ในเมื่อ งานนี้ สุเทพ นำ ไม่ใช่ แป๊ะ
ในเมื่อ งานนี้ สุเทพ เสียตัง ไม่ใช่ แป๊ะ
ในเมื่อ งานนี้ สุเทพ เสี่ยง ไม่ใช่ แป๊ะ
จะยุติธรรมกว่าไหม ที่ สุเทพ ควรเป็นคน ตัดสินใจ
คนอื่น ที่ไม่มีความเสียง ควรจะ หุบปาก นั่งขายน้ำด่าง ต่อไปดีกว่าไหม
โดย Ender on 8 เมษายน พ.ศ. 2557 - 10:27
โดย RiDKuN_user on 16 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 19:40
โดย HiddenMan on 16 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 20:03
ขอที่มาประกอบด้วยนะครับผลงานดีๆ แกเยอะแยะนะครับ - แจกเงิน 2000 ให้คนมีเงินเดือน แต่ไม่แจกคนชนบท เพราะคนชนบทไม่มี เงินเดือนรับรองว่าได้เท่าไร- จ้างต่างชาติ เกือบ 100 ล้าน คิดโปรเจค ไข่ชั่งกิโล ในตำนาน ที่เอาไว้เขียนลงวิชาสังคม ให้เด็กๆ เรียนได้ เพราะคนไทย ไม่มีปัญญาคิดโปรเจคแบบนี้ได้ - ช่วยคุมกำเนิดประชากรไทย ตอน ปี 53 ด้วยการสละชีพ นปชไปเกือบ 100 ศพ- นอกจากจะมีรุ่นพี่สร้าง Stonehenge ฉบับ Hopewell แล้ว ตอนนี้ก็มี Stonehenge ฉบับ โรงพัก 396 แห่ง รวมทั้งสื้น 397 แห่ง สำหรับ Stonehenge ในไทย เอาไว้ให้ต่างชาติมาดู- เป็นสภาที่ใช้เวลาประชุมผ่านโครงการ ด้วยเม็ดเงินมหาศาล นับลง กินเนสบุ๊คได้เลยว่า เป็นสภาที่ผ่านร่างงบประมาณต่อนาที อาจจะสูงที่สุดในโลก- เป็นยุคที่มีการแจกคุรุภัณฑ์ ให้กับ โรงเรียนอาชีวะ แต่น่าเสียดาย โรงเรียนเหล่านั้นกลับไม่ยอมใช้คุรุภัณฑ์ ที่ส่งไปให้ใช้ ตอนนี้เลย ตั้งเป็น อนุสรณ์ ไว้ให้ ต่างชาติ มาดูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช่นเดียวกันผมไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ ปชป เลยนึก ประโยชน์ เค้าออกเท่านี้จริงๆครับ
ยังต้องการที่มาอีกหรือครับ ทุกวันนี้เรื่องพวกนี้มันประจักต่อผู้คนกันไปแล้ว
เอาง่ายๆ เรื่องสองพัน ผมได้ แต่คนทางบ้าน (บ้านนอก) ไม่ได้
ให้คนมีเงินเดือน หรือให้คนที่มีประกันสังคม...
โดย พระฤๅษี on 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 - 13:27
......หลายสิบปี ที่ตามหา.บางปีก็พบ ครั้ง-สอง บางปีก็ไม่พบ
ยิ่งระยะ ๑๐ ปี หลังนี่ เกือบไม่ได้พบ ครั้งนี้ จะพูดถึง
..กาพย์...ร้อยกรอง ชนิดนี้ มีอยู่ไม่มากนัก เช่น ...........
..กาพย์ยานี ๑๑..กาพย์ฉบัง ๑๖..กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘..
บางคนฉงนว่า..อ้าว.. แล้ว..กาพย์ห่อโคลง..กาพย์เห่เรือ.?
.......ก็ต้องอธิบายว่า..กาพย์ห่อโคลง= ก็แต่ง กาพย์ยานี-
๑๑ สลับกับ โคลงสุภาพ.ส่วน..กาพย์เห่เรือ..ก็ ขึ้น โคลง-
สุภาพ.แล้วต่อด้วยกาพย์ยานี ๑๑. เริ่มแต่ ..ช้าแลว่าเห่..
