Jump to content


แดงใต้ตีน เลียไข่แม้ว

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 24 เมษายน 2555
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2555 17:41
-----

#331079 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:07

ทีนี้มาจับโกหกสุลักษณ์ชนิดถลกหนังแต่หัวจรดบาทาเลย คือเรื่องที่มันอ้างว่าไปคุยกับป๋วย ดังนี้

คุณป๋วย มาเป็นผู้ว่าการธนาคารประเทศไทย ผมเรียนคุณป๋วยว่า ไม่ต้องคืนวังก็ได้ถ้าท่านรวยจริงอย่างว่า ก็ตั้งเป็นมูลนิธิถวายท่าน ให้รางวัลนักศึกษาเพื่อเป็นพระเกียรติ คุณป๋วยก็บอกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำไม่ได้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ซื้อมาจากกระทรวงการคลัง เช่ามาไม่มีทาง แต่คุณป๋วยก็พยายามถวายพระเกียรติท่านทุกอย่าง ต้องเข้าใจอันนี้
http://www.facebook....150898885312798

เรามีไทม์ไลน์ให้ตรวจสอบพอดี คือ หนังสือคณะรัฐมนตรีแจ้งกระทรวงการคลัง อ้างถึงมติครม. วันที่ 3 พฤศจิกายน 2502 ว่า
"คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษา เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เห็นว่าเรื่องที่ดินและวังบางขุนพรหมนี้ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงพระราชทานและได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่รัฐบาลแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงไม่อาจที่จะถวายคืนให้แก่ทายาทของพระองค์ท่านได้"
http://variety.thaiz...งขุนพรหม/54603/

เอาละ มาบวกเลขกันหน่อย
ตามมติครม. เป็นอันสรุปได้ละ ว่าจอมพลถนอม ไม่คืนวังให้ทายาทแน่นอน นี่ปักหมุดก่อนเลยว่า อยู่ในเดือนพฤศจิกายน 2502
ก็แปลว่า ทางทายาท คงจะทวงถามมาผ่านทางกระทรวงคลังเพราะจอมพลป. เอง ไปรับปากไว้ตั้งแต่ สิบปีก่อนว่าจะคืน
แล้วป๋วยมาเกี่ยวอะไร ตอบว่าป๋วยไม่เกี่ยวหรอก แต่สุลักมันเอาคำพูดยัดปากป๋วย

สถานะของป๋วยนั้น คือข้าราชการคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ว่าธนาคารชาติ ก็ยังอยู่ใต้กระทรวงคลัง
มิหนำซ้ำ วังบางขุนพรหม เจ้าของคือกระทรวงคลัง ไม่ใช่ธนาคาร จึงเห็นว่ามติครม. ตอบไปยังกระทรวง ไม่ได้ตอบไปยังธนาคาร
อันนี้เป็นสายงานในวงราชการ ซึ่งสุลักเอามามั่ว อวดตัวเหมือนกับเป็นตัวสำคัญในเหตุการณ์นั้น....ที่จริงแล้ว เปล่าเลย
ในวันที่มีมคิครม. ไอ้เหียกเจ๊กหน้าลิงคนนี้อยู่อังกฤษครับ มันบอกเอง
๒๕ สิงหาคม ๒๕๐๑ เดินทางจากประเทศอังกฤษกลับสู่ประเทศไทย
๓๑ มกราคม ๒๕๐๒ เดินทางไปประเทศอังกฤษอีกครั้งเพื่อทำงานกับบีบีซีของอังกฤษ
* เมื่อบีบีซียุบการกระจายเสียงภาคภาษาไทย ได้ไปสอนภาษาไทยที่ SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ ได้เป็นเนติบัณฑิตแห่ง The Middle Temple
ได้เรียบเรียงเรื่องเสด็จอังกฤษ เป็นบทกลอนแจกตอนกลับจากอังกฤษ พ.ศ. ๒๕๐๕
http://www.sulak-siv...=1&limitstart=1

สรุปว่า มันออกจากเมืองไทยไปตั้งแต่กลางปี 2501 จากนั้น อีกร่วมปี ป๋วยจึงเป็นผู้ว่า
เป็นผู้ว่าได้ 5 เดือน ครม. จึงมีมติออกมาว่าไม่คืนวัง ตรงนี้น่าจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำกันก่อนป๋วยเป็นผู้ว่าด้วยซ้ำ
แต่ที่สำคัญคือ ตั้งแต่ 2501-2505 สุลักอยู่นอกประเทศ มันจะหายตัวมาบอกป๋วยเรื่องวังได้อย่างไร

มันมาเจอป๋วยอีกที เรื่องคืนวังก็ผ่านไปสามปีกว่าแล้ว เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว

สมมติว่ามันพูดกับป๋วยจริง ก็คงเป็นการเพ้อเจ้อ เหมือนที่มันอ้างว่าพ่อไอ้แซม (นายประยูร ภมรมนตรี) ไม่ยอมคืน บอกจอมพลป. ว่า เจ้าฟ้าท่านรวยแล้ว แล้วมันเอามาบอกป๋วยว่า ถ้าท่านรวยก็ไม่ต้องคืน เพื่อให้คนอ่านเข้าใจว่ามันไกล้ชิดเหตุการ ทั้งๆ ที่ เป็นเรื่องบรรจง ต อ แ ห ล ขึ้นมาอวดตัวเองทั้งนั้น

นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ 11 มิ.ย. 2502 - 15 ส.ค. 2514
http://www.bot.or.th...OfGovernor.aspx

เห็นความเลว ร ะ ยั ม ของไอ้แก่จอมกะล่อนคนนี้หรือยังครับ


#330845 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 13:07

สิ่งน่ารังเกียจของเฮียสุลักษณ์ในเรื่องนี้ ก็เหมือนที่แกทำมาตลอดแหละ คือผูกขาดความจริง

แกเล่าเหมือนกับว่า เรื่องที่เกิดน่ะ แกรู้ดีที่สุดเพราะเกิดกับตัวเอง
คิดดู ไปบอกป๋วยว่า ไม่ต้องคืนวังให้ทายาทท่านก็ได้ ถ้าท่านรวยจริง
ถ้อยคำนี้บ่งบอกว่า มันเองก้ไม่รู้ว่าท่านรวยหรือเปล่า แต่มันแนะป๋วยเสียแล้ว

คงจำได้นะ มันบอกเมื่อตะกี้ให้คาธอลิคคืนที่ดินที่ได้มาจากการบังคับซื้อสมัยล่าอาณานิคม
แต่มันหุบปาก ในกรณียึดทรัพย์ของนายปรีดี.....24 มิถุนามาถึงกบฎบวรเดชนี่ ปรีดีใหญ่สุดนะครับ
แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับรวยไม่รวย หรือหลักของมารดามันคือ รวยแล้วต้องถูกปล้น
นี่มันปรัชญาเสื้อแดงนี่หว่า

ที่สำคัญ เรื่องที่มันเล่าน่ะ เป็นการเล่าจากคนหนึ่งมาสู่อีกคนหนึ่ง แล้วมาถึงมัน
จริงเท็จ ใครจะบอกได้

อิอิ แต่อินเตอร์เนตบอกได้ เหมือนที่มันคุยว่า ความจริงอยู่ในเนต
ผมก็จะเอาความจริงในเนตมาตบปากไอ้แก่ปากสุนักใจเฮียคนนี้...ดังนี้


