ปชป เกิดมาเพื่อล้างแค้นนายปรีดี แต่อย่าคิดว่านายปรีดีนี่เป็นคนดีนะ ปัญหาอยู่ที่คนหนึ่งมีมหาวิทยาลัยหนุนหลัง (ที่จริงปรีดีมีพรรคหนุนอยู่อีกสามพรรค) กับอีกฝ่ายหนึ่งมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว
- ต้นอ้อ ล้อลิ่วลม likes this
ต้นอ้อ ล้อลิ่วลม hasn't added any friends yet.
No latest visitors to show
โดย baboon on 5 มกราคม พ.ศ. 2557 - 17:44
ปชป เกิดมาเพื่อล้างแค้นนายปรีดี แต่อย่าคิดว่านายปรีดีนี่เป็นคนดีนะ ปัญหาอยู่ที่คนหนึ่งมีมหาวิทยาลัยหนุนหลัง (ที่จริงปรีดีมีพรรคหนุนอยู่อีกสามพรรค) กับอีกฝ่ายหนึ่งมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว
โดย Nong on 15 มีนาคม พ.ศ. 2557 - 12:30
ชอบอะ
เป็นไรบินฮู้ดในประเทศของเราเอง
ฮาแบบน้ำตาคลอ
จริงค่ะ ฮาแบบจุกอกไงไม่รู้
ขอบคุณศาลที่ยังเป็นที่พึ่งของคนบริสุทธิ์ได้
โดย White wing on 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 16:38
โดย Ape on 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 10:23
โดย เสือยิ้มยาก on 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 16:08
prapasri_nna @prapasri_nna 9m
เอกนัฏ การันตีคนที่ยิงในพื้นที่หลักสี่ ไม่ใช่คนของ กปปส. และคนที่ใส่ปลอกแขนสีเขียวเหมือนสื่อไม่ใช่การ์ด กปปส.#nna
โดย ไทยไม่ทน on 31 มกราคม พ.ศ. 2557 - 16:04
พรรคที่มีนโยบายไม่ต้องใส่หมวกกันน๊อค ตอบคำถามประชาชนได้โหดสัสไหมล่ะมึง
เครดิต อีจ่า
โดย kop16 on 15 มกราคม พ.ศ. 2557 - 11:10
พ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางนา เปิดเผยว่า กรณีการจับกุมผู้ต้องสงสัย 4 ราย โดยตำรวจสายตรวจ 191 ที่ตั้งด่านบางนาเมื่อคืนนี้ พร้อมยึดระเบิด 4 ลูก ลูกกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่ง
จากการสอบสวนเบื้องต้นไม่พบว่า ทั้งหมดเชื่อมโยงกับเหตุปาระเบิดใส่บ้านพัก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนถึงจุดประสงค์การพกพาวัตถุระเบิด
http://www.manager.c...D=9570000005220
โดย HiddenMan on 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 17:44
โดย จาจา on 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 - 16:33
โดย paper punch on 19 เมษายน พ.ศ. 2556 - 16:13
พระสยามเทวาธิราชที่ทรงช่วยปกปักรักษาชาติมีจริง..
หลังปฏิวัติมีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลสมัคร ในตอนนั้นปชป.ไม่มีอะไรไปสู้กับพรรคขี้ข้าทักษิณได้เลย และสุดท้ายท่านฑูตถูกย้ายด้วยฝีมือไอ้นพดล
แต่ใครจะเชื่อ หลังสมัครถูกถอดถอน เพราะความระยำของทักษิณแท้ๆ ที่คิดจะเปลี่ยนตัวนายกมาเป็นน้องเขยมัน ทำให้เนวินที่สนับสนุนสมัครปฏิบัติการหักหน้าเหลี่ยมยกมือสนับสนุนมาร์คเป็นนายก เราจึงได้รัฐบาลปชป. และก็เป็นนายกอภิสิทธิ์ที่แต่งตั้งท่านฑูตวีระชัยเป็นแม่ทัพในการสู้คดีกับเขมรด้วยการย้ายท่านไปเป็นเอกอัครราชฑูตที่เนเธอร์แลนด์
วันนี้เราจึงได้รับรู้ว่าข้าราชการที่ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงยังมีอยู่
ลองคิดดูว่าถ้าตอนนั้นไอ้เหลี่ยมมันยังสนับสนุนสมัครเหมือนเดิม รัฐบาลอภิสิทธิ์คงไม่มีทางได้เกิดขึ้น และวันนี้หัวหน้าคณะทนายก็คงไม่ใช่ท่านฑูตวีรชัย
ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายศาลจะตัดสินอย่างไร แต่สิ่งที่ท่านฑูตและคณะทนายฝ่ายไทยทุกท่านได้ทำใน2-3วันนี้ จะอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป
โดย juemmy on 19 เมษายน พ.ศ. 2556 - 14:25
นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลาย เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2551 ระบุตอนหนึ่งว่า
"...มีความภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยมีนักการทูตที่เก่งกาจ ท่านอธิบดีวีรชัย ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีเลิศในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของ ชาติ...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็น บุคคลตัวอย่าง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศ และของตนอย่างสมศักดิ์ศรี ของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
โดย juemmy on 19 เมษายน พ.ศ. 2556 - 14:13
เจาะเส้นทางชีวิต"วีรชัย พลาศรัย" ทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของ"สยาม"
ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย สำหรับชื่อของ “ดร.วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ที่นำทีมทนายมือหนึ่ง เข้าชี้แจงต่อศาลโลก ณ กรุงเฮก ในคดีปราสาทพระวิหารตามที่ฝ่ายกัมพูชายื่นคำร้อง
งานนี้ ทูตวีรชัย และทีมงาน ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ถึงความชาญฉลาดในการวางแผน และแก้ต่างข้อกล่าวหาฝ่ายกัมพูชา
ในวันนี้ “สกู๊ปแนวหน้า” จึงขอนำประวัติชีวิต และเส้นทางการต่อสู้เกี่ยวกับเรื่อง ดินแดนปราสาทพระวิหารของ ทูตวีรชัย มาให้ทุกท่านได้ทราบกัน
ข้าราชการ “ครุฑทองคำ”
ดร.วีรชัย พลาศรัย เกิดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2503 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และปริญญาโท มหาวิทยาลัยปารีส (นองแตร์) ปริญญาเอกจากซอร์บอนน์ ฝรั่งเศส เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศในตำแหน่งเลขานุการตรี กองแอฟริกา และกลุ่มอาหรับ ต่อมาดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ,อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ปัจจุบันได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
นอกจากนี้เขายังเคย ได้รับรางวัล “ครุฑทองคำ” ประจำปี 2553-2554 ซึ่งเป็นรางวัล สำหรับข้าราชการพลเรือน ที่มอบให้เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณกับข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วยความ รู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรม
ค้านแผนที่เขตแดนกัมพูชา
สำหรับเส้นทางการต่อสู้เรื่องดินแดนเขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา ในปี 2551 ชื่อของ ดร.วีรชัย เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในฐานะ อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2551 ดร.วีรชัย ได้เชิญนายโลรองต์ บิลี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และนายอึง เซียน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย มาพบเพื่อแจ้ง ท่าทีของไทยเกี่ยวกับแผนที่โบราณคดีจังหวัดอุดรเมียนเจย และแผนที่โบราณคดีจังหวัดพระวิหาร โดยอาศัยข้อมูลจากกรมภูมิศาสตร์กัมพูชา ซึ่งไทยเห็นว่าแผนที่ทั้งสองฉบับแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเส้นเขตแดนคลาดเคลื่อน
ครั้งนั้น ดร.วีรชัย ได้ขอให้กัมพูชาถอนกำลังทหาร และตำรวจของกัมพูชาออกไป จากดินแดนปราสาทพระวิหาร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไทย กับกัมพูชา อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่
เด้ง"วีรชัย"เซ่นคดี “ซีทีเอ็กซ์”
วันที่ 6 พ.ค.2551ครม.สมัคร สุนทรเวช มีมติ โยกย้าย ดร.วีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง การโยกย้ายดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่ข้าราชการกระทรวง การต่างประเทศ เพราะ ดร.วีรชัย เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญงานกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุดคน หนึ่ง และมีหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่แท้จริงของคำสั่งโยกย้ายครั้งนี้คือ ฝ่ายการเมืองมีการประสานด้วยวาจา เพื่อขอเอกสารคดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ช่วยแปลให้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งนายวีรชัย ไม่ส่งมอบให้ เพราะเห็นว่าต้องมีเอกสารแจ้งขอเป็นลายลักษณ์อักษร จึงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายการเมือง จนนำมาสู่การโยกย้ายดังกล่าว
ขณะที่ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลาย เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2551 ระบุตอนหนึ่งว่า
"...มีความภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยมีนักการทูตที่เก่งกาจ ท่านอธิบดีวีรชัย ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีเลิศในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของ ชาติ...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็น บุคคลตัวอย่าง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศ และของตนอย่างสมศักดิ์ศรี ของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ปกป้องประโยชน์ชาติโดนเด้ง!