มูละเห่..สวะเห่... ก็ไม่จำต้องกล่าวถึง เพราะเรียกว่า .......
..กาพย์เฉพาะกิจ..มีประวัติมาตั้งแต่ อยุธยา ที่ดังและรู้จัก
กันก็มายุคปลาย อยุธยา ร้อยกรองของ ..เจ้าฟ้ากุ้ง....
( เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ) ย่อ ๆ ......
.......กาพย์ยานี ๑๑.. ยังเห็นแต่งกันต่อเนื่อง..คงจะไม่หาย
ไปแน่. ส่วน.. กาพย์ฉบัง ๑๖..( มีอยู่ในบทพากย์โขน ) แต่
คนแต่ง ดูจะน้อยลง ทั้งที่กาพย์ชนิดนี้ แต่งง่าย สัมผัสก็-
น้อย ( ๑ บทมีแค่ ๓ วรรค. วรรคแรก ๖ คำ.วรรค๒-๔คำ ----
และวรรค๓-๖คำ ) สัมผัสก็แห่งเดียว...ปลายวรรค๑สัมผัส-
ปลายวรรค๒. แค่นี้ แต่กาพย์ ชนิดนี้ ก็กำลังจะหาย.........
ทั้งๆที่แต่งง่ายมาก แต่ก็น่าเสียดาย ปีที่แล้ว แนะนำไว้ได้
๓ คน ในเฟซฯ .อีกชนิดหนึ่งคือ( กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘)
เงียบมาหลายปีแล้ว. ไม่ค่อยเจอ (วรรคละ ๔ คำ มี ๗ วรรค)
หลายปีแล้ว ไม่ได้เห็น ไม่ได้อ่าน..น่าจะถึงกาลสูญหาย....
.......ตอนนี้..ขอลงไว้ให้ผู้สนใจ ดูเป็นตัวอย่าง .........
..(เป็นบท..ร้อยกรอง ใน หนังสือเรื่อง..กาพย์พระชัยสุริยา)
..ของท่าน.สุนทรภู่..( ซึ่ง ครั้งหนึ่ง เคยใช้เป็นแบบเรียน )
......( วันนั้น จันทร.....มีดา-รากร.....เป็นบ-ริวาร.
...... เห็นสิ้น ดินฟ้า....ในป่า ท่าธาร....มาลี คลี่บาน.
......ใบก้าน อรชร....) ฯลฯ ๗ วรรค ๒๘ คำ........
>>>>> วันนี้ ขอทวงถาม กาพย์ที่หายไปแค่นี้...ต่อไปก็จะ
......พูดถึง..ร้อยกรองชนิดต่างๆ เช่น โคลง..ที่หายไป....
.....กลอน.ที่หายไป....ร่าย...ลิลิต ...ลิลิตก็เป็นการแต่ง-
.....ร้อยกรอง..สลับกัน.เล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มีปรากฏใน
.....ปัจจุบันนี้ เหลืออยู่แค่..ลิลิตพระลอ.ลิลิตญวนพ่าย.ล่าสุด
....รัชกาลที่๖ท่าน.พระราชนิพนธ์ ..ลิลิต นารายณ์สิบปาง..
>>>>> ส่วน..คำฉันท์ ที่หายไป ไม่แน่ว่าจะเขียนหรือไม่
.....เพราะแค่ กลอนสุภาพ...กาพย์ยานี ๑๑ ยังเขียนกันมั่ว-
.....มาก..( คำฉันท์แต่ละชนิด ) บังคับคำ ตายตัว ๑๑ ก็ต้อง-
.....๑๑ เกินไม่ได้ ขาดไม่ได้ แถม( ครุ-ลหุ ) ต้องวางให้ตรง
.....ยังเห็นมีแต่งกันอยู่ ๒-๓ ชนิด ทั้งที่ คำฉันท์ มีหลายสิบ
.....ชนิด...จะเอาไว้กล่าวตอนท้ายสุด....ขอแค่นี้ก่อน...
>>>>>>> ร้อยกรอง..ที่หายไป.....ตอนที่ ๑ <<<<<<<<
..........๑/๒/๕๖.........
...