วันหนึ่ง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานกรรมการราษฎร (ขณะนั้นยังไม่มีคำว่า (นายกรัฐมนตรี') และนายทหารสองนายมาเฝ้า หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์อยู่ ณ ที่นั้น จึงได้ยินถ้อยคำที่พระยามโนปกรณ์กราบทูลและสมเด็จฯเจ้าฟ้าฯ รับสั่งตอบทุกถ้อยคำ
กราบทูล - ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า อยากให้ใต้ฝ่าพระบาท เสด็จไปประทับต่างประเทศ
รับสั่ง - ฉันพร้อมที่จะไปเสมอ แต่ถ้าฉันไป ฉันก็ต้องขอเอาครอบครัวไปด้วย
กราบทูล - แต่ก่อนที่จะเสด็จไป ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานให้ทรงทำอะไรสักอย่างเพื่อแสดงว่า ไม่ทรงกริ้วกราดพวกที่เปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้
ถึงตรงนี้ ทรงอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษ
รับสั่ง - Is this ransom?(หมายความว่า 'เป็นค่าไถ่ตัวรึ')
กราบทูล - มิได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าเด็กพวกนี้หัวรุนแรง ถ้ารั้งบังเหียนไว้ไม่อยู่ บังเหียนก็จะขาด
รับสั่ง - แต่ฉันไม่มีเงิน ไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่เขาลือกัน และถ้าฉันจำเป็นต้องไปอยู่ต่างประเทศ ฉันก็จำเป็นต้องใช้เงิน ถ้าเห็นว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรพอสำหรับบ้านเมืองก็เอาบ้านฉันไปซี
กราบทูล - ข้าพระพุทธเจ้าขอไปปรึกษากันดูก่อน แล้วจะมากราบทูลภายหลัง

ต่อมาในภายหลัง ปรากฏเอกสารพิมพ์ดีดตัวเล็ก บนกระดาษตราประจำพระองค์ และลายพระหัตถ์ลงพระนาม ประทานบ้านให้แก่รัฐบาล
รัฐบาลให้เสด็จกลับวังวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๔๗๕ เอกสารที่เป็นกระดาษแผ่นเดียวนั้น ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม วันที่รัฐบาลกำหนดให้ เสด็จไปขึ้นรถไฟ เสด็จออกนอกประเทศ
ซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ประการแรกในวังบางขุนพรหมไม่เคยมีเครื่องพิมพ์ดีดอักษรตัวเล็ก ที่วังใช้เครื่องพิมพ์ดีดพรีเมียร์อักษรตัวโตอยู่เครื่องเดียวมาแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น จึงมีผู้สันนิษฐานว่า คณะราษฎร์ได้จัดพิมพ์หนังสือฉบับนั้นมาถวายให้ลงพระนาม ก่อนเสด็จออกจากพระราชอาณาจักรในวันที่ ๔ กรกฎาคมนั้น ด้วยถือเอาพระวาจาเชิงประชดที่ว่า พระองค์ท่านไม่มีเงิน ถ้าเห็นว่ายังไม่ได้ทำอะไรพอสำหรับบ้านเมือง ทรงมีแต่บ้านก็เอาบ้านฉันไปซี

'บ้าน' ของพระองค์นั้น เป็นที่ดินที่สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงซื้อที่ดินชาวบ้าน ๑๖ ราย เป็นเงิน ๓๓๐ ชั่ง ๑๔ บาท ๔๐ อัฐ (พ.ศ.๒๔๔๒) โดยใช้เงินพระคลังข้างที่ซึ่งเป็นเงินส่วนพระองค์ ของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่เงินสำหรับใช้ในราชการแผ่นดิน ราคาที่ซื้อนั้นก็เป็นราคาที่ราษฎรซื้อขายกันในเวลานั้น (วังที่พระราชทานแก่พระราชโอรสทุกพระองค์ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ คือทรงซื้อที่พระราชทานให้ แต่ละวังจึงเป็นกรรมสิทธิทรัพย์สินส่วนพระองค์ของเจ้าของวัง)
วังบางขุนพรหม จึงตกเป็นของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕

จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นมา ๑๖ ปี ถึง พ.ศ.๒๔๙๑ เมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงครามได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งหลังสงคราม ถึงตรงนี้ผู้เล่าสันนิษฐานเอาเองว่า บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อคณะปฏิวัติเป็นรัฐบาลนั้นได้รับประทานวังบางขุนพรหมมาอย่างมิได้เป็นธรรมต่อองค์เจ้าของวังเท่าใดนัก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี จึงดำริจะให้รัฐบาลคืนวังบางขุนพรหม เวลานั้น สมเด็จฯเจ้าฟ้าฯกรมพระนครสวรรค์ สิ้นพระชนม์แล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงมีหนังสือทูลพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร พระโอรสพระองค์ใหญ่
ความตอนหนึ่งว่า
"เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีคราวก่อน ได้เคยคิดไว้และได้ดำเนินการไปบ้างแล้วก็มี เรื่องใคร่จะขอให้ทางรัฐบาลจัดการคืนวังบางขุนพรหมให้แก่ท่านทายาทรับไป เพื่อจะได้ใช้เป็นที่ประทับ ประชาชนจะได้เห็นว่าทางพระราชวงศ์ กับทางรัฐบาลมีความสนิทสนมกันดีอยู่ จะได้ไม่เป็นรอยร้าวที่จะพาให้ประเทศชาติต้องแตกแยกกัน อันจะนำมาซึ่งความล่มจมของชาติในอนาคต"

ขณะ จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกฯ ครั้งนี้ก็ได้มีการพิจารณา เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ต้องค้นหาเรื่องเดิมที่ยังค้นไม่ได้ จอมพล ป.เป็นนายกฯ อยู่จนถึง พ.ศ.๒๕๐๐ ต้องออกจากตำแหน่ง ถึง พ.ศ.๒๕๐๒ ขณะ จอมพล ถนอม กิติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี จึงได้ลงมติเป็นเด็ดขาดว่า ไม่อาจคืนให้ได้ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีข้อความสำคัญว่า

"คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษา เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เห็นว่าเรื่องที่ดินและวังบางขุนพรหมนี้ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงพระราชทานและได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่รัฐบาลแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงไม่อาจที่จะถวายคืนให้แก่ทายาทของพระองค์ท่านได้"
http://variety.thaiz...งขุนพรหม/54603/


#330317 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:10

มาขอความรู้เพิ่มเติมเรื่อง สนง. ทรัพย์ฯ ค่ะ จะได้ไปต่อกรกับมวลเสื้อแดง โดยเฉพาะประเด็น สนง. ทรัพย์ฯ ไม่เสียภาษี ... ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ต้องยกประเด็นมาครับ จึงจะแก้คดีได้
แต่จะสู้ ก็ต้องลากกฏหมายมาข้างตัวครับ
พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช ๒๔๗๙
มีการแก้ไขเพิ่มเติม ๒ ครั้ง ในพ.ศ.๒๔๘๔ และ พ.ศ.๒๔๙๑

ที่สำนักงานก็มีถามตอบเรื่องนี้เหมือนกัน
http://www.crownproperty.or.th/faq.php

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นองค์กรนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมาตาม พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 ,2481 และ 2491 ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วน สำนักทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งก็คือ ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้วก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ หรือทรัพย์สินที่รัฐทูลเกล้าฯถวาย หรือทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าในทางใดและเวลาใด นอกจากที่ทรงได้มาในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ รวมดอกผลที่เกิดจากบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวนั้นด้วย

ดังนั้น ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งได้แบ่งแยกออกจากทรัพย์สินส่วนพระองค์อย่างชัดเจน และตามกฎหมายก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ถึงแม้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี เช่นเดียวกับทรัพย์สมบัติของสาธารณะ แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็ต้องชำระภาษีเช่นเดียวกัน

ประเด็นสำคัญที่คาใจพวกนี้ก็คือ คณะกรรมการบริหารสำนักงาน มีรัฐมนตรีคลังเป็นประธานโดยตำแหน่ง

พวกก็หาว่าเงินเข้าพระเจ้าอยู่หัวหมด...บล่าๆๆๆๆ โดยไม่ยอมรับความจริงว่า
ฝ่ายการเมืองก็ร่วมรับรู้การดำเนินงานมาโดยตลอด