ปมความขัดแย้งของดร.วีรชัย และฝ่ายการเมือง สอดคล้องกับ คำบรรยายฟ้องของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ที่เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2556 เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่นายนพดล ขณะเป็น รมว.ต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.2551 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย
คำบรรยายฟ้อง ของ ปปช. ระบุตอนหนึ่งว่า “ หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว วันที่ 3 – 4 มี.ค.2551 นายสมัครไปพบผู้นำกัมพูชา เรื่องขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และนายนพดล รมว.ต่างประเทศ ขณะนั้น ไปหารือกับนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯกัมพูชา ที่ทางกัมพูชาขอให้ไทย สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
จากนั้น นายนพดล ได้นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพิจารณา แต่นายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (ขณะนั้น) มีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่นายนพดล ไม่เห็นด้วย จึงเสนอ ครม. ให้นายวีรชัย พลาศรัย พ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงต่างประเทศ ทักท้วงว่านายวีรชัย เป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ ไม่ควรโยกย้าย แต่นายนพดล ยังยืนยันว่า ไม่สามารถร่วมงานกับอธิบดีฯ ที่มีความคิดเช่นนี้ได้”
คืนเก้าอี้เจ้ากรมสนธิสัญญา ฯ
ช่วงเดือน ก.ค. 2551 ภายหลังเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ดร.วีรชัย ก็มีโอกาสเข้าร่วมคณะเจรจา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร อยู่หลายครั้ง จนนำไปสู่การลดกำลังทหาร และ จัดประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม(เจบีซี) ต่อไป
ด้วยผลงานเป็นที่ประจักษ์ ต่อมาวันที่ 5 ส.ค. 2551 ช่วงปลายสมัย ครม.สมัคร สุนทรเวช จึงมีการย้าย ดร.วีรชัย จากเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กลับมาเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เช่นเดิม ครั้งนั้น นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า “ได้ให้กลับไปอยู่สถานะเดิมก่อนการโยกย้าย เพราะจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น”
ย้ายไป “กรุงเฮก” วางแผนสู้คดี
หลังหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม ตลอดช่วงปลายปี 2551 ดร.วีรชัย ได้เดินหน้าเจรจาและเข้าร่วมประชุม เพื่อลดความตึงเครียดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายครั้ง โดยในระหว่างนี้มีเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชา
17 มี.ค.2552 ครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติย้าย ดร.วีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์ โดยหลายฝ่ายมองว่า ดร. วีรชัย เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย รัฐบาลจึงให้ไปเตรียมการ ในการต่อสู้ข้อพิพาทเขาพระวิหาร เนื่องจากประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น เป็นที่ตั้งของศาลโลก
ภายหลังจากย้ายมาดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์ ดร.วีรชัย ได้ใช้เวลาร่วมกับทีมงาน วางแผน และต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารอย่างเต็มที่
ไม่ว่าผลการพิจารณาของศาลโลกจะออกมาเป็นเช่นไร อย่างน้อยคนไทยทั้งประเทศ ก็ได้ประจักษ์ถึงความพยายามอย่างเต็มที่ของ ทีมทนายไทย ดังคำพูดของ ดร.วีรชัย ที่กล่าวว่า...
“ผมไม่เคยพูดว่าเราชนะแน่ ปกติผมจะตอบสามคำ สู้เต็มที่ !!!