โดย ดูโอลิมปิก5ปีดีจุงเบย on 16 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 21:12
ผลงานดีๆ แกเยอะแยะนะครับ
- แจกเงิน 2000 ให้คนมีเงินเดือน แต่ไม่แจกคนชนบท เพราะคนชนบทไม่มี เงินเดือนรับรองว่าได้เท่าไร
- ช่วยคุมกำเนิดประชากรไทย ตอน ปี 53 ด้วยการสละชีพ นปชไปเกือบ 100 ศพ
- นอกจากจะมีรุ่นพี่สร้าง Stonehenge ฉบับ Hopewell แล้ว ตอนนี้ก็มี Stonehenge ฉบับ โรงพัก 396 แห่ง รวมทั้งสื้น 397 แห่ง สำหรับ Stonehenge ในไทย เอาไว้ให้ต่างชาติมาดู
ถามจริง ตอนนายปฏิสนธินี่ ที่บ้านตั้งใจรึป่าวง่ะ
ถ้าตั้งใจ ทำไมไม่ลงทุนเวลาและหัวใจเลี้ยงนายมาให้เป็นคนดีมีสติ รู้จักหัดค้นข้อมูลก่อนป้ายสีใครมั่งวะ
นี่ไม่ได้ด่านะ ถามจริงๆเลย
ปล. มาแท่ดๆแถๆอยู่แถวนี้ แล้วกระทู้ที่นายตั้งใส่ร้ายเอกนัฏ ไปตอบมั่งยังวะไอ้มังกือ
โอปปาติกะคืออะไร
พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์
ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต
มี คำที่คุ้นหูคุ้นตาชาวไทยอยู่คำหนึ่งคือ โอปปาติกะ พอเอ่ยถึงคำนี้คนทั่วไปจะเข้าใจทันทีว่า หมายถึงสัตว์ประเภทหนึ่งที่ผุดเกิดขึ้นมาตามแรงบุญแรงกรรม เกิดมาแล้วโตเต็มตัวในทันที
บางทีเราเรียกกันว่า "สัมภเวสี"
แต่โอปปาติกะกับสัมภเวสี น่าจะไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไรเอาไว้พูดถึงทีหลัง ในที่นี้ขอพูดถึงโอปปาติกะก่อน
ใน คัมภีร์ชั้นต้น (หมายถึงพระไตรปิฎก) มีคำเรียกสิ่งที่ว่านี้อยู่สองคำคือ อุปปาติกะ กับ โอปปาติกะ ทั้งสองคำนี้มาจากรากศัพท์เดียวกันคือ อุ+ป+ปตฺ+ณิก (ปัจจัย) ประกอบกันตามกรรมวิธีไวยากรณ์ หรือ Grammar ของภาษาบาลีแล้วสำเร็จรูปเป็น อุปปาติกะ หรือโอปปาติกะ แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้ผุดขึ้น" หมายความว่า ผุดเกิดเติบโตขึ้นมาทันทีดังกล่าวข้างต้น
ใน มหาสีหนาทสูตร มัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎก (ฉบับภาษาไทย พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2521) เล่ม 12 ข้อ 169 หน้า 117 พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ดูกร สารีบุตร กำเนิด 4 ประการเป็นไฉน คือ อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด ดูกรสารีบุตร อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เรียกว่า อัณฑชะกำเนิด ดูกร สารีบุตร ชลาพุชะกำเนิดเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดชำแรกไส้เกิด นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในของสกปรกนี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกร สารีบุตร โอปปาติกะเป็นไฉน เทวดา *** มนุษย์บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เรียกว่า โอปปาติกะ"
สำนวนแปลไทยของท่านค่อนข้างเข้าใจยาก ขอถอดความให้ฟังง่ายคือ กำเนิดมี 4 ประเภทคือ (1) ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ (2) อัณฑชะ เกิดในไข่ (3) สังเสทชะ เกิดในที่สกปรกเน่าเหม็น และ (4) โอปปาติกะ พวกที่ผุดเกิดขึ้นมาทันที ซึ่งมีด้วยกัน 4 จำพวกคือ เทวดาพวกหนึ่ง สัตว์นรกพวกหนึ่ง มนุษย์บางจำพวกอีกพวกหนึ่ง เปรตบางจำพวกอีกพวกหนึ่ง
สามจำพวกแรกไม่มีปัญหา แต่ประเภทสุดท้ายคือมนุษย์นี่สิ พระคัมภีร์ยืนยันว่าบางพวกเป็นโอปปาติกะ แง่นี้ยังไม่มีใครพูดถึงกัน ว่าได้แก่มนุษย์ชนิดไหน
มีหลักฐานอยู่สองแห่ง น่าจะให้คำตอบได้คือ ปาสาทิกสูตร เล่ม 11 ข้อ 116 หน้า 122 กล่าวว่า
"ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า เพราะละสังโยชน์ 3 สิ้นไป ข้อนี้เป็นผลประการที่ 1 เป็นอานิสงส์ประการที่ 1 ดูกรอาวุโส ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์เพราะสังโยชน์ 3 สิ้นไป และเพราะความราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง ข้อนี้เป็นผลประการที่ 2 เป็นอานิสงส์ประการที่ 2 ดูกรอาวุโส ข้ออื่นยังมีอีกภิกษุเป็นอุปปาติกะ (เป็นอนาคามี) ผู้จะปรินิพพานในภพนั้น เป็นผู้ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 สิ้นไป ข้อนี้เป็นผลประการที่ 3 เป็นอานิสงส์ประการที่ 3..."