อันนี้คือแกล้งโง่เพื่อหาเรื่องด่าอย่างเดียว


#330246 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 22:08

มาดูสันดานทรามของนายสุลักษณ์อีกเรื่อง คือเรื่องทวงที่ดินสุสานคืน

แกบอกว่า ฝ่ายคาทอลิคได้มาเพราะฝรั่งเศสบังคับให้เราขาย...โหย เรื่องตั้งแต่ร.ศ.112 ร้อยกว่าปีมาแล้ว แกยังเอามาเสี้ยม แกบอกว่า เป็นเพราะอำนาจพิเศษ บาทหลวงฝรั่งเศสจึงซื้อที่ได้ เพราะฉะนั้น ให้ยกทำเป็นสวนซะงั้น
แล้วที่แกได้เรียนอัสสัมอันเป็นของภราดาฝรั่งเศส แกมิต้องถุยวิชาความรู้ที่ได้รับกลับคืนเขาหรือ
ต้นตระกูลแกเป็นจีนที่อพยพเข้ามา และได้อภิสิทธิ์ทางสังคมเพราะราชสำนักเอ็นดู มิต้องคืนความรวยทั้งหมดละหรือ

คริสเตียนในเมืองไทยก็เป็นคนไทยเท่าๆ กับมุสลิมหรือพุทธ ไม่ได้เป็นเพราะเมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีคนเอาปืนมาบังคับให้สยามรับไว้ซะหน่อย หนอยแน่ พออยากได้ทรัพย์สินเขา ก็ยกประวัติศาสตร์มาอ้าง ทำอย่างนี้ต่างอะไรกับฝรั่งเศสที่นายสำลักเพิ่งด่าว่า เอาเรือปืนมาสร้างสิทธิพิเศษให้คนของตน ไอ้ที่เลวบัดซบเลยก็คือ เป็นที่ดินของทางศาสนาอีกด้วย ไม่ใช่ที่ของสถานฑูตสักหน่อย

ผมว่าหายากนะครับ คนแก่ที่หลงผิดขนาดนี้ แล้วดันมีคนไปยกย่อง
ความคิดเห็นที่คายออกมานี่ เหลือจะรับประทาน ช่างหน้าด้านเสียนี่กระไร

อยากได้ที่ดินเขา ยังไปด่าเขาซะอีก...ต้องเรียก *** ศิวลึงค์จริงๆ


#330180 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 20:48

ค่อนข้างหงุดหงิดเวลาที่เห็นใคร Distort ประวัติศาสตร์
เรื่องสีลม....งงครับ......ชานเมืองเหรอ.......เเล้วไปรษณีกลาง.....ซวยสวนพลู........สวนลุมละครับ.....เเก่เเล้วมั่ว


เรื่องสีลมนี่ชี้เลยว่าแกมั่ว ด้นทุรังดำน้ำพูดให้คนเชื่อ โดยที่ตัวแกเองไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นเลย
แล้วเรื่องอื่นๆ ที่แกพูด เราจะเชื่อได้หรือ...เช่นกรณีสวรรคตเป็นต้น

ผมพอจะมีความรู้ ในเรื่องนี้ จะลงรายละเอียดสักหน่อยเพื่อชี้ว่าแกเลอะเทอะอย่างไร

ตอนที่รัชกาลที่ 1 สร้างกรุง ท่านให้ขุดคลองเป็นคูเมืองสองชั้น ชั้นแรกอยู่ตรงปากคลองตลาด ชั้นสองอยู่ตรงคลองโอ่งอ่าง
พอถึงรัชกาลที่ 4 ท่านให้ขุดเพิ่มอีกเส้น คือคลองผดุงกรุงเกษม ทำให้พื้นที่กรุงเทพในวงคูเมืองมีเพิ่มขึ้นอีกราวๆ สองเท่า
แต่ตามรูปแบบเมืองในสมัยนั้น ในเขตคูเมืองกับนอกเขตคูเมือง ไม่ได้แตกต่างกันขนาดฝ่ายหนึ่งเป็นชายแดนอีกฝ่ายเป็นศูนย์การค้า
เพราะในสมัยนั้น ความเป็นชุมชนขึ้นอยู่กับอาชีพและเชื้อชาติ ทำให้เกิดเป็นศูนย์ย่อยๆ กระจายไปตามความอุดมสมบูรณ์

ทีนี้ นายสุลัก ไปเอาควมเคยชินของสมัยตัวเองมาใช้ เคยชินว่าบ้านนอกต้องทุรกันดาน ต้องขาดแคลน นี่ก็เอาข้อเท็จจริงสมัยแกเด็กๆ ไปจับ
สมัยแกเด็กๆ น่ะ เขาวัดความเจริญด้วยไฟฟ้า น้ำปะปา โทรศัพท์ และถนน ซึ่งในยุคเริ่มต้นของชุมชนสีลม สิ่งเหล่านี้ไม่มี ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี่ก็ไม่มี

มันก็เลยไม่มีสภาพที่ว่าแถวนั้นไฟดับบ่อยเพราะเป็นปลายสาย น้ำประปาไม่ไหลเพราะห่างกลางเมือง

ที่จริงแล้ว มันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ในยุครัชกาลที่ 4 ความเจริญ ไม่ได้อยู่ในเขตคูเมือง
เพราะโรงพิมพ์หมอสมิทอยู่บางคอแหลม โรงเรียนที่ดีที่สุดก็อยู่สำเหร่ และอยากได้สินค้าใหม่ๆ แปลกๆ ก็ไปที่ถนนตก เพราะเรือกำปั่นจอดที่นั่น


#329982 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 18:16

ส.ศิวรักษ์: ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว แต่คนที่มืดบอดอยู่ก็มองไม่เห็น ถ้าคุณเปิดตาให้กว้าง เพราะสมัยนี้มันมีอินเทอร์เน็ต มันมีอะไรต่ออะไรที่ออกมาเยอะเยาะเลย ถึงแม้คุณจะห้ามไม่ให้เข้ามาในประเทศนี้ มันหาได้นอกประเทศ

เพราะฉะนั้นเรื่องกรณีสวรรคต ตอนนี้มันปรากฏทั่วโลกแล้ว แล้วก็ปรากฏในเมืองไทย แต่ไม่สามารถปรากฏในสื่อที่เปิดเผยได้ เพราะสื่อเมืองไทยมันแหย มันปอด มันกลัว แล้วก็ไปผูกอยู่กับม.112 คนก็เลยกลัว ไอ้มาตรานี้จนเกินเหตุไป แต่ถ้าเผื่อคุณอยากจะรู้ความจริงมันมีแล้ว มันปรากฏแล้ว และ คนที่ฆ่าในหลวงองค์ที่แล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่ แสวงหาได้ไม่ยากหรอก


นี่คือ สั น ด า น เ หี้ ย สุลักษณ์ สิ่งที่มันตอบมีแค่นี้เท่านั้น ที่เหลือเป็นขยะคำพูดที่ไม่เกี่ยวกับประเด็น มันเคยด่าคนอื่นว่า "ยกศัพท์อวดตู๊กแก" (เป็นคำของร. 4) หมายความว่า เอาคำหรูๆ มาใส่ๆ ให้มันดูดี...ตัวมันเอง ก็ทำเหมือนที่เคยด่าคนอื่น

และถ้า สรุปใจความกันจริงๆ ก็อยู่ที่คำนี้ เท่านั้น
คนที่ฆ่าในหลวงองค์ที่แล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่

เอาละ เอ็งกล้าบอกอย่างนี้ ผมจะลองเดาดู
คนๆ นั้น น่าจะอายุมากกว่าสุลักหน่อย ตีว่าตอนนี้อายุ 80 ละกัน
สุลักต้องรู้จัก จึงกล้าระบุตัวได้

