทำให้การคอรัปชั่นในวงราชการแพร่กระจายไปทั่วแทบทุกกระทรวงทบวงกรม

 

ธุรกิจประเภทนี้ทำให้การแข่งขันแบบเสรีในทางธุรกิจไม่สามารถทำได้ เพราะมันจะเกิดการผูกขาด

การฮั้ว ผลกรรมมันก็จะมาตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ และธุรกิจที่เขาทำแบบตรงไปตรงมา 

 

ธุรกิจประเภทนี้มันทำให้เกิดการนำทรัพยากรของคนทั้งประเทศไปหาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

ทั้ง ๆ ที่คนทั้งประเทศนั่งทับทรัพยากรเหล่านั้นอยู่แท้ ๆ

 

ธุรกิจประเภทนี้ทำให้เกิดการมอมเมาประชาชนทุกวิถีทาง เพื่อป้องกันการต่อต้านจากประชาชน

 

ใครที่ชื่นชมคนประเภทนี้ ก็เหมือนกบที่เขาจับใส่หม้อต้ม ตอนน้ำยังไม่ร้อนก็ว่ายลอยคอตาแป๋วอยู่

ในหม้อ จนน้ำมันค่อย ๆ ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้ายเมื่อน้ำมันร้อนเต็มที่ กบก็เปลี่ยนจากว่ายลอยคอ

เป็นนอนหงายท้องอยู่ในหม้อนั่นแหละ