ข้อความข้างบนนี้ พูดถึงคน 4 ระดับคือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี โอปปาติกะ และพระอรหันต์ (ซึ่งไม่ได้ยกมาด้วยเพราะจะเปลืองหน้ากระดาษไป)
โอปปาติกะ ในที่นี้ก็คือพระอนาคามี
หลักฐานที่สองคือ อัฏฐกนาครสูตร เล่มที่ 13 ข้อ 2 หน้า 17-18 กล่าวว่า
"เธอตั้งอยู่ในธรรมคือสมถะวิปัสสนานั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรมคือสมถะวิปัสสนานั้น เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา"
แม้จะ ไม่ระบุคำว่า "อนาคามี" ตรงๆ แต่จากข้อความแวดล้อม ก็บ่งชัดแจ้งอยู่แล้วว่า ผู้ที่ฝึกสมถะและวิปัสสนา ได้ฌานที่ 3 และที่ 4 ย่อมได้บรรลุพระอรหันต์สิ้นอาสวกิเลสได้ในที่สุด แต่ถ้าไม่สามารถหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะไปติดอยู่ในความสุขในฌาน เพลิดเพลินในสมถะวิปัสสนา ก็จะได้เป็นโอปปาติกะ เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่างได้
และคนที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ชนิด ก็คือ พระอนาคามี
ครับ! มนุษย์ที่เป็นโอปปาติกะ คือ พระอริยบุคคลระดับอนาคามีดังหลักฐานที่อ้างมาข้างต้น
ปัจจุบันนี้ มีนักโอปปาติกะนิยมบางท่าน มุ่งความสนใจไปเฉพาะโอปปาติกะที่เป็นเทวดา หรือสัตว์นรก โดยลืมนึกถึงโอปปาติกะมนุษย์ บางท่านเอาเทวดามาขู่ว่า ใครไม่เชื่อว่าผีสางเทวดามีจริง หรือไม่กระตือรือร้นที่จะเห็นความสำคัญของเทวดาเป็นมิจฉาทิฐิ อะไรไปโน่นแน่ะ
จริงอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสมิจฉาทิฐิ (ความเห็นผิด) 10 อย่างไว้ในอปัณณกสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 13 การไม่เชื่อว่ามีโอปปาติกะเป็นหนึ่งใน 10 อย่างนั้น แต่โอปปาติกะชนิดไหนที่พระพุทธองค์น่าจะประสงค์ในที่นี้
เทวดา หรือมนุษย์?