แต่เรื่องนี้ ได้มีการสืบสวนกันละเอียดไปแล้ว ไม่พบว่ามีใครผิดนอกจากสามคนที่ถูกประหาร
ดังนั้น สุลักจึงทราบดีกว่ารัฐบาล ทราบดีกว่าปรีดีเสียอีก เพราะปรีดีไม่เคยยืนยันความเห็นชัดเจนอย่างนี้

ดังนั้น ผมจึงต้องอนุมานเอาว่า สุลักรู้เรื่องนี้โดยทางลับ
ไม่ใช่จากเอกสารที่อ้างว่าอยู่เมืองนอก เพราะถ้าอยู่เมืองนอกแล้วสุลักยังรู้ แปลว่ามีคนอื่นรู้ด้วย
และถ้าเขารู้ เขาไม่มีเหตุจะต้องกลัวโทษภัย ยิ่งฝรั่ง มาตรฐานความปลอดภัยดีมาก
ขนาดซัลมัน รัชดี ที่เขียนลบหลู่พระศาสดา The Satanic Verses (1988) แล้วโดนตั้งค่าหัว ทุกวันนี้ยังอยู่ดี

หมายความว่าเอกสารที่สุลักอ้างว่าอยู่เมืองนอก ที่จริงไม่ได้บอกว่าใครทำ
ถ้าบอกได้ รับประกันว่าจะมีฝรั่งแย่งกันเอาหน้า เขียนหนังสือเอาชื่อกันโกลาหล
ไม่ตกมาถึงสุลักให้เอามาทำปากพล่อยดอก

ทางสันนิษฐานจึงตกว่า เอกสารหรือหลักญานเรื่องนี้ ต้องอยู่กับสุลัก
จึงทำให้มั่นใจ กล้าบอกว่าคนฆ่ายังไม่ตาย

ผมจึงขอฟันธงว่า คนฆ่าน่ะ เป็นญาติผู้ใหญ่ที่ยังไม่ตายของไอ้ เ หี้ ย นี่เอง
อาจจะเป็นพี่ป้าน้าอาสักคน ที่อายุมากพอจะฆ่าคน


เอ วันนั้น มันก็อายุ 13-14
ฆ่าคนได้เหมือนกันนี่หว่า....


#329907 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 16:42

คำโต้ตอบของผม

ที่จริงเรื่องนี้เราวิเคราะห์กันที่เว็บเสรีไทย สรุปได้ว่า ใช้หลักอาชญวิทยา101 ก็บอกได้ว่าใครฆ่า

ประการแรกใครเสียประโยชน์จากเหตุการณ์คนนั้นไม่ได้ฆ่า คนเสียประโยชน์คือจ้าวและนายปรีดี ส่วนคนได้ประโยชน์คือนายแปลก ง่ายๆแค่นี้เอง

ทีนี้นายปรีดีน่ะมือไม่ถึง รีบไปประกาศว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งมหาชนเขารับไม่ได้
เอาละ ถ้าน้องฆ่าพี่จริง ทำไมปชป. ถึงมาโพทนาแย้งปรีดีล่ะ ทำไมไม่ตามน้ำเพื่อปกป้องคนผิด
นี่ก็แสดงว่าปชป. ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ แต่โวยเพราะโกรธรัฐบาล หรือร่วมมือกับนายแปลก

ทีนี้น้องฆ่าพี่ทำไม ส. ตอบได้ใหม เล่นกันแล้วปืนลั่นหรือ แล้วพวกมหาดเล็กเงียบทำไม
แล้วหลายวันนั้นพี่ชายป่วยจนไม่มีแรงกินยา ใครจะเอาปืนมาเล่นไหว

เอ้า เอาใหม่ น้องฆ่าพี่เพื่อหวังสมบัติ อันนี้ก็ต้องทำให้แนบเนียนกว่านั้นสิ คือต้องทำให้เป็นอุบัติเหตุ ที่ไม่ใช่ปืน หกล้ม จมน้ำ รถตกเหว...สารพัดจะทำ และไม่ต้องทำในเมืองไทยก็ได้

ผมเห็นว่าเรื่องนี้ คนที่อวดรู้ไม่เคยเอาหลักวิชามาใช้เลย ส. นี่ก็อวดเก่ง พูดลอยๆ ว่าใครๆ ก็รู้

งั้นผมพูดมั่ง เป็นคนในตระกูลเซียวเกสมนี่แหละ แอบขึ้นไปบนขื่อ ได้โอกาสก็ลงมายิง เหตุผลก็คือตระกูลนี้มันบ้า มีเชื้ออาชญากรมาตั้งแต่อยู่เมืองจีน หนีมาสบามก็เพราะหนีคดี....เป็นงัย ผมก็อุปโลกตัวเองเป็นนักรู้ได้

อีกประการ ถ้าน้องฆ่าพี่หวังเป็นใหญ่ นายปรีดีก็สมรู้ร่วมคิด เพราะเป็นคนสถาปนาในวันนั้นเอง

ผมคิดว่าฝ่ายนายแปลกน่าสงสัยที่สุด
วันประหาร เผ่าไปคุยกับเฉลียวทำไม สองคนสนิทกันมาก ทำไมจะรับงานจากนายแปลกไม่ได้ เหตุการณ์นี้ ฝ่ายนายแปลกได้ประโยชน์ที่สุด เพราะอ้างเป็นเหตุยึดอำนาจ ฝ่ายปรีดีกับเจ้าขาดทุนที่สุด แทนที่จะจับมือกันได้เพราะนายปรีดีไปประจบเสียมากมาย ก็เสียศูนย์

ทำให้นายแปลกกุมอำนาจได้ใหม่ ทั้งๆที่กำลังจะกลายเป็นอาทิตย์ตกดินเพราะไปเข้ากับญี่ปุ่น....
ไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี่นักปราชญ์วัยแปดสิบคิดไม่ออก ต้องให้เด็กสิบแปดอย่างกระผมสั่งสอนให้หายเขลา

นายแปลกขึ้นมาคราวนี้ เล่นงานฝ่ายเจ้าเสียแทบหมดสภาพ
นายปรีดีพยายามก่อกบฎสองหน ก็ล้มเหลว นี่คือผลกระทบจากการสูญอำนาจเพราะกรณีสวรรคต

ส. ควรจะรู้ว่า นายแปลกนั้นเกลียดเจ้าขนาดใหน คราวกบฎบวรเดชนั่น เตรียมฆ่าล้างโคตรเสียด้วยซ้ำ แต่อำนาจไม่พอทำได้แค่ขังลืม

ทีนี้พอรอดจากการเป็นอาชญากรสงครามก็ต้องทวงอำนาจคืน เพราะปล่อยนานไปเจ้ากับปรีดีผนึกกันแน่นแฟ้นตัวเองจะไม่มีที่ยืน กรณีสวรรคตจึงเป็นกระสุนนัดเดียวฆ่านกสองตัว ที่เล่ามานี้ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น

ผมน่ะเป็นแฟนส. มาตั้งแต่สมัยแกก่อร่างสร้างตัว รุ่นหนังสือสนุกโน่นทีเดียว อ่านตั้งแต่จำความได้
เจอการตอบเรื่องร.8 แล้วเสียดายความนับถือ ใหนว่านับถือโสคราเตสงัย ทำไมเล่นเหตุผลวิบัติเอาดื้อๆ ว่าใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น

ฝีมือระดับปรมาจารย์ส. ถ้าจะลอกคราบเรื่องนี้ สามารถทำได้โดย 112 แตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว
อ้อ ท่านเคยบอกว่ากรมไชยนาทพูดกับหมอ แล้วหมอพูดกับหมา แล้วหมามาบอกแมวสุลัก เอ่อ...
ท่านไม่อายแต่ผมอายนะ เพราะท่านดันพิมพ์เป็นภาษาไทย ทำให้ความบัดซบนี้ติดอยู่ในภาษาไทยของผม
ที่บอกว่า อย่าเอาปืนมาเล่นน่ะ