ที่มา:http://www.naewna.com/scoop/48833
โดย ไร้สีไร้กลิ่น on 20 เมษายน พ.ศ. 2556 - 08:11
ฝากถึงคุณกรกชนะครับ
เรื่องวีระราตรีผมว่าเรามีกระทู้เรื่องนี้หลายกระทู้ และคิดว่าข้อมูลในนั้นเพียงพอตอบคำถามคุณได้แล้ว ถ้าเปิดใจที่จะอ่าน หลายคนก็แสดงเหตุผลไปแล้วว่าเราล้ำไปจริงควรจะยอมรับผิดแต่แรก ซึ่งไม่มีผลต่อคดีศาลโลก ดังที่คุณเห็น ไม่มีทนายอ้างเรื่องวีระราตีในศาล (มีแต่พวกเหลืองที่ดิ้นจะเป็นจะตายห้ามวีระไม่ให้ยอมรับว่าล้ำไม่งั้นไทยเสียดินแดนแน่ๆ นี่ล่ะครับเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด) หรือจะลองเทียบเคียงกับคดีวิศวกรไทยที่โดนเขมรกักตัวแล้วทักษิณช่วยมาได้ดูนะครับ แม่วิศวะกรถึงกับเทใจให้แดงเต็มตัว หวังว่าน่าจะทำให้คุณกรกชฉุกคิดอะไรได้บ้าง
เรื่อง MOU จนป่านนี้ก็ยังอ่านไม่ครบ ตีความ MOU ผิดๆแบบเขมร เหมือนเสื้อแดงที่บอกสมัครโดนถอดเพราะทำกับข้าว ใครอธิบายข้อกฎหมายก็ไม่สนใจ ทั้งที่ MOU ก็มีให้อ่านก็ช่วยอ่านทั้งฉบับแล้วพิจารณาเองละกันครับว่าใครตีความถูกหรือผิดกันแน่
ฝากถึง phat
ถ้าดูจากการตัดสินจะเห็นว่าเขมรกล่าวหาไทยเรื่องรุกรานประเทศเขา ไม่ทำตามศาล ส่วนไทยก็อ้างว่าเราไม่เคยรุกรานก่อน และทำตามศาลโลกกับ MOU มาตลอด ในขณะที่พวกเหลืองพยายามปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง ให้ไทยเกลียดชังเขมร กล่าวหาอภิสิทธิ์ที่พยายามใช้แนวทางสันติกับเขมรว่าร่วมมือกับเขมร พยามให้ทหารใช้กำลังจัดการเขมรโดยเร็ว ซึ่งถ้าทำตามเหลืองก็เข้าทางเขมรชัดๆ (ตอนนั้นเขมรเลยหาเรื่องใช้กำลังโจมตีก่อนแล้วกล่าวหาว่าเป็นเพราะไทยรุกราน) ผมว่าคนที่มีสติพอก็น่าจะเห็นว่าความถูกต้องเหมาะสมคือวิธีไหน แล้วใครกันแน่ที่กำลังรับใช้เขมรอยู่ (เขาวางแผนมานานตั้งแต่สมัยทักษิณ เล่นแผนชั่วมาตลอด จากการขึ้นศาลโลกทำให้เห็นภาพแผนการของเขาได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งถ้าเราตามไม่ทันก็แพ้ราบคาบได้ง่ายๆ แต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยไม่สิ้นคนดีแน่นอน)
ปล. หวังว่าจะวางทิฐิรู้จักขอโทษและให้อภัยกันบ้างนะครับ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแตกแยก เราทุกคนควรจะรวมใจเป็นหนึ่ง และส่งพลังใจไปช่วยทีมทนายของไทยครับ เพราะแม้แต่ทีมทนายก็ไม่เคยโทษความแตกแยกในไทย แต่โทษความโลภของเขมร อยากให้ดูจุดนี้เป็นตัวอย่างครับ
โดย ผึ้งน้อยตุหรัดตุเหร่ on 20 เมษายน พ.ศ. 2556 - 21:12
ในรูปหมู่ที่ถ่ายร่วมกัน
คุณอลิน่าเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวยืนหยัดท่ามกลางบสุภาพบุรุษหลายสิบคน และทำงานได้โดดเด่นน่าชื่นชมด้วย
ต้องปรบมือให้เธอครับ
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net