น่าจะเป็นมนุษย์มากกว่า
โอปปาติกะมนุษย์นี่แหละ ที่ควรสนใจที่สุด เพราะถ้าเชื่อว่ามนุษย์ที่เป็นโอปปาติกะมีอยู่จริงก็เท่ากับยืนยันความเป็น สวากขาตธรรม (พระธรรมตรัสดีแล้ว) สันทิฏฐิกธรรม (พระธรรมพึงรู้เห็นเอง) และเอหิปัสสิกธรรม (พระธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การ "ผุดเกิด" ที่แท้จริง น่าจะเป็นการผุดขึ้นแห่งกระแสจิตก้าวพ้นกิเลสที่ผูกมัดไว้กับกองทุกข์ (สังโยชน์) 5 ชนิด คือ ความเห็นว่ามีตัวตน, ความลังเลสงสัย, ความถือขลังศักดิ์สิทธิ์ในศีลพรต, ความติดใจในกามคุณและความกระทบกระทั่งในใจ
คนที่ระดับจิตใจถึงขั้นนี้ ไม่มีทางตกต่ำ มีแต่จะพัฒนาขึ้นจนดับกิเลสได้สนิท ไม่กลับมาเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป
โอปปาติกะประเภทนี้ต่างหากที่ควรสนใจ และถ้าใครไม่เชื่อว่าในพุทธศาสนามีโอปปาติกะชนิดนี้ จึงควรถูกประฌามว่าเป็นมิจฉาทิฐิแท้จริง
เพราะเท่ากับคัดค้านคำสอนของพระพุทธองค์
โดย YuiKung on 16 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 14:46
โดย Sand on 12 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 18:27
โดย Ricebeanoil on 11 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 00:50
โดย วิท on 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 08:05
โดย Bookmarks on 26 มกราคม พ.ศ. 2557 - 16:56
จะทำ ก็ลอบทำครับ อย่าใช้อาวุธในที่ชุมนุม
โดย Bookmarks on 11 มกราคม พ.ศ. 2557 - 12:09
โดย idecon on 4 มกราคม พ.ศ. 2557 - 18:32
โดย Bookmarks on 3 มกราคม พ.ศ. 2557 - 21:15
ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงสำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า สำหรับสำนวนคดีฉ้อโกงที่ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นต์ แอนด์ คอนตรัคชั่น จำกัด ,นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานบริษัท พีซีซีฯ , นายวิศณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พีซีซีฯ และนายจตุรงค์ อุดมสิทธิกุล กรรมการบริษัท พีซีซีฯ ผู้ต้องหาที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงเงินค่าก่อสร้างผู้รับเหมาช่วง ในโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน396 แห่งทั่วประเทศ จำนวนกว่า 90 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 นั้นโดยอัยการฝ่ายคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพิจารณาสำนวนแล้วว่า ผู้รับเหมาช่วงได้เข้าร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ ว่า ไม่ได้รับเงินค่าจ้างและเงินค่าดำเนินการต่างๆจากบริษัทพีซีซี ซึ่งทางอัยการพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการหลอกลวง แต่เป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง เนื่องจากบริษัทพีซีซีไม่จ่ายเงินให้ผู้รับเหมาช่วงตามงวดสัญญา ทำให้ผู้รับเหมาช่วงไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างสถานีตำรวจให้เสร็จสิ้นได้ และบริษัทพีซีซีก็เคยเป็นผู้รับเหมาและมีประวัติการทำงานก่อสร้างโครงการใหญ่มาก่อน เห็นว่า บริษัทพีซีซีไม่มีเจตนาฉ้อโกงและไม่มีมูลทางคดีอาญาจึงสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวส่วนคดีฮั้วประมูล ที่บริษัท พีซีซี ฯ , นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานบริษัท พีซีซีฯ และ นายวิศณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการบริษัท พีซีซีฯ ผู้ต้องหาที่ 1-3 ข้อหา โดยทุจริตร่วมกันเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐโดยรู้ว่า ราคานั้นต่ำมากเกินกว่าปกติ (ต่ำกว่าราคากลางถึง 540 ล้านบาท) จนเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการ หรือเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐสูงกว่าความเป็นจริงตามสิทธิที่จะได้รับ โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการกีดกันการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและการกระทำเช่นว่าเป็นเหตุให้ไม่สามารถปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 8 นั้นโดยอัยการฝ่ายคดีพิเศษก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าการประมูลโดยวิธีอีอ็อกชั่นของ สตช. เป็นการประมูลอย่างถูกต้องและมีการแข่งขันราคากันหลายครั้ง ส่วนที่ดีเอสไอระบุว่า บริษัทพีซีซีเสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริงมากเกินกว่าปกตินั้น ก็ไม่ปรากฏว่าการเสนอราคาต่ำมากจนเกินไปและต่ำกว่าเกณฑ์ของกระทรวงการคลังแต่อย่างใด
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net