คงจำได้ ท่านมาเล่าอย่างนี้ท่านไม่อายโสคราติสเลยหรือ
เรื่องเสื่อมเสียขนาดนี้ มีหรือระดับกรมพระยาจะตรัสกับคนนอก
เรื่องพล่อยๆ พวกนี้มีแต่พวกเจ๊กตระกูลเซียวเท่านั้นแหละ ที่กล้าเอามาปล่อย




ปล
ผมจะเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ ให้เป็นวิชาการ น้องเบิร์ดจะได้เอาไปแปะเฟสของเธอได้


#329767 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:40

2 เรื่องเอาที่ดินทำวนา(ส. คงจะใช้คำนี้นะ วนา แปลว่าสวน วันนาข้าพเจ้าแปลไม่ออก) ผมว่าที่ฝ่ายคริสต์จะทำโรงพยาบาลนั้น เหมาะสมกว่าทำสวนมากมายนัก
แถวนั้นไกล้แม่น้ำ ถือว่าเป็นพื้นที่สีเขียวที่ดีพอสมควร แล้วโดยมาตรฐานคริสต์เตียน เขารักษาสิ่งแวดล้อมดีกว่าวัดพุทธในเขตเมืองเสียอีก
เชื่อว่าโรงพบาบาลที่สร้าง จะเขียวพอสำหรับเมืองตามอัตภาพ ท่านควรจะเรียกร้องให้รื้อวัดพุทธคอนกรีตทำเป็นสวนจะดีกว่า จริงใหม

3 เรื่องทวงสิทธิตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคม อันนี้ผมว่าท่านเลอะแล้วละ เรื่องผ่านมาจนปราศจากผลกระทบต่อปัจจุบัน ท่านยังจะเสี้ยมให้เกิดความร้าวฉาน นี่มันสันดานบ่างแท้ๆ
อีกอย่าง ท่านเองก็คุ้นเคยกับฝ่ายคริสเตียนดี น่าจะรู้ว่า นอกจากพวกที่หากินกับผรั่งแบบโคตรเง่าของท่าน ที่ขูดรีดสยาม คริสต์ทั่วไปนั้นไม่ได้เลวเหมือนท่าน
ไม่ได้อวดชุบตัวว่ามาจากนอกแล้วมาดูถูกคนไร้โอกาส คริสต์ที่สีลม บางรัก ยานนาวาไปถึงบางคอแหลม กลมกลืนสนิทสนมกับไทยและชาติอื่นๆ
ไม่เคยเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันเลย ทั้งๆ ที่แถบนั้นมีกันอยู่เป็นสิบเชื้อชาติ ไม่เหมือนเจ๊กที่เป็นโคตรเง่าของท่าน ที่ก่อความไม่สงบเป็นนิจ
ไม่พอใจอะไรก็ระดมอั้งยี่ ไม่พอใจก็เลี๊ยะพะ ดูเหมือนท่านเองจะสืบสันดานถ่อยๆ เหล่านี้มาได้หมดจดทีเดียว


#329766 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:39

ต่อไปนี้คือข้อความที่ผมโต้แย้ง

เรียนตามตรงว่าท่านสุลักษณ์นี่ ยิ่งแก่ยิ่งโง่ อวดทะนงในความรอบรู้ แต่ดันรู้ผิดๆ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังเอาความรู้ผิดๆ มาบอกต่อ ทำให้สังคมที่ควรอุดมปัญญา กลายเป็นอับจนปัญญาไปเสียนี่

1 เรื่องสีลมที่ท่านบอกว่า "เป็นเมืองสุดแดนของกรุงเทพเลย เลยทำที่ฝังศพเอาไว้" ทำให้รู้ว่าท่านนี่โง่ประวัติศาสตร์เกินจะเยียวยา
ท่านไม่รู้ประวัติศาสตร์ผังเมืองก็น่าจะเงียบ ท่านไม่รู้มานุษยวิทยาชุมชนก็น่าจะเล่าแค่โคตรตระกูลของท่าน อย่าสะเออะสู่รู้เรื่องที่เกินปัญญา
สีลมมิใช่เมืองสุดแดนอะไรเลย แล้วการเป็นสุดแดนก็ไม่ได้กำหนดมาเพราะว่าเพราะมีป่าช้า
ตอนนั้นสีลมเป็นเหมือนเมืองบริวารย่อยๆ ของพระนครด้วยซ้ำ หมายความว่าเป็นศูนย์กลางในตัวเอง เหมือนบางกอกใหญ่ หรือสามเสน...พวกนี้เป็นเมืองย่อยในเมืองหลวง

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะผังเมืองของเราใช้ชุมชนเป็นหัวใจ ไม่ได้ใช้ภูมิประเทศ วิธีคิดอย่างนี้ พวกเห่อฝรั่งอย่างท่านคงไม่เข้าใจเพราะไม่ตรงกับตำราฝรั่ง อันนี้ก็ต้องโทษว่าท่านรู้น้อยเอง

เราเองเป็นผู้กำหนดให้ชาติตะวันตกต้องตั้งรกรากอยู่ใต้แม่น้ำ หรือใต้ป้อมป้อมป้องปัจจามิตร/ปิดปัจจานึกลงไป นี่คือตามสนธิสัญญาบาวริ่งที่บอกว่าห้ามกำปั่นขึ้นมาเกินสองป้อมนี้

หลังจากนั้น บริเวณนี้ก็คับคั่งด้วยผู้คนลามมาตั้งแต่ปากคลองผดุงกรุงเกษม กระจายไปทั้งทางตะวันออกและทางใต้ จนรัชกาลที่ 4 ต้องตัดถนนไปหา คือถนนเจริญกรุง

โถเสียทีที่เป็นคนตรอกสันติภาพ แต่ความรู้เกี่ยวกับถิ่นนี่ บ้าบอมืดมัวเสียจริงๆ

เมื่อมีคนอยู่กันมาก ก็ต้องมีคนตาย เขาก็ต้องตั้งป่าช้า ป่าช้าก็ต้องอยู่ไกล้ตัว ไปดูชุมชนเข้ารีตที่อยุธยาก็จะเห็นว่าเป็นรูปแบบที่เดินตามมาไม่ได้ผิดประหลาดอะไร

แต่ท่านส. คงจะนึกว่า ธรรมเนียมเรา เมืองมีประตูผี เป็นทางให้เอาศพออกไปทิ้งนอกเมือง ป่าช้าก็เลยต้องเป็นที่ห่างไกลกระมัง น่าขัน
นี่แหละผมจึงบอกว่าไม่รู้เรื่องมานุษยวิทยาเอาเสียเลย ดังนั้น มีป่าช้านานาชาติตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าเป็นเมืองสุดแดน แต่แปลว่า เป็นชุมชนนานาชาติขนาดใหญ่ มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมอันพลุกพล่าน ถ้าจะใช้คำว่าสุดแดนกรุงเทพในยุคปลายรัชกาลที่ 4 จนตลอดรัชกาลที่ 5 ต้องชี้ไปที่บางคอแหลม ถนนตก สำเหร่ ต่อไปบางปะกอกโน่น

ที่โต้แย้งมานี้ ไม่ได้หวังให้ท่านส. เข้าใจนะ เพราะท่านเป็นชาล้นแก้วมาแต่เด็ก แต่อยากให้ผู้อ่านคนอื่นๆ เห็นว่า คนที่ถูกยกย่องอะไรกันนี้น่ะ ที่จริงไม่ได้ดีกว่าเราเลย เพียงแต่เขามีความหน้าด้านที่จะเผยแพร่สิ่งผิดๆ ออกมาตลอดเวลา เปรียบเหมือนคนท้องร่วงที่รักษาไม่หาย ขี้เรี่ยราดไม่เคยเกรงใจใคร


#329751 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 14:31

ส ศิวลักษณ์บอกว่าทักษิณเป็นเอี้ย ผมเห็นด้วย และคิดว่าส. เองก็เป็น

แกเปิด fb ปลดปล่อยอ่าเอี้ยอะไรออกมามากมาย
ผมเข้าไปโต้ตอบ แต่ระบบของชักโครกเบิร์กไม่ถูกใจเอาเสียเลย
ผมเลยขอเอามาปล่อยที่นี่ ให้เพื่อนๆ ออกความเห็น

ไล่ไปทีละเรื่องนะครับ


#333012 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:33


ประเด็นที่ส. จะด่าร.5 เรื่องปราบปรามประชาชนนั้น
ถ้าท่านแม่นข้อมูลจริง เที่ยงธรรมจริง ท่านควรจะยกตัวอย่างมาเลย ตรงๆ
เช่น เรื่องที่รัชกาลที่สามให้เจ้าพระยาบดินทร์ เผาเมืองเวียงจันทร์ เอาเกลือต้มน้ำร้อนราดทั้งเมืองไม่ให้เพาะปลูกได้ นี่เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ และเป็นเรื่องที่ทำกันเกินไป แม้แต่พม่าก็ยังไม่ทำกับเราถึงเพียงนี้ เสียดายที่เป็นเรื่องในรัชกาลที่ไม่ใช่ 5 ท่านก็เลยเอามาโจมตีไม่ได้


๑ ขออภัยที่นอกประเด็นอีกครั้ง ผมสนใจเรื่องการสงครามสมัยรัชกาลที่ ๓ มากเลยครับ ไม่ทราบว่าพอจะหาอ่านได้ที่ไหน ที่เคยอ่านก็มีอยู่เล่มเดียวคือ "อานามสยามยุทธ" ของ กศร กุหลาบ ซึ่งอ้างว่าเป็นการรวบรวมบันทึกของเจ้าพระยาบดินทรเดชา แต่ผมก็ได้ยินมาว่าผู้เขียนนั้นโดนโจมตีว่าเป็นคนช่าง "กุ" เรื่อง เลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อ่านนั้นน่าเชื่อถือซักแค่ไหน เลยอยากหาเล่มอื่นอ่านบ้าง เพื่อเป็นการตรวจสอบอีกที ไม่ทราบว่าคุณ amplepoor พอจะมีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ยครับ

๒ แถมนิดนึงเรื่อง "ทำเกินไป" ของรัชกาลที่ ๓ ผมก็ยอมรับว่ามันออกจะโหดมากไปหน่อย แต่ถ้ามองอีกด้าน ผมก็พอเข้าใจนะครับ เพราะเจ้าอนุวงศ์นั้น ก็หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ก่อกบฏครั้งแรกเกือบจะบุกประชิดกรุงเทพฯได้ พอแพ้แล้ว รัชกาลที่ ๓ ท่านก็เมตตาให้ปกครองเวียงจันทน์ต่อ แต่กลับคิดไม่ซื่อ ก่อกบฏซ้ำและล้อมฆ่าขุนนางไทยที่ไปตรวจราชการอีก ผมเชื่อว่ารัชกาลที่ ๓ ท่านคงพิโรธ สุดๆ เลยทำให้เวียงจันทน์ "เหลือแต่น้ำกับฟ้า" กลายเป็นเมืองร้างไปหลายสิบปีเลย (อ้างตามที่อ่านจากอานามสยามยุทธนะครับ)


อ่านกศร. กุหลาบ 2553 ดูครับ


สายพิน แก้วงามประเสริฐ:เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยืนผงาด ตำราเรียน "ประวัติศาสตร์ไทย" จะ "ปรับเปลี่ยน" อย่างไร?

Wed, 2010-12-29 07:51




สายพิน แก้วงามประเสริฐ

เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยืนตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วยื่นพระหัตถ์มาฝั่งไทย แสดงนัยยะของการให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำต่อพระองค์แล้ว ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำจะไม่รู้สึกอย่างไรบ้างเชียว? เมื่อรู้สึกแล้ว ตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่ได้หล่อหลอมกล่อมเกลาให้เกิดความบาดหมางกับประเทศ เพื่อนบ้าน จะไม่ยอมปรับเปลี่ยนบ้างเลย?

เนื้อหาตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไม่เคยสอนให้รักใคร นอกจากตัวเอง โดยเฉพาะความรักชาติของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยความที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้รองรับอุดมการณ์ของรัฐ ไม่ว่าในยุคก่อนหรือหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แล้วก็ตาม

วิชาประวัติศาสตร์ยังคงเป็นวิชาที่ให้ความสำคัญกับการรักตนเอง จนแทบไม่เคยสอนให้รู้จักรักผู้อื่น หรือเห็นอกเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าตนเลย

ด้วยเหตุดังนี้เนื้อหาสาระวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน จึงเต็มไปด้วยการสู้รบ การศึกสงครามทุกยุคสมัย โดยมีพล็อตเรื่องที่แสดงความยิ่งใหญ่ กล้าหาญ ของบรรดาวีรบุรุษวีรสตรีทั้งหลาย เมื่อไทยเป็นฝ่ายชนะตำราเรียนประวัติศาสตร์จะแต่งแต้มเติมสีสันให้ยิ่งใหญ่ ขณะที่หากไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือดูเหมือนว่าจะด้อยกว่า ตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนก็จะมีเหตุผลแห่งความพ่ายแพ้นั้น หรือมีสิ่งแสดงความไม่ชอบมาพากลที่ทำให้พ่ายแพ้

เนื้อหาในตำราเรียน ประวัติศาสตร์ไทย ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำตามอุดมการณ์ชาตินิยมมาเนิ่นนานจนกระทั่งในความรับรู้ ของผู้คนที่ผ่านกระบวนการการเรียนการสอนในโรงเรียนมองพม่าเหมือนเป็นศัตรู มองกัมพูชา และมองลาวอีกรูปแบบหนึ่ง

ตำราเรียนประวัติศาสตร์ใน โรงเรียนจึงถูกวิจารณ์ว่าก่อให้เกิดความล้าหลังคลั่งชาติ เพราะสอนให้รักชาติของตนเองจนไม่สนใจไยดีเพื่อนบ้าน แม้บางประเทศเรามักจะพูดอยู่เสมอว่าเป็น "บ้านพี่เมืองน้อง" แต่เรื่องราวที่ถูกเขียนไว้ในตำราเรียน หรือเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ผ่านนวัตกรรมต่างๆ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ส่งเสริมความเป็นพี่น้องแต่อย่างใด จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เป็นพี่น้องกันประสาอะไร?

เรื่องราวที่บาดหมางเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีเหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์ ที่ตำราเรียนหรือเรื่องราวในประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะอยู่เสมอ และมักมองด้วยสายตา มุมมองของตนเอง โดยเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "กบฏ" ทั้งที่หากมองด้วยสายตาอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกอบกู้เอกราช

ดังนั้นเจ้าอนุวงศ์ย่อมอยู่ในฐานะที่มิใช่ "กบฏ"

ด้วยความที่เหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์มีความชัดเจนว่าไทยเป็นฝ่ายชนะสงคราม อีกทั้งวีรกรรมท้าวสุรนารี ที่บอกเล่าเป็นตำนานสืบต่อกันมาว่ารบชนะลาว จนกลายเป็นเรื่องราวในตำราเรียน ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำทั้งในตำราเรียน บทเพลง บทละคร และอนุสาวรีย์ ในสมัยรัฐชาตินิยม และยังไม่จืดจางจนสมัยปัจจุบัน

การรับรู้ประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้คนรอบบ้าน ยังคงสืบเนื่องยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ และควรจะเป็นเช่นนี้ต่อไป? ในเมื่อสังคมโลกเปลี่ยนแปลงไป การอยู่ร่วมกับผู้คนไม่ใช่แค่ในประเทศเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องอยู่ร่วมกับนานาชาติ โดยเฉพาะขณะนี้เราไม่ได้เป็นแค่พลเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังอยู่ในฐานะสมาชิกของอาเซียนด้วย แต่เนื้อหาตำราเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ที่ก่อให้เกิดความบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วเราจะอยู่ในสังคมแห่งอาเซียนอย่างไร?

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2553 รัฐบาลประเทศลาวได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว ซึ่งรูปปั้นเจ้าอนุวงศ์หล่อด้วยทองแดงมีน้ำหนักถึง 8 ตัน อนุสาวรีย์นี้มีความสูงถึง 15 เมตร ตั้งอยู่บนแท่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละ 5.5 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ที่ทั้งสูงและใหญ่มาก

อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย หันพระพักตร์มาทางไทย สิ่งที่น่าสนใจมากคือพระหัตถ์ขวายื่นออกไปด้านหน้า ลักษณะผายออกผ่านแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ซึ่งรัฐมนตรีลาวกล่าวถึงรูปลักษณ์ของรูปปั้นเจ้าอนุวงศ์ว่า พระหัตถ์ที่ยื่นออกมาเป็นการแสดงถึงการให้อภัยแก่ "ผู้รุกราน" และผู้ที่เคยกระทำต่อพระองค์แล้ว

นอกจากนั้นยังมีข้อมูลรายละเอียด ที่แสดงถึงการรับรู้ของฝ่ายลาว ถึงการศึกษาสงครามครั้งนี้ ไปจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพของเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งการรับรู้เรื่องนี้สอดคล้องกับพระราชพงศาวดารของไทยที่บันทึกไว้ในฐานะ ผู้ชนะสงคราม จึงเขียนด้วยความสะใจ โดยหลงลืมนึกถึงจิตใจของผู้อื่น รวมทั้งการสร้างความรับรู้เรื่องวีรกรรมท้าวสุรนารี ที่ไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เป็นสิ่งที่แสดงว่าการเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไม่เคยสอนให้เด็กรู้จัก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น

แม้พระหัตถ์ที่ยื่นออกมาของเจ้าอนุวงศ์จะได้รับ การให้ความหมายโดยฝ่ายลาวว่า เป็นการยื่นออกมาเพื่อแสดงถึงการให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำกับพระองค์ แต่อีกนัยหนึ่งคือการตอกย้ำความมีอยู่จริงของโศกนาฏกรรมของความเป็นพี่เป็น น้องในครั้งนั้น

เป็นการใช้ประวัติศาสตร์ต่อสู้กันอีกครั้งหนึ่ง และเป็นประวัติศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับว่ามีอยู่จริง

ความ น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ เหตุการณ์ศึกเจ้าอนุวงศ์หากนับถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบ 200 ปี แต่เพราะเหตุใดอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์จึงพึ่งปรากฏตัว ณ พ.ศ.นี้ แสดงนัยยะอะไรหรือไม่ ทั้งที่ประเทศลาวไม่ได้มีอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นแห่งแรก

อนุสาวรีย์ เจ้าอนุวงศ์แสดงความสัมพันธ์ หรือเป็นสัญญาอะไรบางอย่างหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เมื่อลาวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ มีการสร้างสนามกีฬาขนาดใหญ่ โดยได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม และตั้งชื่อสนามกีฬาแห่งนี้ว่า "สนามกีฬาเจ้าอนุวงศ์"

ทั้งอนุสาวรีย์และสนามกีฬาล้วนแสดงทัศนคติ และนัยยะที่มีต่อไทย อย่างน้อยก็แสดงความรับรู้ต่อเรื่องราวที่ปรากฏแก่เจ้าอนุวงศ์ วีรกษัตริย์ของลาว

แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ย่อมมิอาจ เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเป็นความจริงที่รับรู้กันทั้งสองฝ่ายแต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้ปัจจุบัน และอนาคตสามารถอยู่ร่วมกันฉันมิตรที่ดีได้อย่างจริงใจ

ถึงที่สุดแล้ว ลาวเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่มีประเพณีวัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิต และภาษาพูด หรืออาจหมายถึงที่มาของเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ที่ทำให้คำกล่าวที่ว่า ไทยกับลาวเป็นบ้านพี่เมืองน้องไม่ไกลไปจากความจริงเท่าไร แล้วไยเนื้อหาในตำราเรียนประวัติศาสตร์ และอื่นๆ ไม่เคยแสดงความรู้สึกห่วงใยพี่น้องของตนเองเลย โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ควรมีความเอื้ออาทรต่อคนเป็นน้อง

เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยืนตระหง่านอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วยื่นพระหัตถ์มาฝั่งไทย แสดงนัยยะของการให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำต่อพระองค์แล้ว ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำจะไม่รู้สึกอย่างไรบ้างเชียว? เมื่อรู้สึกแล้ว ตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่ได้หล่อหลอมกล่อมเกลาให้เกิดความบาดหมางกับประเทศ เพื่อนบ้าน จะไม่ยอมปรับเปลี่ยนบ้างเลย?

อย่างน้อยๆ การเหลือพี่น้องไว้คบค้าสมาคมบ้างก็ยังดี ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เหินห่างกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมาเนิ่นนาน เพราะอย่างน้อยการมีพี่น้องย่อมดีกว่าการไม่มีใครคบ

เมื่อเป็นดังนี้ จึงควรหวนกลับมาพิจารณาตนเอง สร้างนิสัยการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ด้วยการชำระสะสางตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดความล้าหลังคลั่งชาติ และประวัติศาสตร์บาดหมางกันเสียที

ที่มา:มติชนออนไลน์



#332051 ถลกหนัง HERE

โดย PettyCash on 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 12:22

เมื่อวานเข้ามาอ่านกระทู้นี้ข้องใจที่ส.เสี้ยนมันตอบเรื่องกองกำลัง ร.5เลยไปหาข้อมูล
ในอินเตอร์เน็ต ที่บอกว่ามีอะไรเยอะแยะ เออเยอะจริงซะด้วย แต่ไม่ค่อยจะตรงกับ
ที่ตาแก่นี่คุยโม้ตอบคำถามไปเท่าไหร่เลย บอกว่าร.5ไปเรียนมาจากอังกฤษ
ที่มันบอกมันปกครองอินเดียได้เพราะ


1.ต้องให้การศึกษาล้างสมองคน ให้นับถือพระเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพ่อแม่

-ก็ไปหาอ่านในเน็ต ที่ส.เสี้ยนแกนะนำ ไปเจอข้อมูลส่วนใหญ่อังกฤษใช้ระบบ
แบ่งแยกแล้วปกครองไม่ใช่เหรอ เพราะตอนนั้นประเทศอินเดียไม่ค่อยสามัคคีกัน
ทั้งเรื่องแย่งกันเป็นใหญ่ และเรื่องศาสนาฮินดูกับอิสลาม

-นับถือพระเจ้าแผ่นดิน กษัตริย์องค์ไหนล่ะ ของอินเดียหรืออังกฤษ
ตอนแรกคิดว่าคงจะให้ไปนับถือกษัตริย์อังกฤษ ไปไล่อ่านหาข้อมูลมา ปรากฎว่า
ตอนนนั้นราชวงศ์โมกุลของอินเดียก็ยังอยู่ จากลิงค์เวปนี้ http://www.dhammatha...chapter10_1.php
จะไล่เรียงปีได้ชัดเจน อังกฤษยึดอินเดียได้ปี 2300 ราชวงส์โมกุลองค์สุดท้ายโดนเนรเทศปี 2402

ไปหาข้อมูลทำให้อยากอ่านหนังสือ ร.๕ เสด็จอินเดีย สงสัยว่าตาแก่นี่มันเอาข้อมูล
จากหนังสือนั้นมาตีความตอบคำถามไปแบบนั้น แต่จากข้อมูลรอบๆบ้านเราก็ตกเป็นเมืองขึ้น
ตั้งแต่ ร.5ท่านทรงพระเยาว์อยู่ ความคิดเรื่องปรับปรุงกองทัพ ร.4ท่านก็ทรงจะทำอยู่แล้ว
คือปรับปรุงการทหารเรือเพราะตอนนั้นอังกฤษมีกองทัพเรือที่ไม่มีใครจะเทียบได้

ข้อมูลคั่นเวลานิดหน่อยๆ ระหว่างรอคุณ amplepoor มาถลกหนังหัวตาแก่นี่ต่อ


#331577 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:20

ประเด็นที่ส. จะด่าร.5 เรื่องปราบปรามประชาชนนั้น
ถ้าท่านแม่นข้อมูลจริง เที่ยงธรรมจริง ท่านควรจะยกตัวอย่างมาเลย ตรงๆ
เช่น เรื่องที่รัชกาลที่สามให้เจ้าพระยาบดินทร์ เผาเมืองเวียงจันทร์ เอาเกลือต้มน้ำร้อนราดทั้งเมืองไม่ให้เพาะปลูกได้ นี่เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ และเป็นเรื่องที่ทำกันเกินไป แม้แต่พม่าก็ยังไม่ทำกับเราถึงเพียงนี้ เสียดายที่เป็นเรื่องในรัชกาลที่ไม่ใช่ 5 ท่านก็เลยเอามาโจมตีไม่ได้

ทีนี้มาที่การทหารในรัชกาลที่ 5 ถ้าท่านจะตำหนิ จะวิจารณ์เพื่อสร้างคำวินิจฉัยทางจริยธรรมแก่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ว่าชาติเรา เคยกระทำกับพลเมืองของตัวเองไว้อย่างน่าละอายเพียงใด ท่านต้องเอา"ความจริง"มาเล่า
ไม่ใช่เอาคำเล่าลือมาเสี้ยม

ท่านสุลักษณ์นี่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้จริงๆในเรื่องคุณธรรมของผู้ใหญ่
วันก่อนท่านบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ เป็นรัฐบาลควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ตัวท่านกลับทำในสิ่งที่ย้ำลายตัวเองพ่นออกมาไม่ได้
ไม่ใช่ถ้อยคำรุนแรงดอก ที่ผมหมายถึง ภาษาส่อชาติตระกูล ท่านเป็นลูกเจ๊กกระดุมพี จะหวังภาษาสวยงามจากท่านั้น ผมไม่หวัง แม้ว่าท่านพยายามดัดจริตใช้มาตั้งห้าสิบปี น้ำคำของท่านก็ยังเป็นของปลอม เป็นคำที่เสแสร้งจะให้ลุ่มลึกอยู่ดี
ความเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้ของท่านสุลักษณ์นั้น อยู่ที่กมลสันดานอันเป็นคนโฉด คือโฉดในการสร้างความเท็จ แพร่ความเท็จ และซ้ำความเท็จลงไปในความเท็จของตนเอง

กองกำลังของรัชกาลที่ 5 นั้น ถ้าท่านศึกษาประวัติศาสตร์จริง ท่านจะต้องรู้สึกทึ่ง
เพราะมีแต่ผู้นำอัจฉริยะเท่านั้น ที่สามารถแปลงไพร่ในสังกัดมูลนายให้กลายเป็นพลเมืองของชาติได้ด้วยวิธีเกณฑ์ทหาร
แล้วอัจฉริยะอย่างนี้หรือ จะต้องเข่นฆ่าพลเมืองตัวเอง เพื่อดำรงอำนาจไว้ ถ้าจะมีก็มีแต่อัจฉริยะสุลักษณ์แหละ ที่ใช้ความถ่อยเถื่อนเอาใจสาวกให้คิดว่าตัวเองหาญกล้า

เป็นการเอาหนังลามาหุ้มให้ไก่มันกลัวนึกว่าหมา....เอ ผมใช้คำพังเพยถูกป่าวหว่า.....

การสร้างกองกำลังของรัชกาลที่ 5 นั้น เป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องที่สุดของประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่
เป็นการกระทำที่อาจจะเรียกเป็นภาษาฝรั้งว่า from servdom to citizenship หึหึ อันนี้อวดใช้ภาษาต่างดาวสักหน่อย เท่ดี
อเมริกาใช้วิธีเอาทาสมาเป็นทหาร สู้รบเพื่อรอดออกมาเป็นไท แต่เราไม่ต้องสู้รบ เราก็เปลี่ยนไพร่เป็นพลเมืองได้

ที่จริงกองกำลังชนิดนี้ เป็นของใหม่เอี่ยมที่กำเนิดจากรัชกาลที่ 4 ไม่ใช่ว่าพระราชาหนุ่มจะต้องไปดูแบบอย่างที่อินเดียเลย แต่เพราะสุลักษณ์โง่ประวัติศาสตร์ ทะนงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งอาจจะจริงเพราะรอบตัวสุลักษณ์มีแต่คนโง่ทั้งนั้น
คนฉลาดที่ใหนจะไปสมสู่กับปราชญ์ปลอมๆ อย่างสุลักษณ์ล่ะ

สุลักษณ์คิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาดที่ยกเรื่องประพาสอินเดียมาใช้ประโยชน์ได้ แต่สุลักษณ์คงลืมไปว่า เอาคนอย่างบุรุษแซ่เซียวไปเทียบกับพระจอมเกล้า
ก็เหมือนเอาหิ่งห้อยเพิ่งหัดเบ่งก้นไปเทียบกับแสงสุรีย์ยามเที่ยงวัน

ร. 4 ท่านอ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่งมาตั้งแต่เป็นเจ้าอาวาสวัดบวร เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศตั้งแต่หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษ ท่านจึงรู้ว่าเอาทหารพม่าชั้นยอด ไปรำดาบรำทวนให้ทหารอังกฤษมันยิงทิ้งน่ะ ไปหมื่นก็ตายหมื่น พม่าถูกทหารอังกฤษแค่หยิบมือบนเรือรบ แล่นทวนน้ำไปปิดล้อมพระาชวังโดยไพร่พลนับหมื่นนับแสนไม่อาจทำอะไรได้

พม่าเสียเมืองทำให้สยามได้สติ ร. 4 จึงทรงสร้างกองกำลังสมัยใหม่ขึ้นมา จนแม้แต่ลูกท่านสิบกว่าขวบ ท่านยังเอามาหัดทหาร ท่านสั่งนายร้อยอังกฤษเข้ามา ให้น้องชายท่านสร้างกองกำลังขึ้น และเริ่มดึงอำนาจในการควบคุมกลับมาจากตระกูลบุนนาค เอามาให้ลูกเลี้ยงท่านดูแล เป็นทหารประจำการสมัยใหม่ และได้นำออกใช้งานครั้งแรก ทันต้อนรับเซอร์จอนเบาริ่งเสียด้วย

ทั้งหมดนี้ เกิดเมื่อร. 5 ท่านพระชนม์ยังไม่ถึง 10 ขวบ......ไม่เห็นต้องไปเรียนรู้จากอังกฤษอะไรอย่างที่อวดฉลาดสอนสาวกเลย

(เดี๋ยวมาต่อ เม้นท์ชุดนี้ยาว และผมจะไม่่พูดเลยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย
ต้องค้นเรื่องแยะหน่อย ทำงัยได้ HERE มันตัวใหญ่เหลือเกิน)


#331592 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 23:36

พม่าเสียเมือง ต้นเหตุให้สยามต้องปรับปรุงกองทัพในรัชกาลที่ 4

Posted Image

Posted Image

Posted Image


#331607 ถลกหนัง HERE

โดย amplepoor on 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 00:00

กองทัพอังกฤษตีถึงมัณฑะเลย์ เป็นแค่เรือรบจิ๊บจ๊อยเท่านั้น

Posted Image